บทที่ 83 ปัญหากำลังจะมาถึง
เวลาในโรงเรียนมัธยมปลายปี 3 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงปลายเดือนพฤษภาคมแล้ว และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์
เมื่อช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ทางโรงเรียนได้ระงับการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย เพื่อให้นักเรียนได้สามารถทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง แต่ในความเป็นจริงมีเพียงไม่กี่คนที่อ่านหนังสืออย่างจริงจัง ตั้งแต่เริ่มต้นเปิดภาคเรียนของมัธยมปลายปี 3 นักเรียนหลายคนเรียนหนักมาก จนเมื่อถึงเดือนเมษายน นักเรียนหลายคนก็ป่วยจากอาการสมองล้าแล้ว
ดังนั้นตลอดเดือนพฤษภาคมความสามารถในการคิดและความจำของเหล่านักเรียนมัธยมปลายปี 3 ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพวกเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว ในเวลานี้นักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะทบทวนบทเรียนเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น พวกเขาต่างใช้เวลาที่เหลือไปกับการพักผ่อน
ส่วนจี้เฟิงนั้นยืนยันที่จะช่วยแม่ของเขาถีบรถสามล้อไปที่ถนนทุกวันเพื่อตั้งแผงขายผัก หลังจากนั้นเขาจึงมาโรงเรียนเพื่ออ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนจริงจังและเรียนเก่ง แต่จี้เฟิงนั้นพบว่าเขาได้เห็นซูหม่าบ้างเป็นครั้งคราวและเห็นว่าแววตาของซูหม่านั้นจะมีร่องรอยของความภาคภูมิใจอย่างแปลกประหลาด นั่นจึงทำให้จี้เฟิงต้องมีสติระแวดระวังตลอดเวลา
จี้เฟิงรู้ดีว่า ซูหม่าต้องการจะจัดการกับตัวเองมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ ด้วยเพราะความระวังตัวและได้รับความช่วยเหลือจากจางเล่ยเพื่อนรักของเขา อย่างไรก็ตามมีเหตุการณ์หนึ่งที่ซูหม่าได้สั่งให้นักเลง 6 คน มาดักทำร้ายเขา เขายังคงจำได้เสมอ
เมื่อนึกถึงวิธีการของซูหม่าที่ผ่านมา จี้เฟิงก็เริ่มที่จะต้องระวังตัว ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาจะปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ได้!
ดังนั้นจี้เฟิงยังคงมาโรงเรียนตรงเวลาทุกวัน แม้ว่าโรงเรียนจะไม่ได้มีการเรียนการสอนอะไรแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้นักเรียนมาโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ จี้เฟิงไม่ต้องการให้คนอื่นใช้จุดบกพร่องเล็กๆน้อยๆ มาทำให้เขาตกที่นั่งลำบากในภายหลัง
เช่นเดียวกันกับจี้เฟิง จางเล่ยยืนยันที่จะมาโรงเรียนทุกวัน อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้ไม่ได้มาโรงเรียนเพราะเขาอยากจะนั่งอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนแต่อย่างใด แต่นั่นเป็นเพราะเขาจะได้รับอิสระมากกว่าการที่เขาต้องอยู่ที่บ้าน
“เจ้าบ้า ระวังไอ้ซูหม่าไว้ให้ดี ฉันเห็นแววตาที่มันมองนาย ฉันคิดว่ามันน่าจะมีแผนชั่วอะไรอีก!” จางเล่ยพูดเสียงเบา “โดยเฉพาะวันสอบเข้ามหาลัยก็ใกล้เข้ามาทุกที ทางที่ดีช่วงนี้นายอย่าเพิ่งมีปัญหาอะไรกับมันดีกว่า เอาไว้รอหลังการสอบเสร็จสิ้น เราสองคนค่อยมาช่วยกันคิดหาวิธีรับมือกับแผนชั่วไอ้ซูหม่าด้วยกัน!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ดีว่าเรื่องไหนสำคัญและเรื่องไหนไม่ควรไปใส่ใจในเวลานี้ ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงซูหม่าให้ได้มากที่สุด และฉันจะจัดการกับมันเมื่อการสอบเข้ามหาลัยจบลง!”
