บทที่ 105 เป้าหมายที่ชัดเจนของจางเลย !
“ว้าว! สุดยอดมาก!!” ใบหน้าของจางเล่ยเต็มไปด้วยคําว่า “ว้าว”แต่สายตาของเขาสบเข้า กับสายตาของจี้เฟิงและพวกเขาต่างก็เห็นรอยยิ้มจากแววตาของกันและกัน
อวดเบ่งพลังอํานาจของตระกูลต่อหน้าลูกหลานตระกูลนี่มันเรื่องตลกระดับชาติชัดๆ
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อู๋จุนเจียจะไม่อยู่ในสายตาของจางเล่ยอีกต่อไปเขาได้แต่ส่ายหัวเล็กน้อยหลับตาและนอนต่อ เขารู้สึกเสียเวลาที่จะพูดคุยกับคนที่เอาอํานาจของตระกูลอื่นมาโอ้อวด
และแน่นอนว่าอู๋จุนเจี้ยไม่รู้ตัว เขายังคงพูดจาอย่างภาคภูมิใจว่า “ในอนาคตถ้าคุณมีปัญหาอะไรในเจียงโจว เพียงแค่คุณมาหาฉันคุณก็จะไม่ต้องเจออะไรที่ไม่ยุติธรรมกับคุณ”
ในที่สุดจี้เพิ่งก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรบางอย่าง “คุณนี่น่าทึ่งมากจริงๆ!”
“ฮ่าฮ่า เรื่องธรรมดา!” อู๋จุนเจี้ยส่ายหัวและยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ “ฉันคิดว่าที่พวกเราพบกันมันคงเป็นเพราะโชคชะตาต้องการให้เราเป็นเพื่อนกัน เพื่อความสะดวกในการติดต่อฉันว่าเรามาแลกเบอร์โทรศัพท์มือถือกันดีมั้ย?
“ผมว่าคงไม่จําเป็น!”
จี้เฟิงยังคงตอบกลับไปด้วยท่าทีที่สุขุม แต่เต็มไปด้วยความชัดเจนในน้ําเสียง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนใจกว้างแค่ไหน เขาก็คงไม่ใจดีขนาดปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้าที่จ้องมองแฟนของเขาตาเป็นมันขนาดนี้ได้เบอร์โทรศัพท์ไปไม่ว่าจะเป็นเบอร์ของถงเลยหรือของเขาก็ตามแต่ ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่กับจี้เฟิงเลยไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงไม่มีใครยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กับผู้ชายที่แสดงความชอบพอแฟนสาวของตัวเองอย่างออกนอกหน้าแบบนี้
“ในอนาคตถ้าเรามีโอกาสได้พบกันอีก ผมหวังว่าจะได้พบเพื่อนสนิทที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณด้วย เขาชื่ออะไรนะ?” จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
หุ้นเจี้ยตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “เขาชื่อ จี้ช่าวหยิน เป็นลูกชายคนเล็กของเลขาธิการพรรคแห่งเจียงโจว แต่เขาไม่ใช่คนที่คุณอยากจะพบเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งถ้าไม่ได้รับคําแนะนําจากผมก็ยากหน่อย เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากพบเขาจริงๆ ไว้มีโอกาสผมจะพาไปทําความรู้จักก็แล้วกันนะ!”
“ฮ่าฮ่า งั้นไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง!”
จี้เพิ่งยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปหาถงเลยที่กําลังสะกิดที่แขนของเขาเบาๆเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง จี้เพิ่งโน้มตัวเข้าไปหาถงเล่ย ทิ้งให้อู่จันเจี้ยยืนเคว้งด้วยสีหน้ากระอักกระอ้วน
เนื่องจากจี้เฟิงหันไปหาถึงเลย เขาจึงไม่ทันเห็นสีหน้าและแววตาของหุ้นเจี้ยที่มองจี้เฟิงอย่างรังเกียจ แต่เขาก็แสดงมันออกมาเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
“จี้เฟิง เขาดูเป็นคนไม่ดีเท่าไหร่ ฉันว่านายอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า!” ถงเล่ยโน้มตัวเล็กน้อยและพูดกระซิบเบาๆที่ข้างหูของจี้เฟิง
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เขาไม่มาวุ่นวายกับเราฉันก็จะไม่คุยกับเขาอีก แต่ที่ตอนนี้ฉันยังคุยกับเขานั่นเพราะว่าเขาก็เรียนที่มหาลัยเดียวกันกับเรา ฉันเลยคุยเป็นมารยาทเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต”
ตั้งแต่ที่เพิ่งรู้ว่า อี้จั่นเจียเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเช่นเดียวกันกับพวกเขา เขาจึงรู้โดยทันที่ว่าพวกเขาจะต้องพบกันอีกอย่างแน่นอนในอนาคต เพื่อป้องกันปัญหาและความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเขาเลยพยายามมองข้ามสายตาของอู๋จุนเจี้ยที่มองถงเลย และตราบใดที่มันไม่วุ่นวายมากไปกว่านี้เขาก็จะปล่อยมันไป!
