บทที่ 62 เรียกมาคุย
“หัวหน้าชั้น…แหะๆ” จางเล่ยมองไปที่ดวงตาเล็กๆ ที่แสนเยือกเย็นของหัวหน้าชั้นถงเล่ย เขาได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “หัวหน้าชั้นมาหาถึงที่ขนาดนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า..?”
..ไม่ใช่ว่ายัยน้องสุดโหดนี่รู้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจฟังอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนหรอกนะ เธอไม่ได้จะมาเพื่อชำระบัญชีกับฉันใช่ไหม? จางเล่ยแอบคิดอยู่ในใจอย่างวิตกกังวล จะรอให้กลับบ้านก่อนค่อยมาจัดการฉันไม่ได้เลยหรือไง!?
จางเล่ยกำลังจะลุกขึ้นเพื่อที่จะไปยอมรับความผิดข้างนอกห้องเรียน
แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อถงเล่ยพูดออกมา มันทำให้จางเล่ยถึงกับงุนงงและหยุดค้างอยู่ในท่ากึ่งลุกกึ่งนั่ง
ด้วยเสียงที่ดังฟังชัดของถงเล่ยเธอพูดว่า “พี่.. เอ่อ.. จางเล่ยนายอยู่นี่แหละฉันไม่ได้มีธุระกับนาย จี้เฟิงนายช่วยออกมาข้างนอกสักครู่ได้ไหม?”
หือ?
ดวงตาของจางเล่ยเบิกกว้าง ทำไมน้องสาวของเขาถึงคิดที่จะมาหาจี้เฟิงในตอนนี้? ทั้งสองคนไม่ได้เลิกคุยกันไปตั้งเดือนกว่าๆ แล้วหรอกเหรอ? แล้วเมื่อตอนที่เขาถามจี้เฟิง ก็ไม่เห็นจี้เฟิงจะตอบอะไร เขาจึงคิดว่าทั้งสองคนคงมีปัญหาขัดแย้งกัน
แต่หากคิดดูดีๆ ถ้าพวกเขาทั้งสองคนมีปัญหากันจริงๆ ก็ควรจะเป็นจี้เฟิงที่ต้องเป็นฝ่ายไปหาถงเล่ยเพื่อขอโทษ ไม่ใช่ถงเล่ยที่เป็นฝ่ายมาหาจี้เฟิง ด้วยลักษณะนิสัยของถงเล่ยด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อน แล้วที่สำคัญพวกเขาถึงขนาดไม่คุยกันนานเป็นเดือนขนาดนี้ แสดงว่าปัญหาก็ต้องไม่ใช่ปัญหาเล็กๆแน่นอน
ตอนนี้จางเล่ยกำลังขยี้ตาตัวเองเพื่อดูให้ชัดๆ ว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝันที่เกิดจากการที่เขาแอบหลับเมื่อสักครู่นี้
จี้เฟิงมองไปที่สีหน้าของถงเล่ยที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา นอกจากความเย็นชาและแววตาแห่งความผิดหวัง แต่ก็ยังคงไม่สามารถปกปิดความสวยงามของใบหน้าเธอได้ จี้เฟิงมองหน้าเธอครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ “ได้สิ เราจะไปไหนกัน?”
“นายแค่เดินตามฉันมาก็พอ!” เมื่อถงเล่ยพูดประโยคนี้จบ ก็หันหลังและเดินนำออกไปทันที
ในขณะที่จี้เฟิงและถงเล่ยกำลังเดินออกจากห้องเรียนไปทีละคน ในตอนนั้นมีแววตาอาฆาตของซูหม่ากำลังจ้องเขม็งไปที่จี้เฟิงอย่างเงียบๆ เขาแอบกัดฟันด้วยความโกรธแค้น!!
“ไอ้จี้เฟิง! มึงอย่าคิดว่าจางเล่ยปกป้องมึงอยู่ แล้วมึงจะทำอะไรก็ได้ ระวังตัวไว้เถอะ…” เมื่อซูหม่านึกถึงคำเตือนของจางเล่ยและท่าทางที่น่าหมั่นไส้ของพวกเขา ซูหม่าก็อดไม่ได้ที่รู้สึกอยากจะให้จี้เฟิงตายไปให้รู้แล้วรู้รอด พวกมึงสองคนจำไว้ มันจะไม่ใช่ทุกครั้งที่พวกมึงจะทำอะไรกับกูก็ได้!”
