บทที่ 101 ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร
“คุณพูคุณไม่ต้องกังวลเพราะถ้าผมพูดเท็จ ผมจะยอมให้คุณตรวจสอบและดําเนินคดีอย่างแน่นอน”
ขี้เฟิงยิ้มเยาะเขาค่อยๆ เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดัง “สมาชิกผู้นําทั้งหมดรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ก่อนอื่นผมขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกท่านรับทราบในขณะที่ผมและฐางเลยเล่นบิลเสียตอยู่ในสถานบันเทิงใกล้ๆกับโรงแรมแยงซี ได้มีนักเลงประ มาณสามสี่คนมาหาเรื่องพวกเรา จากนั้นก็เกิดความขัดแย้งกัน แน่นอนว่าเป็นเพียงความขัดแย้ง เล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้กองฉันได้พาตํารวจหลายนายเข้ามาในสถานบันเทิง และจับกุมพวกเราโดยไม่มีคําอธิบายใดๆ จากนั้นพวกเราก็ถูกพาตัวมาที่ห้องสอบสวนและจาง เลยก็ถูกรุมซ้อมเพื่อบังคับให้ยอมรับสารภาพแล้วก็อย่างที่ทุกท่านเห็น อาการบาดเจ็บอย่างห นักของจางเลยเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”
“เหอะ! ไร้สาระ! แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างที่เธอเล่ามาจริงๆ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับหม่า?” ซู เฉาหัวเราะเยาะ “ไอ้ที่เธอเล่ามาทุกอย่างมันก็ชี้ชัดไปที่ฉินตัวเหรินเหมือนเดิมอยู่ดี และตอนนี้ผู้กระทําความผิดฉินตัวเหรินก็ถูกจับเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอจะยังยืดเยื้อพูดว่ามันมีความไปได้อื่นๆ อีกงั้นเหรอ? มันไม่ใช่เวลาที่เด็กๆจะมาเรียกร้องความสนใจนะ!”
จี้เพิ่งเหลือบมองซูเฉาตัวยสายตาดูถูก เขายิ้มเยาะ “เหอะๆ คุณซู ถ้าจับไม่ใต้คาหนังคาเขาก็คงจะไม่ยอมรับจริงๆสิ้นะ ถ้าอย่างนั้นผมจะทําให้คุณเข้าใจอะไรมากขึ้นก็แล้วกัน!”
ขณะที่จี้เพิ่งพูดเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและพูดว่า “โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้เป็นของนักเลงคนหนึ่งที่มีปัญหาขัดแย้งกับพวกเรา ในนี้มีข้อความสั้นๆ ชักโหลนึ่งได้มั่ง และ บันทึกการโทรซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกันทั้งหมด!”
จี้เพิ่งหันไปมองทางซูหม่าที่ตอนนี้ยังคงถูกจับตัวไว้โดยทหาร “หมายเลขนี้เป็นของลูกชายรองผู้บริหารเขตซูเฉา ซูหม่า! สําหรับเนื้อหาของข้อความ ผมจะยังไม่อ่านมันก็แล้วกันแต่แน่ใจได้ เลยว่าสาเหตุที่นักเลงพวกนั้นทําร้ายผมและจางเลยเป็นเพราะคําสั่งของซูหม่าอย่างแน่นอน!”
“เพ้อเจ้อ!” ซูเฉาเดือดดาลขึ้นทันที เขาอดคิดไม่ได้ว่าลูกชายของเขาจะโง่จนถึงขนาดทิ้งหลักฐานให้คนอื่นจับได้แบบนี้จริงๆน่ะหรือ
“มันจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรือไม่ ผมว่าตอนนี้คนที่มีสิทธิตัดสินคุงไม่ใช่คุณ เพราะเรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในศาลเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน!” เพิ่งหัวเราะอย่างมีชัย “อ้อ ส่วนเรื่องที่ผมเอ่ยชื่อคุณว่าเป็นหนึ่งในผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ผมก็ไม่ได้พูดลอยๆ ถ้าคุณอยากจะเห็นหลักฐานด้วยตาตัวเอง มันก็อยู่ไม่ไกลแถวนี้หรอก มันอยู่กับฉันซัวเหริน!”