จี้เฟิงรู้สึกโกรธอยู่ในใจ ซูหม่าเหมือนจะแค่ใช้ชีวิตอย่างเอ้อระเหยไปวันๆ ถ้าวันไหนไม่ได้คิดที่จะสร้างปัญหาให้กับจี้เฟิง เขาคงไม่มีความสุข จี้เฟิงที่ปกติไม่อยากจะยุ่งยากวุ่นวายกลับใคร จนในที่สุดเขาก็เริ่มหมดความอดทนกับซูหม่า
“ดีมาก!” จางเล่ยพยักหน้าและทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “เออ ใช่เจ้าบ้า ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านายเพิ่งได้เงินรางวัลมาตั้ง 60,000 หยวนเหรอ ทำไมนายไม่เอาไปซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแค่ไม่กี่ร้อยหยวนไว้สักหน่อยล่ะ เพื่อมีปัญหาอะไรนายจะได้โทรหาฉันโดยตรงทันที มันน่าจะสะดวกกว่า!”
“ตอนนี้ยังก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรฉันจะจัดการเอง!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม การซื้อโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งที่ต้องซื้ออย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่นั่นก็ต่อเมื่อหลังจากที่เขาสามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้แล้ว เพราะเขาต้องมีโทรศัพท์เพื่อไว้ใช้ติดต่อกับแม่ของเขา มันจะสะดวกขึ้นมาก เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าแม่ของเขายินดีที่จะย้ายไปเจียงโจวพร้อมกับเขาหรือไม่
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงก็ไม่อาจรู้คำตอบของแม่ได้ในตอนนี้และเขาต้องรอคุยเรื่องนี้กับแม่ของเขาเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นจี้เฟิงได้ตัดสินใจแล้วว่า ก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ว่าซูหม่าจะตั้งใจหาเรื่องเขาอย่างไร เขาก็ต้องอดทนไปจนกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเสร็จสิ้นและเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาถึงจะไปพูดคุยกันแม่อย่างจริงจัง
…..
ตลอดสามวันข้างหน้าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้ลดความระวังตัวลง เขารู้ดีว่าซูหม่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
…….
ก่อนวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทางโรงเรียนได้มีการออกบัตรเข้าสอบ และจี้เฟิงก็มาที่โรงเรียนอีกครั้ง
“จี้เฟิง~!”
ก่อนที่เขาจะเข้าห้องเรียน ร่างที่สวยงามของถงเล่ยก็ปรากฏขึ้นในสายตาของจี้เฟิง
ทันใดนั้นใบหน้าของจี้เฟิงก็ปรากฏรอยยิ้มและเขาก็เดินเข้าไปหาถงเล่ยอย่างรวดเร็ว “ถงเล่ย เธอสอบห้องไหน?”
ถงเล่ยมองเขาด้วยหางตา และพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณจี้เฟิงคะ เรายังไม่ได้เข้าห้องเรียนเลย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณได้สอบห้องไหน ถ้ายังไม่ได้รับบัตรเข้าสอบ!”
“จริงด้วย!” จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ถงเล่ย เธออย่าเครียดกับการสอบมากเกินไปนะ ฉันเชื่อเธอต้องเป็นอันดับหนึ่งด้านวิทยาศาสตร์ของเขตเราแน่นอน!”
“ตาบ้า!” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “นายพูดล้อฉันอีกแล้วนะ!”
“ฉันจะกล้าได้ยังไง!”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียนพร้อมพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน เมื่ออาจารย์ประจำชั้นแจกบัตรเข้าสอบ จี้เฟิงได้ห้องสอบที่อาคารเรียนแห่งนี้ ส่วนถงเล่ยได้ห้องสอบที่อยู่ในส่วนของมัธยมต้น สำหรับจางเล่ย เขานั้นได้อยู่ห้องสอบเดียวกันกับจี้เฟิงโดยบังเอิญ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้นั่งใกล้กันเท่าไหร่
“น้องชาย วันนี้เป็นโชคดีของนาย!” จางเล่ยหัวเราะและตบไหล่จี้เฟิง “นายไม่ต้องกังวลไป ถ้านายทำไม่ได้ นายก็แค่ลอกฉัน!”