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงสิ่งที่คุ้นเจี้ยพูดถึงจี้ช่าวหยิน เขาก็จําได้ลางๆที่อาสามเคยบอกกับเขาว่า ลูกชายคนเล็กของอาคนที่สองของเขา ปีนี้เขาเพิ่งจะมีอายุแค่สิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ดูเหมือนจะกําลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น
ลูกพี่ลูกน้องของอี้จั่นเจียและจี้ชาวหยินเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆหรือ?
เพราะถ้าดูจากอายุของอู๋จุนเจี้ยลูกพี่ลูกน้องของเขาก็น่าจะอายุราวๆสิบแปดสิบเก้าปีหรืออย่างมากก็น่าจะอยู่ราวๆยี่สิบปีต้นๆ แต่พวกเขากลับเป็นเพื่อนซี้กับนักเรียนมัธยมต้น?… จี้เพิ่งอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ไม่ว่าจี้เพิ่งจะคิดยังไงเขาก็คิดไม่ออก เขายังคงรู้สึกแปลกๆอยู่ดี เนื่องจากอายุที่อยู่ กันคนละช่วงวัยจึงมีความเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะเป็นเพื่อนสนิทอยู่กลุ่มเดียวกันอย่างที่อู่ ฉันเจี้ยพูดไว้แต่ลองมาคิดๆดูแล้ว ถ้าพวกเขาต่างเป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสูงเหมือนกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเพราะหน้าตาทางสังคมต่างทําผลประโยชน์ให้กับพวกเขา
ตอนนี้จี้เพิ่งคงคิดไม่ถึงว่าความเป็นจริงนั้นห่างไกลจากสิ่งที่เขาจินตนาการไว้มาก
รถไฟขบวนนี้เริ่มเดินทางออกจากผิงฉิงมุ่งสู่เจียงโจว ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 10 ชั่วโมง แต่เนื่องจากจุดที่จี้เฟิง จางเล่ยและถงเล่ยขึ้นรถมาก็คือเขตหมางซื่อซึ่งอยู่ระหว่างสิ่งฉิงและเจียงโจวจึงใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงในการเดินทางถ้านับจากเขตหมางซื่อไปยังเจียงโจว
เมื่อมีเสียงประกาศภายในรถไฟดังขึ้น ในที่สุดจางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมากระโดดไปมาขยับร่างกายที่รู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งรถไฟเป็นเวลาหลายชั่วโมง จากนั้นเขาส่ายหัวและพูดอย่างเกียจคร้าน “เฮ้อ- รถไฟขบวนนี้นี่เอื่อยเฉื่อยสุดๆ นอกจากจะโคตรช้าแล้วยังไม่ยอมเปิดเครื่องปรับอากาศในวันที่อากาศร้อนแทบบ้าแบบนี้อีก ถ้ามาถึงช้ากว่านี้อีกนิด ฉันว่าฉันคงต้องได้เป็นลมตายคารถไฟบ้านี่แน่นอน!”
ถงเลยอดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งไปที่พี่ชายของเธออย่างดุๆและพูดว่า “ถ้าบ่นแล้วมันไม่ได้ ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า และถ้าไม่ใช่เพราะพี่ปฏิเสธเรื่องที่พ่อจะให้รถมาส่งพวกเราก็คงไม่ต้องมาลําบากแบบนี้ แถมยังเจอคนนิสัยไม่ดีมาก่อกวนอีก!”
เห็นได้ชัดว่าถงเลยยังคงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเรื่องที่อู๋จุนเจี้ยมาวุ่นวายกับพวกเธอ อันที่จริงที่เธอรู้สึกไม่พอใจสุดๆน่าจะเป็นเพราะเรื่องที่ออุ้นเจี้ยมาพูดจาล้อเลียนดูถูกจี้เฟิงมากกว่านั่นจึงทําให้ เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์และเพิกเฉยต่อเขาเหมือนเขาไม่มีตัวตน
จางเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ พร้อมกับหยิบกระเป๋าของจี้เงและถงเลยส่งให้พวกเขา
พวกเขาทั้งสามคนไม่ได้นําของมามากมายนัก มีเพียงกระเป๋าใบเล็กๆที่บรรจุเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและอาหารบางอย่างไว้กินระหว่างทาง
“เฮ้ พวกคุณสามคน พอดีว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันส่งคนมารับฉันด้วยรถส่วนตัว พวกคุณเรียนที่ไหน ทําไมถึงไม่ให้ฉันไปส่งคุณที่นั่นล่ะ?” เมื่ออู่จันเจี้ยเห็นว่าพวกจี้เฟิง กําลังหยิบกระเป๋าและเตรียมลงจากรถไฟ เขาก็เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว และถามขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ถึงเลย
“ฉันคิดว่าคงไม่จําเป็นมีรถจากมหาลัยมารอรับพวกเราอยู่แล้ว!” จางเลยพูดเบาๆ แต่น้ํา เสียงของเขาค่อนข้างแย่ผู้ชายคนนี้ทําแบบนี้โดยที่ไม่รู้ตัวหรือว่าตั้งใจที่จะยั่วโมโหจี้เฟิงเพื่อนของเขากันแน่?
