บทที่ 56 ผิดหวัง
การฝึกอย่างเข้มข้นติดกันสองคืน ทำให้ความสามารถในการเล่นโอเทลโล่ของจี้เฟิงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบการเล่นของเขานั้นแปลกใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการที่เขาได้ฝึกฝนกับปรมาจารย์ด้านโอเทลโล่ผู้เป็นยอดฝีมือที่มีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกันถึงสองคน เป็นระยะเวลานาน
ถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่รู้ว่ากฎกติกาของหมากล้อมนั้นแตกต่างจากโอเทลโล่อย่างไร แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับเขา นั่นก็คือ ไม่ว่ากฎกติกาจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือผู้เล่นทั้งสองฝั่งจะต้องเล่นอย่างยุติธรรมและใช้สมองในการคิดวิเคราะห์แผนการเดินหมากอย่างรอบคอบ ดังนั้นความแตกต่างของกฎกติกาจึงไม่สำคัญอีกต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคิดแบบแผนการเดินหมากและสร้างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่จี้เฟิงได้ต่อสู้และฝึกฝนด้วย ล้วนเป็นถึงปรมาจารย์โอเทลโล่ที่มีชื่อเสียงของแกมมากาแลคซีในยุคของดวงดาว หากจี้เฟิงสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้ นั่นคือการเผชิญหน้าที่หลายคนไม่มีวันได้รับในชีวิต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากจี้เฟิงผู้ที่มีความสามารถด้านความจำขั้นสูง ยังไม่สามารถสร้างสไตล์ของตัวเองได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก!
หลักจากเสร็จสิ้นการเผชิญหน้าโอเทลโล่กับปรมาจารย์เทียนเย่ จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะเลือกเล่นเกมบิลเลียด เป็นการฝึกทักษะเสริมอันต่อไปเป็นอย่างที่สอง ซึ่งทำให้จี้เฟิงตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
คุณรู้ไหมว่า ทักษะอื่นๆ บางอย่างที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนดาวโลกและบางทักษะก็ไม่สมเหตุสมผลนัก จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่จะเลือก แต่บิลเลียดนั้นแตกต่างออกไป กิจกรรมประเภทนี้ให้ความบันเทิงได้อย่างมากและมีความต้องการใช้เทคนิคที่สูง ประโยชน์ของการฝึกบิลเลียดนั้นคือ สมองจะได้ฝึกการใช้งานทั้งความคิดและการประสานงานของร่างกาย อาจจะพูดได้ว่าเป็นการฝึกเพื่อความบันเทิง
มันเป็นไปตามความคิดของจี้เฟิง การฝึกฝนยิมนาสติกที่น่าเบื่อและเจ็บปวดมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ในตอนนี้เขาสามารถที่จะฝึกทักษะใหม่ๆ ด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มที่
แน่นอนว่าบิลเลียดไม่ใช่ชื่อที่ถูกเรียกโดยสมองหมายเลข 1 แต่มันถูกเรียกว่าพูลบอล แต่สำหรับจี้เฟิงนั้น ชื่อเรียกมันไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาที่แท้จริง มันก็เหมือนกับการเผชิญหน้ากับโอเทลโล่ ซึ่งมันแทบไม่ต่างไปจากหมากล้อมที่เรารู้จักกันดี
………………………….
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์จบลง จี้เฟิงก็เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการมาโรงเรียนในเช้าวันจันทร์อย่างกระตือรือร้น
ในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่การศึกษาจะเน้นไปที่ผลของการสอบเป็นสำคัญ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางวิชาการ ถึงแม้ว่าคุณจะมีความสามารถด้านอื่นๆ สูง แต่ถ้าคุณไม่มีวุฒิการศึกษาเป็นการรับรอง ก็เรียกได้ว่าโอกาสที่จะได้งานที่ต้องการจะน้อยมาก แล้วไม่ว่าคุณจะมีความสามารถแค่ไหนก็จะไม่มีโอกาสได้แสดงมันออกมาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อไม่ให้แม่ของเขาต้องผิดหวัง จี้เฟิงจึงตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดทันทีที่เขามาถึงที่นั่งจางเล่ยก็โน้มตัวเข้ามาแล้วพูดด้วยร้อยยิ้ม “ไงเจ้าบ้า วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นไงบ้าง!”