ถงเล่ยทนฟังไม่ได้ เมื่อเห็นจางเล่ยพูดอย่างอารมณ์ดี “คุณจางเล่ยคะ ไม่รู้สึกอายปากบ้างเหรอที่บอกว่าให้จี้เฟิงสามารถลอกข้อสอบคุณได้ คุณติดแค่หนึ่งในห้าของชั้นเรียน แต่จี้เฟิงเขาติดหนึ่งในสามของชั้นปีถึงสามครั้งติดต่อกัน! ฉันเกรงว่าจะเป็นคุณมากกว่าที่ต้องลอกเขา!”
“ใครลอกใครผลมันก็ออกมาเหมือนกันหมดนั่นแหละ!” จางเล่ยพูดอย่างภูมิใจ
จี้เฟิงและถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ผู้ชายคนนี้นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“จี้เฟิง! มานี่แป๊บนึงสิ ฉันมีบางอย่างจะบอกนาย!” ในขณะนั้นเอง หวังตง เพื่อนนักเรียนที่มักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิง มากระซิบข้างๆเขา
จี้เฟิงมองหวังตงด้วยความแปลกใจ และเขาก็เดินตามหวังตงไปที่ริมห้องและถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าหวังตง ทำไมนายทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ขนาดนั้น มีอะไรบอกฉันตรงๆ ได้เลย!”
หวังตงมองไปรอบๆ หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงที่ต่ำและเบามาก “จี้เฟิง นายต้องระวังตัวไว้ให้ดีๆ นะ ตอนที่ฉันมาโรงเรียนวันนี้ ฉันเห็นซูหม่าเดินมากับนักเลงผมแดง เหมือนเขากำลังพูดคุยอธิบายอะไรบางอย่างให้นักเลงผมแดงพวกนั้นฟัง ฉันเลยคิดว่าซูหม่าอาจจะสั่งให้นักเลงพวกนั้นมาจัดการกับนาย!”
“เป็นไปไม่ได้?” จี้เฟิงขมวดคิ้ว
“มันจะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง!” หวังตงกระซิบ “นายคิดว่าถ้านักเลงพวกนั้นมารุมกระทืบนายแล้วนายจะไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ หรือต่อให้นายฟลุ๊คโชคดีต่อสู้ชนะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร นายคิดว่ามันจะไม่เกิดปัญหากับการสอบเข้ามหาลัยเลยเหรอ แล้วยิ่งถ้าเรื่องถึงตำรวจการสอบของนายต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างแน่นอน!”
จี้เฟิงหรี่ตาใช้ความคิดหลังจากนั้นก็มีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาเขา คำพูดของหวังตงทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที ไม่น่าแปลกใจที่ซูหม่าไม่ได้ลงมือทำอะไรเขาเลยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่าซูหม่ากำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้อยู่นี่เอง ช่างเป็นแผนที่ชั่วร้ายจริงๆ
ใช้นักเลงไม่กี่คนก็ทำให้เขาสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ … ความโกรธของจี้เฟิงพุ่งขึ้นจนอัดแน่นอยู่เต็มอก ซูหม่าได้หาเรื่องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบ มันจึงทำให้จี้เฟิงโกรธเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงรู้สึกชื่นชมหวังตงมาก เพราะโดยปกติแล้ว หวังตงที่เป็นคนตัวเล็กและมักจะเก็บตัวเวลาอยู่ในชั้นเรียน ถึงแม้จี้เฟิงและจางเล่ยจะหัวเราะหยอกล้อกับเขาบ้างในบางครั้ง แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยรู้ว่า หวังตงเป็นคนที่มีความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์ที่เก่งกาจขนาดนี้
ในตอนนี้ สองพี่น้องจางเล่ยและถงเล่ยก็พบว่าการแสดงออกของจี้เฟิงผิดปกติไปเล็กน้อย
“คนบ้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” จางเล่ยถามทันที
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่มีอะไร”
หวังตงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากพูด “เล่ยซือ.. ดูเหมือนว่าซูหม่าจะหาคนมาจัดการกับจี้เฟิงในวันนี้…” เขาพูดในสิ่งที่เขาเห็นออกมาทันที
“กูว่าแล้ว!!” จางเล่ยสบถด้วยความโมโหออกมาทันที “ไอ้เชี่ยนั่นแม่งก็หาวิธีจนได้ มันคงรอโอกาสนี้อยู่แล้ว มันคงจะอาศัยช่วงเวลาที่ใกล้วันสอบเข้ามหาลัย แล้วก็หาคนมารุมกระทืบนายจนทำให้นายไม่สามารถไปสอบได้… ไอ้เลวซูหม่า มึงแม่งชั่วได้ใจจริงๆ!”