จี้เพิ่งมองอู๋จุนเจี้ยด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจอย่างเปิดเผย จากนั้นเขาจับมือเล็กๆของถงเลยและก้าวลงจากรถไฟไปอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเหอะ ฉันอุตส่าห์มีน้ําใจ ทําเป็นเล่นตัว!” อู๋จุนเจี้ยกัดฟันและพูดอย่างเย็นชา “สาวน้อย ฉันต้องเอาเธอมาเป็นของฉันให้ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่ฉันเล่นกับเธอจนเบื่อ ฉันก็โยนเธอทิ้งให้เหมือนกับของเล่นเก่าๆพังๆ ฉันอยากจะรู้นักว่าเธอจะขอร้องอ้อนวอนเพื่อไม่ให้ฉันทิ้งเธอด้วยท่าทางแบบไหนเมื่อถึงเวลานั้น!”
ทางแบบ
ในขณะเดียวกัน นักเรียนที่มาพร้อมกับอู่จันเจี้ยก็กระซิบข้างๆเขา “พี่ตุ้น ในเมื่อลูกพี่ลูกน้องของพี่มีอํานาจมากมายขนาดนั้นในเจียงโจว ทําไมพี่หุ้นไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องของพี่ช่วยสั่งสอนไอ้ผู้ชายสองคนนั้นล่ะ? ฉันกล้าพูดได้เลยว่า สาวสวยคนนั้นต้องมาขอร้องอ้อนวอนเพื่อขอคบกับพี่อย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นดวงตาของอู่จันเจี้ยก็สว่างขึ้น เขาพยักหน้าแรงๆ “อึมความคิดไม่เลว นายมั่นใจได้เลยว่าตราบใดที่นายติดตามและซื่อสัตย์กับฉัน นายก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะกล้าทําอะไรนายในเจียง โจว แล้วถ้ามีโอกาสไว้ฉันจะแนะนําให้รู้จักกับลูกพี่ลูกน้องของฉันก็แล้วกัน!”
“ขอบคุณครับลูกพี่!” นักเรียนคนนั้นพูดอย่างมีความสุขทันที สีหน้าของนักเรียนคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างแสดงความอิจฉาและรู้สึกโมโหตัวเองว่าทําไมพวกเขาถึงไม่คิดแบบนี้ให้ได้บ้างทุกคน ต่างรู้ดีว่าบุคคลที่สามารถมีอํานาจมากมายในศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่างเจียวโจวได้นั้นไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ และการที่ได้รู้จักกับบุคคลเช่นนี้อาจจะเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของพวกเขาในอนาคต
ในขณะเดียวกันพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้รู้เลยว่าอู่หุ้นเจี้ยกําลังมีความคิดที่ไม่ดีกับพวกเขาอยู่เมื่อทั้งสามคนได้ออกมาจากสถานีรถไฟ พวกเขาก็เห็นป้ายที่โดดเด่นถูกแขวนอยู่ชั้นบนถัดจากจัตุรัสซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางออกของสถานี นั่นคือป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ของ สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจว
“นั่น!” จางเลยที่เห็นป้ายดังกล่าวพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางโต๊ะประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย
ทั้งสามคนรีบวิ่งไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ และเห็นหนุ่มสาวหลายคนที่ดูเหมือนเป็นนักศึกษากําลังถือโทรโข่งพร้อมกับตะโกนว่า “น้องใหม่ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวทุกคน กรุณามารายงานตัวที่นี่และขึ้นรถบัสที่จอดอยู่ตรงนี้ได้เลย
มีรถบัสจอดอยู่ใกล้ๆกับที่นักศึกษาสองสามคนตะโกนพูดในโทรโข่งเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่ามีรถบัสจอดอยู่หลายคันเพื่อรอรับนักเรียนนักศึกษา
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนยื่นหนังสือแจ้งการเข้าเรียนเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ขึ้นรถคันเดียวกัน และในเวลานี้ คนก็ใกล้จะเต็มคันรถแล้ว คนขับจึงตะโกนบอก “นั่งให้เรียบร้อย รถกําลังจะออกแล้ว!”