“อื้ม เป็นวันหยุดที่ดีจริงๆ!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มตอบ นอกจากเขาจะสามารถหาเงินได้มากถึง 60,000 หยวนในวันหยุดที่ผ่านมา แต่เขายังได้เห็นความอับอายและความโกรธของซูหม่า เขาถือว่าเป็นวันหยุดที่คุ้มค่ามากจริงๆ
“เฮ้อออ” จางเล่ยถอนหายใจ เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้าวันหยุดที่ผ่านมานายมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ ส่วนวันหยุดของฉัน..มันช่างน่าเศร้าจริงๆ”
จี้เฟิงถามจางเล่ย “มันเกิดอะไรขึ้น นายถูกที่บ้านลงโทษอีกแล้วเหรอ?”
ตั้งแต่ที่จี้เฟิงรู้ว่าจางเล่ยต้องเติบโตขึ้นมาภายใต้แนวคิด ‘เด็กผู้ชายยากจนเด็กผู้หญิงร่ำรวย’ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า ชีวิตที่บ้านของจางเล่ยนั้นไม่ง่ายนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลักษณะนิสัยของจางเล่ย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะถูกตำหนิจากคนที่บ้านอยู่เป็นประจำ!
จางเล่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “เพื่อนรัก เวลาฉันอยู่บ้านฉันเป็นเด็กดีตลอดไม่ดื้อไม่ซนเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่กล้าสร้างปัญหาเวลาอยู่ที่บ้านหรอก ดังนั้นฉันจะถูกคนที่บ้านลงโทษได้ยังไง แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของฉันทุกข์เศร้าก็คือ อาจารย์เซียวคนสวยของเราต่างหาก”
จี้เฟิงรู้สึกเหมือนว่าหัวใจเขาสั่นไหวเล็กน้อย แต่สีหน้าภายนอกของเขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เขาแสร้งถามเหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก “เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เซียวหรือเปล่า หรือว่านายโดนเธอดุอะไรมา?”
“ไอ้บ้า ไม่ใช่โว้ย!”
จางเล่ยกลอกตาแล้วพูดว่า “นายก็น่าจะรู้ว่าผลการเรียนฉันเป็นยังไง และนอกเหนือจากผลการเรียนที่ดีมากของฉันแล้วเนี่ย ฉันยังเป็นนักเรียนที่สุภาพเรียบร้อยหน้าตาดี แล้วฉันจะโดนอาจารย์ด่าได้ยังไงเล่า!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า โอเคๆ แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและถาม
“ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันเลย ให้ตายเถอะ!” จางเล่ยส่ายหน้าอย่างหัวเสียและพูดว่า “เมื่อวานฉันรู้สึกเบื่อที่จะต้องอยู่บ้านในวันอาทิตย์ ฉันเลยออกไปเดินเล่น ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ฉันดันไปเห็นอาจารย์เซียวเดินอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ถนนอย่างใกล้ชิด
“ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นแฟนของอาจารย์เซียวหรอ?” ถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะเป็นคนถามคำถามนี้ด้วยตัวเองเพราะความอยากรู้ แต่ความรู้สึกของเขาช่างซับซ้อน เพราะส่วนลึกในใจเของเขาก็กลัวที่จะได้ยินคำตอบเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องรู้สึกแบบนี้ เพียงแค่เขานึกภาพอาจารย์เซียวที่เป็นคนสวยสมบูรณ์แบบต้องอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนอื่น หัวใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมได้
จางเล่ยพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ฉันว่าน่าจะใช่ ถึงแม้ว่าในวันนั้นอาจารย์เซียวจะไม่ได้ทำตัวสนิทสนมกับผู้ชายคนนั้นมากจนเกินไป แต่ฉันเห็นได้จากพฤติกรรมของพวกเขา ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนของอาจารย์เซียว ฉันก็มั่นใจว่าอย่างน้อยอาจารย์เซียวก็ต้องชอบผู้ชายคนนั้นแน่นอน!”
จี้เฟิงรู้สึกจุกในอกเขาพูดด้วยเสียงที่เกือบจะแหบพร่า “มันก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงสวยอย่างอาจารย์เซียวจะมีแฟน และเธออาจจะแต่งงานกับแฟนของเธอในอนาคต ว่าแต่นายเหอะ ชอบอาจารย์เซียวใช่ไหม?
ความขมขื่นในใจของเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาจารย์เซียวมีแฟน หรือเป็นเพราะจางเล่ยเพื่อนรักของเขานั้นชอบอาจารย์เซียวกันแน่ ความรู้สึกของเขามันซับซ้อนมาก!”
สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดหรือไปก้าวก่ายอะไรในชีวิตของเซียวหยูซวน เขาและเธอเป็นเพียงแค่อาจารย์และลูกศิษย์เท่านั้น เธอจะมีแฟนหรือไม่มันก็เรื่องของเธอ..?
“จากที่รู้อาจารย์เซียวเธอก็ไม่ได้มีเจ้าของ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาถ้าเธออยากจะหาแฟน เว้นแต่ว่านายอยากจะคบกับอาจารย์เซียวจริงๆ!” จี้เฟิงตบไหล่จางเล่ยเบาๆ ในขณะที่ตัวเขาเองก็รู้สึกเศร้าใจเหมือนกับว่ากำลังจะสูญเสียของรักของหวงไป!
“ปึง! …โครม!!”
จู่ๆ จางเล่ยก็ตบโต๊ะอย่างแรงและพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “เจ้าบ้า อาจารย์เซียวเธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก ถ้าจะบอกว่าฉันไม่ได้ชอบเธอก็คงเป็นเรื่องโกหก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องการจะคบกับเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายก็รู้สถานการณ์ที่บ้านฉันเป็นยังไง บางทีการแต่งงาน ของฉันเองในอนาคตมันอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันด้วยซ้ำ!”
“แล้วนายโกรธเรื่องอะไร?” หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ จี้เฟิงถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก และถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน ฉันโกรธมาก!”
จางเล่ยดูหัวเสียมากราวกับว่าเขามีเรื่องคับแค้นใจ เขากล่าวว่า “เจ้าบ้า ฉันจะไม่โมโหเลยถ้าอาจารย์เซียวเธอจะหาแฟนที่ดี แต่คนที่เธอจะเอามาทำแฟนมันไม่ได้คู่ควรกับเธอเลย!”
คิ้วของจี้เฟิงเลิกขึ้นด้วยความสงสัย และถามทันที “พูดให้เข้าใจหน่อย นายหมายถึงอะไร?”
จางเล่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “พอฉันเห็นท่าทางของผู้ชายคนเมื่อวาน ฉันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้ๆเพื่อแอบดู และฉันก็ได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นยังไง แล้วฉันก็พอจะบอกได้ว่าบุคลิกภายนอกของเขาดูเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยน..”
“เอ้า!.. แล้วนายยังจะบอกว่าไม่คู่ควรกับอาจารย์เซียวอีกหรอ?” จี้เฟิงยิ่งรู้สึกแปลกใจ “แม้อาจารย์เซียวจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากก็จริง แต่แฟนของเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหน้าตาดีเสมอไป ตราบใดที่เขาเป็นคนดีดูน่าเชื่อถือ หรือไม่ใช่?”
“ตุบ!”
จางเล่ยตบไหล่จี้เฟิง เขาพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เจ้าบ้า นายเชื่อสายตาการมองคนของฉันหรือเปล่าล่ะ? ฉันกล้าพูดได้เลยว่าจากการที่ฉันติดตามพ่อของฉันไปพบปะผู้คนมากมายในสายงานของเขามาหลายปี มันทำให้ฉันได้เรียนรู้จากพ่อของฉันด้วย มันทำให้ฉันมีความสามารถพิเศษเล็กๆ ว่าถ้าหากฉันได้มองเพียงไม่กี่ครั้งหรือได้พูดคุยแค่ไม่กี่คำ ฉันจะรู้ได้เลยว่าคนคนนี้มีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่ก็มีข้อยกเว้นน่ะนะ สำหรับพวกจิ้งจอกเฒ่ามากประสบการณ์ ฉันไม่สามารถมองออกได้จริงๆ!”
จี้เฟิงพยักหน้าทันที เขาเชื่อในสายตาของเพื่อนรัก และสิ่งที่จางเล่ยพูดมันก็สมเหตุสมผลในฐานะที่เขาเป็นลูกชายของถงไค่เต๋อ ผู้มีอิทธิพลของเขตนี้ จึงไม่แปลกที่เขาต้องพบผู้คนมากหน้าหลายตา โดยปกติแล้ว การมองคนออกเพียงแวบแรกที่พบ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืนเขาต้องผ่านประสบการณ์มามากจริงๆ!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงก็ยังไม่รู้ว่าทำไมจางเล่ยถึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือมันจะเกี่ยวข้องกับแฟนของเซียวหยูซวน?
……จบบทที่ 56~