สีหน้าของถงเล่ยในเวลานี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าจางเล่ยเท่าไหร่นัก ถ้าแผนของซูหม่าเกิดสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เธอกลัวว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้พบกับจี้เฟิงอีกตลอดไป แล้วจะไม่ให้เธอโกรธได้อย่างไร?
“อย่าเพิ่งใจร้อนไป เป็นเรื่องปกติที่ซูหม่าจะมีคนรู้จักเป็นพวกนักเลง บางทีพวกมันอาจจะแค่คุยกันเฉยๆ ไม่ได้มาจัดการกับฉันก็ได้” จี้เฟิงพึมพำ “เราก็แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร แล้วฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงมันเอง”
“จะหลีกเลี่ยงยังไง?” ถงเล่ยถามอย่างโกรธๆ “ต่อให้วันนี้พวกนั้นจะทำอะไรนายไม่ได้ แต่วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ล่ะ จะทำยังไง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยอาจจะใช้เวลาถึงสองวัน แล้วถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจนนายไปสอบไม่ได้ นายก็จะไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนะ!”
“ถูกต้อง!”
สีหน้าของจางเล่ยเคร่งเครียดขึ้น ซูหม่าวางแผนจัดการกับจี้เฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งทำให้จางเล่ยรู้สึกหงุดหงิดและโมโหมาก “เจ้าบ้า เรื่องนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเอง!”
เมื่อเห็นที่จี้เฟิงกำลังจะอ้าปากพูด จางเล่ยจึงรีบพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “จี้เฟิง ถ้านายยังนับถือฉันเป็นพี่น้องอยู่ นายลองคิดกลับกัน ถ้าฉันเป็นคนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนนาย แล้วนายจะทำยังไง? นายจะนั่งดูเฉยๆ ปล่อยให้ฉันเจอกับเรื่องอันตรายคนเดียวโดยไม่ทำอะไรเลยหรือเปล่าล่ะ?”
ด้วยเหตุผลนี้ จี้เฟิงถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันเป็นเพราะความมั่นใจในตัวเองของเขา ว่าเขานั้นจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน เขาจึงไม่อยากใช้ครอบครัวของจางเล่ยและถงเล่ยมาจัดการปัญหาต่างๆ ให้กับเขา
การพึ่งพาอาศัยกำลังของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จี้เฟิงก็พูดขึ้นทันทีว่า “เล่ยซือ ฉันจะฝากเรื่องนี้ให้นายช่วยจัดการให้ก็ได้ แต่นายต้องรับปากฉันอย่างหนึ่งว่า นายจะไม่ทำอะไรที่มันเสี่ยงเกินไป มิฉะนั้นมันอาจจะส่งผลต่อการสอบเข้ามหาลัยของนายได้ ฉันไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นกับนาย และมันจะไม่ดีกับเรา เพราะฉะนั้น อย่าหาทำ!”
จางเล่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย “โอเค ฉันรับปาก จะทำตามที่นายพูด!”