“นี่เจ้าบ้า นายคิดว่าในมหาลัยเจียงโจวนจะมีสาวสวยๆแจ่มๆเยอะมากมั้ย?” จางเล่ยถามอย่างตื่นเต้น
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ฉันจะรู้ได้ยังไง? นายลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันก็เพิ่งเคยมาที่เจียงโจวนี่เป็นครั้งแรก!”
ถงเลยที่อยู่ข้างๆเขา ตีไปที่จางเล่ยอย่างแรงและอดไม่ได้ที่จะบ่นพี่ชายของเธอ “พี่! อย่าทําให้จี้เพิ่งต้องเสียคนเหมือนพี่ได้มั้ย ไม่งั้นฉันจะทําให้พี่ไม่มีโอกาสได้ไปจีบสาวอีกเลยคอยดู!”
“โอ้- เจ้าบ้าผู้น่าสงสาร!” จางเลยมองไปที่จี้เพิ่งด้วยแววตาแห่งความสงสารจับใจ จางเลยคิดว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยอันแสนสุขของน้องชายคนนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว ในเมื่อเขาต้องอยู่ในสายตาของน้องสาวแสนสวยของเขาแบบนี้ แม้ว่าเขาอยากจะมองสิ่งสวยๆงามๆบ้างเป็นบางครั้ง ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว!
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและคิดว่าการตัดสินใจของเขานั้นฉลาดและถูกต้องที่สุดแล้ว
เขาลองจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่ว่าถ้าจู่ๆ พวกเขาได้พบเห็นหญิงสาวแสนสวยและน่าสนใจสิ่งแรกที่เขามั่นใจได้เลยก็คือว่า จี้เพิ่งจะไม่มีโอกาสได้จีบสาวสวยคนนั้นอย่างแน่นอนเพราะเขามี ถงเลยคอยคุมอยู่ นั่นคือผลประโยชน์อย่างแรกที่เขาจะได้รับ ส่วนอีกอย่างนึงเขาสามารถใช้ขี้เฟิง ให้ช่วยเขาจีบสาวได้อย่างสบายใจ
ประการที่สอง จางเล่ยผู้ตัดสินใจที่จะไม่หาแฟนในโรงเรียนมัธยมนั่นก็หมายความว่า ยังมีป่าข นาดใหญ่ในมหาลัยที่มีกวางน้อยแสนสวยรอให้เขาล่าอยู่อีกมากมาย แล้วถ้าเขาจะต้องมีแฟนตั้งแต่มัธยมจนขาดอิสระอย่างงี้เพิ่งเขาจะไม่ให้อภัยตัวเองอย่างเด็ดขาด!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพอใจ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดอีกครั้งจางเล่ยก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
คุณควรรู้ว่าจางเลยมีพื้นเพมาจากครอบครัวที่ใหญ่โต เขาจึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลที่ร่ํารวยและมีอํานาจเหล่านั้นโดยธรรมชาติ เช่นเรื่องการแต่งงานในครอบครัวของพวกเขานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจและความสัมพันธ์อันดีที่จะสนับสนุนพลังอํานานซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นในยุคสมัยนี้จึงมีคู่รักนอกสมรสกันมากมายจนแทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับคนที่เติบโตมาในครอบครัวเหล่านั้น ที่เห็นว่าการมีผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาอยู่นอกบ้านเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาที่สมควรทํา
อย่างไรก็ตามคู่รักสามีภรรยาส่วนใหญ่ที่อยู่ด้วยกันเนื่องจากการคลุมถุงชนจากทางครอบครัวมีเพียงไม่กี่คู่ที่รักกันจริงๆ ดังนั้นภรรยาเหล่านี้จึงรู้ดีว่าสามีของพวกเธอนั้นมักจะมีคู่รักอยู่ข้างนอกและเธอก็จะพยายามไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้มากนัก
เพราะในตระกูลใหญ่เหล่านี้ผู้หญิงมีไว้เพื่อเพิ่มความผูกพันระหว่างสองตระกูล แน่นอนว่าความผูกพันพื้นฐานที่ว่านี้ก็คือผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน นอกเหนือจากผลประโยชน์แล้วก็ไม่มีอะไรสําคัญอีก
แต่เนื่องจากจางเลยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจี้เพิ่งจะมีภูมิหลังที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เพราะเดิมที่เขาคิดว่าจี้เพิ่งเป็นเพียงลูกชายของครอบครัวธรรมดาๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการอํานวยความสะดวกเรื่องการคบหากันระหว่างจี้เพิ่งกับน้องสาวของเขา ด้วยวิธีนี้แม้ว่าครอบครัวของเขาจะคัดค้าน เขาก็จะช่วยพูดอย่างสุดกําลัง
แต่ในเมื่อตอนนี้จี้เฟิงมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เขาจะยังตัดสินใจแต่งงานด้วยตัวเองอยู่ได้หรือไม่?
…จบบทที่ 105