แต่ซูหม่ารู้ดีอยู่แก่ใจว่า พ่อของเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าเกิดเขามีปัญหากับจางเล่ยในเวลานี้ เพราะถ้าเพียงแค่จี้เฟิงล่ะก็ ซูหม่าสามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย แต่เมื่อความจริงในตอนนี้ มีจางเล่ยเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาจึงรู้ดีว่า เขาเพียงคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรได้!
เขาเคยคิดที่จะมองหานักเลงสักคนตามชุมชนแออัด แต่เมื่อนึกถึงอำนาจของถงไค่เต่อ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะรอดพ้นสายตาของถงไค่เต๋อไปได้ และถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ถงไค่เต๋อต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเป็นฝีมือของเขา แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าคงจะไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเหลือเขาได้แม้แต่พ่อของเขาเอง
เมื่อซูหม่าคิดได้แบบนี้ เขาจึงทำได้แค่เพียงส่ายหัวและรู้สึกหมดหนทาง ดูเหมือนว่าจนกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเสร็จสิ้น เขาจะยังไม่สามารถทำอะไรจี้เฟิงได้ในตอนนี้ และต้องพยายามเข้าหาถงเล่ยให้ได้ด้วยความสามารถของเขาเองเท่านั้น
หลังจากที่ซูหม่าเห็นถงเล่ยและจี้เฟิงยังคงใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ในตอนนี้ เขาจึงจำเป็นต้องรีบคิดหาวิธีที่จะทำให้ถงเล่ยสนใจในตัวเขาให้ได้เร็วที่สุด เขาอยากจะรู้นักว่าจี้เฟิงไอ้เด็กยากจนที่ไม่มีใครเคยเห็นค่า มันใช้วิธีไหนถึงสามารถเข้าหาถงเล่ยเด็กสาวที่สวยที่สุดจนได้ฉายาว่าดอกไม้ของโรงเรียนได้!
“กูจะไม่ปล่อยให้มึงได้มีความสุขนานนักหรอก กูจะตามจองล้างจองผลาญมึง แม้กระทั่งมึงไปเรียนในมหาวิทยาลัยกูก็จะไม่ปล่อยมึงไปง่ายๆ มึงจะต้องเสียใจ ไอ้จี้เฟิง!” ซูหม่ากัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น
แน่นอนว่าจี้เฟิงในตอนนี้ไม่ได้รู้ถึงความคิดของซูหม่าเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเดินตามถงเล่ยไปจนสุดทางเดินของอาคารเรียนก่อนที่จะหยุดลง
ถงเล่ยในวันนี้ยังคงสวยสดงดงามเช่นเคย ผมยาวของเธอถูกมัดรวบสูงเป็นหางม้าอยู่ข้างหลังศีรษะ การสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีชมพูกางเกงยีนส์รัดรูปและรองเท้าผ้าใบสีชมพูของเธอนั้นไม่ได้ดูมีอะไรเป็นพิเศษเมื่อมองในแวบแรก เพราะเด็กสาวหลายคนในวัยนี้ก็แต่งตัวไม่ต่างจากเธอ แต่เสื้อผ้าที่ดูแสนจะธรรมดานี้ สามารถแสดงความรู้สึกที่แตกต่างออกมา เมื่อผู้ที่สวมใส่นั้นเป็นถงเล่ย
รูปร่างท่อนบนที่ถูกสวมด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีชมพูช่วยขับให้ใบหน้าของเธอดูอ่อนเยาว์และขาวขึ้น เผยให้เห็นลำคอขาวเนียนยาวระหงส์ น้อยคนนักที่จะกล้ามองเธอตรงๆ ส่วนท่อนล่างของเธอสวมใส่กางเกงยีนส์รัดรูปยิ่งทำให้เห็นเรียวขาที่ยาวสมส่วนของเธอ
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากที่สุดก็คือดวงตาคู่สวยของเธอ ทำให้นึกถึงทะเลสาบที่เงียบสงบมีแสงสะท้อนแวววาวสดใสเต็มไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์
และยังมีอีกสองแห่งที่แทบจะละสายตาออกไปไม่ได้เลยเมื่อได้มองเห็น นั่นก็คือเนินอกทั้งสองที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างรวมถึงบั้นท้ายที่กลมกลึงสวยงาม ที่ทำให้ความงามที่สดใสสมวัยมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างก็อยากที่จะได้ลองสัมผัสความงามเหล่านี้
เมื่อเห็นจี้เฟิงจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความดุบนใบหน้าสวยๆ ของเธอ และตะโกนถาม “จี้เฟิง นายกำลังมองอะไรอยู่?!”