“เอ่อ.. ฉันอยากจะเสนอไอเดียอะไรสักหน่อย แต่ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะพูดออกมาดีหรือเปล่า” หวังตงที่อยู่ข้างๆ กระซิบ
จี้เฟิง จางเล่ยและถงเล่ย พวกเขาทั้งสามคนหันไปมองหวังตงในเวลาเดียวกัน จางเล่ยยิ้ม “นายมีอะไรก็พูดมาเถอะ!”
หวังตงกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันจะพูด อาจจะทำให้ถงเล่ยไม่พอใจ”
“ฉันเหรอ?” ถงเล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจความหมายที่หวังตงพูด จี้เฟิงและจางเล่ยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“พวกนักเลงหัวไม้มันชอบอะไรมากที่สุด แน่นอนว่าไม่พ้นเรื่องการดื่มเหล้า รังแกคนอื่น รีดไถเงิน และแน่นอน สาวสวย!” หวังตงยิ้มอย่างมั่นใจ “พวกนายคิดว่านักเลงพวกนั้นมันจะทำยังไงถ้าเห็นสาวสวยอย่างถงเล่ย?”
“หวังตง ที่นายพูดมันหมายความว่ายังไง?” จางเล่ยดูเหมือนจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างและถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
หวังตงยังคงยิ้มและพูดว่า “ฉันหมายถึงให้ถงเล่ยและจี้เฟิงเดินไปด้วยกัน ส่วนนายจางเล่ย นายก็เดินตามหลังไปกับฉัน แล้วถ้าคนพวกนั้นมันดักทำร้ายจี้เฟิงอยู่จริงๆ มันก็ต้องเห็นถงเล่ยและจี้เฟิงเดินไปด้วยกัน ในเมื่อพวกมันเห็นเป้าหมายที่ต้องจัดการมากับสาวสวยที่พวกมันชอบ มีเหรอที่พวกมันจะไม่ลงมือ แล้วเมื่อพวกมันโผล่หัวมา ก็ให้ถงเล่ยตะโกนว่าถูกลวนลาม แล้วพวกเราสองคนก็รีบออกไปช่วยในทันทีหลังจากนั้นพวกเราก็รีบโทรแจ้งตำรวจ แล้วนักเลงพวกนั้นก็จะพบกับความโชคร้าย…”
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ของหวังตง จางเล่ยและจี้เฟิงต่างมองหน้ากัน ทั้งคู่ก็เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแผนการของหวังตงนั้นยอดเยี่ยมมาก ถงเล่ยไม่ใช่เด็กสาวที่มีแค่ความสวยแต่เธอคือลูกสาวของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต ถึงพวกนั้นจะไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเธอ แต่เพียงแค่เสียงตะโกนจากเธอก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นักเลงพวกนั้นโชคร้ายอย่างหนัก
นอกจากนี้พวกเขายังสามารถโทรแจ้งตำรวจไว้ล่วงหน้าได้ เมื่อตำรวจมาถึงก็จะพบกับหลักฐานที่ชัดเจนในทันที
ด้วยวิธีนี้ จี้เฟิงจึงไม่ต้องกลายเป็นฝ่ายคอยรับมืออีกต่อไป แม้ว่าตำรวจหลายคนอาจจะอยู่ฝั่งของซูหม่า แต่ถ้าจี้เฟิงไม่ได้เป็นฝ่ายลงมือทำอะไรเลย พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรจี้เฟิงได้
“ร้ายกาจ!”
จี้เฟิงและจางเล่ยพูดพร้อมกัน
แต่ถงเล่ยทำเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะโทรหาผู้กองหยานก่อน แล้วขอให้เขาส่งคนไปรอรอบๆ บริเวณในชุดนอกเครื่องแบบ”
จี้เฟิงและจางเล่ยต่างหัวเราะสะใจออกมาพร้อมกัน นักเลงตัวน้อยเหล่านั้นกำลังจะพบกับความซวยโดยไม่รู้ตัว ฮ่าฮ่าฮ่า~!
………จบบทที่ 83~