จี้เฟิงได้สติขึ้นมาทันที เขาถอนสายตาออกมา แล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ฉันไม่ได้มองอะไรเลย ฉันแค่คิดว่าเธอสวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก!”
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”
เมื่อถงเล่ยรู้สึกว่าเธอคงพูดแรงเกินไป จึงก้มหน้าและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆหนึ่งครั้งก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบและเย็นชาว่า “จี้เฟิง นายรู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงเรียกนายออกมาคุย?”
จี้เฟิงส่ายหัวอย่างว่างเปล่า ในตอนนั้นเขากำลังฝึกฝนสมองอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขาเอง แล้วเขาก็ถูกจางเล่ยปลุกขึ้นมา ทันทีที่ออกจากจิตใต้สำนึก ถงเล่ยก็ยืนอยู่ข้างๆ เขาแล้ว และเรียกเขาออกมาอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่าทำไมถงเล่ยถึงเรียกเขาออกมาคุย?
เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของจี้เฟิง ความโกรธของถงเล่ยก็เหมือนจะหายไปในทันที แต่เมื่อเธอนึกถึงเรื่องที่เธอเรียกเขามาคุย เธอก็เหมือนจะโกรธขึ้นมาอีกครั้ง ถงเล่ยถามจี้เฟิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ที่ฉันเรียกนายออกมาวันนี้ เพราะฉันอยากจะคุยกับนายดีๆ และจริงจังเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“คุยเรื่องอะไร?” จี้เฟิงยังคงไม่เข้าใจ
“เรามาพูดกันเรื่องผลการเรียนและทัศนคติต่อการเรียนของนายกันเถอะ!” ถงเล่ยตอบ “จี้เฟิง นายต้องปล่อยให้เหตุการณ์ในอดีตผ่านไป ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมก่อนหน้านี้ ว่าเราเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน จำได้ใช่ไหม?”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ใช่ ฉันจำได้แน่นอน ถ้าเธอเรียกฉันมาเพื่อที่จะพูดเรื่องนี้ ฉันว่าเธอเสียเวลาเปล่า เธอจะปฎิบัติตัวกับฉันในฐานะเพื่อนหรือไม่ใช่ฉันไม่สน มันก็เป็นเรื่องของเธอแต่เธอไม่สามารถมาตัดสินหรือบังคับความรู้สึกฉันด้วยทัศนคติของเธอ ไม่ว่าเธอจะมีทัศนคติต่อฉันอย่างไรฉันรู้แค่เพียงว่าฉันชอบเธอและการชอบของฉันมันก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!”
ถงเล่ยถึงกับอึ้งเธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมาบอกชอบเธออย่างหนักแน่นและจริงจังขนาดนี้ แม้ว่าจะมีคนมาสารภาพรักกับเธอนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบเขียนจดหมายหรือมาพูดกับเธอตรงๆ แต่เธอก็ไม่เคยสนใจหรือตกลงคบกับใคร และที่สำคัญไม่เคยมีใครเคยบอกชอบเธออย่างจริงจังและเต็มไปด้วยความมั่นใจขนาดนี้เหมือนกับจี้เฟิง
หลังจากถงเล่ยพูดไม่ออกด้วยความตกตะลึงไปสักพัก เธอรีบดึงสติกลับมาแล้วพูดขึ้นว่า “เอาล่ะเราจะยังไม่พูดถึงเรื่องนี้กันในตอนนี้ ที่ฉันเรียกนายมาไม่ใช่เพื่อที่จะมาพูดถึงเรื่องนี้!”
ถงเล่ยรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “จี้เฟิงนายบอกฉันได้ไหมว่าทำไมผลการทดสอบปลายเดือนของนาย ถึงออกมาแบบนั้นมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
จี้เฟิงพยักหน้า “ที่ผลทดสอบออกมาแบบนั้นเพราะฉันทำไม่ค่อยได้น่ะ” เขาไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
ท้ายที่สุดแล้วหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนมัธยมปลายในปัจจุบัน มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับจี้เฟิงมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรกลและอาวุธของกาแลคซี่แกมมา จี้เฟิงก็เหมือนได้ค้นพบว่า ระบบการศึกษาของประเทศเขานั้นไร้ประโยชน์!
หลังจากเก้าปีของการศึกษาภาคบังคับฉันได้เรียนรู้สูตรเคมี และอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วนแต่สุดท้ายแล้วจะมีกี่สูตรกันที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงๆ ในอนาคตได้?
………จบบทที่62~