ทันทีที่เขาเอ่ยชื่อฉันขัวเหริน จี้เพิ่งก็เดินตรงไปยังฉินซัวเหรินที่ยังคงนอนอยู่กับพื้นใต้ฝ่าเท้าของทหาร เขานั่งยองๆ และมองไปที่ใบหน้าของฉินขัวเหรินเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ผู้กอง ฉิน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ทางที่ดีผมคิดว่าคุณควรจะนําหลักฐานที่คุณเก็บไว้ออกมาได้แล้วนะครับ เพราะถ้าคุณยังไม่ใช้มันตอนนี้เนี้ย คุณก็จะถูกซูเฉาตัดหางปล่อยวัดให้ไปนอนในคุกคนเดียว เหงาๆเอาได้นะครับ แต่ก็ไม่แน่ ที่นอนของคุณอาจจะไม่ใช่ในคุกแต่เป็นที่ใหนคงไม่ต้องให้ผม พูดนะครับเพราะคุณน่าจะพอเดาออก!”
เฉินซัวเหรินอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาจี้เพิ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
แต่ขี้เพิ่งไม่สนใจ เขาลุกขึ้นยืนและพูดกับทหารสองคนที่เหยียบนิ่นตัวเหรินอยู่ “พี่ชายทั้งสองรบกวนช่วยหาโทรศัพท์ที่อยู่กับผู้กองถิ่นให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ”
ซูเฉาได้แต่จ้องมองไปที่ขี้เพิ่งอย่างเย็นชาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาพยายามแสดงสีหน้าให้สงบนิ่งมากที่สุด เขาไม่โง่พอที่จะส่งข้อความหาลิ้นชั่วเหริน และถึงแม้ว่าเขาจะโทรหาฉันตัวเหรินหลายครั้ง แต่เพียงแค่บันทึกการโทรก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานในครั้งนี้ เพราะเขากับสิ้นชั่วเหรินเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้ว แม้ว่าภายหลังจะถูกตรวจสอบโดยกระทรวงโทรคม นาคมจริงๆ เขาก็สามารถใช้เส้นสายของอาเขยเข้าไปขัดขวางได้อย่างสบายๆ
ทหารคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าของลิ้นซัวเหรินและยื่นให้กับจี้เพิ่ง
จี้เพิ่งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นและโชว์ให้ทุกคนดู เขายิ้มและพูดว่า “ผมคงต้องบอกว่าแม้ว่าฉันตัวเหรินจะดูเหมือนโง่แต่ในบางเรื่องเขาก็ยังมีความฉลาดอยู่บ้าง!”
จี้เพิ่งกดอะไรบางอย่างในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็มีเสียงจากการถูกบันทึกเสียงดังออกมา
“เผ่าฉัน หลังจากที่จับเด็กนั้นไปแล้ว อย่าให้อันธพาลพวกนั้นหนีรอดไปได้ ฉันคาดว่ามันต้องต่อต้านการจับกุมแน่นอน แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่จําเป็นต้องเก็บพวกมันไว้”
ทันทีที่เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น ใบหน้าของซูเฉากขาวซีดจนแทบจะไม่เหลือร่องรอยของเลือดอยู่เลย เขาจะไม่คุ้นเคยกับเสียงนี้ได้อย่างไร เพราะเสียงนี้มันเป็นเสียงของเขาเอง และข้อความนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาพูดเมื่อตอนที่เขาสั่งงานกับฉินขัวเหรินเป็นครั้งแรก
“โอ้วว- ทุกคนได้ยินแล้วใช่มั้ยฮะ!” จี้เพิ่งยิ้มเล็กน้อย “ก็เรียกได้ว่าผู้กองถิ่นของเราคนนี้ก็ฉลาดพอตัวอยู่เหมือนกัน เพราะเขาคงจะกลัวว่าถ้าเกิดซูเฉาตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้และโทษว่าเป็นความผิดของเขาเหมือนอย่างที่ทําอยู่ตอนนี้ขึ้นมา เขาก็คงจะไม่มีหลักฐานอะไรไว้ช่วยเหลือตัวเองได้ใน
ภายหลัง ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้กองฉันคนนี้จะคุยกับซูเฉาเขาจะกดบันทึกเสียงก่อนเริ่มบทสนทนาเสมอ ท่านรองผู้บริหาร คุณมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ครับ?”
แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุที่เพิ่งรู้ว่าฉันหัวเหรินใต้มีการบันทึกเสียงสนทนาไว้ในโทรศัพท์ นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านั้นลิ้นชั่วเห็นเคยโทรศัพท์ในห้องสอบสวน และเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าก่อนที่สิ้นชั่วเหรินจะรับโทรศัพท์เขาจะกดบันทึกเสียงก่อนที่จะรับสายจากการอนุมานของ เพิ่งแล้ว ซูเฉาควรเป็นคนที่คุยโทรศัพท์กับสิ้นชั่วเหวิน!
และเนื่องจากมันถูกบันทึกเสียงในครั้งนี้เฟิงจึงคิดว่าสิ้นชั่วเห็นน่าจะบันทึกเสียง ระหว่างการโทรในครั้งอื่นๆด้วยนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ขี้เฟิงมั่นใจว่าต้องมีหลักฐานสําคัญอยู่ในโทรศัพท์ของฉินซัวเหริน และคําตอบมันก็ชัดเจนแล้วในตอนนี้ว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้นั้นถูกต้อง
ใบหน้าของซูเฉาชีดยิ่งกว่าเดิม เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่าราวกับว่าวิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว ในตอนนี้เขาแทบจะไม่เหลือร่องรอยความแข็งแกร่งในฐานะรองผู้บริหารเขตอยู่เลย
“เผ่าหลีเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว” ถึงไต่เต่อกล่าวกับเลขาธิการของคณะกรรมการตรวจสอบวินัยหลังจากที่เห็นว่าสถานการณ์โดยรวมได้รับการพิจารณาแล้ว
“ไม่ต้องห่วงเลขาถง เรื่องนี้มีหลักฐานและพยานครบถ้วนชัดเจนมาก สามารถสรุปคดีและทําเรื่องยื่นต่อศาลได้ภายในหนึ่งวัน!” เลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบวินัยเหลาหลี่เอ่ยปากสัญญาพร้อมกับพยักหน้าทันที
“ นี้! คนอย่างพวกคุณเนียนะ จะมาจับผมดําเนินคดี” ไม่รู้ว่าจู่ๆซูเฉาไปเอาแรงฮิตมาจากไหนเขาหัวเราะและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที “อาเขย มีคนอยากจะจับผมไปดําเนิน
หลังจากที่เขาคุยโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้เลขาถงด้วยใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “เลขาถง คนในสายต้องการจะคุยกับคุณ!”
ถงไก่เดือมองหน้าซูเฉาอยู่ครู่หนึ่งและรับโทรศัพท์ไปคุย “สวัสดีครับผมคือถงไค่เพื่อเลขาธิการพรรคประจําเขตไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”
“สวัสดีเลขาถึงฉันชื่อ เว่ยหมิน” รองผู้ว่าราชการมณฑล” เสียงที่ค่อนข้างมีอายุตั้งมาจากโทรศัพท์
“อ้อ ท่านรองผู้ว่าการอูนี้เอง สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าที่ต้องการคุยกับผมมีเรื่องอะไรจะสั่งการหรือเปล่าครับ?” ถึงไต่เต่อขมวดคิ้วและถามเหมือนพอจะเดาอะไรบางอย่างออก
เว่ยหมินเป็นรองผู้ว่าราชการมณฑลที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางของจีน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในอันดับที่สูงที่สุดในมณฑล แต่เขาก็เป็นคนที่มีตําแหน่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับองไต่เต่อเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจําเขต
“เลขาถง ฉันได้ยินมาว่าเสียวซูอาจจะทําเรื่องผิดพลาดไปเล็กน้อย ฉันคิดว่าเลขาถงอย่าเพิ่งด่วนสรุปเรื่องนี้จะดีกว่า ลองพิจารณารายละเอียดที่อาจจะตกหล่นให้รอบคอบเสียก่อน เพราะบางทีมันอาจจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดก็ได้” อเว่ยหมินกล่าวพร้อมรอยยิ้มจากทางปลายสาย “เลขางถ้าคุณพอมีเวลา มาที่เมืองหลวงของมณฑลส ให้ฉันเผ่าอู่ได้ต้อนรับแขกในฐานะเจ้าบ้านด้วยอาหารสักมื้อก็แล้วกัน ฮ่าฮ่า!”
ถงไค่เตือขมวดคิ้ว แต่เขาก็เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นใบหน้ายิ้มแย้มภายในพริบตาและพูดว่า “รองผู้ว่าการ ผมเกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการตามคําสั่งของรองผู้ว่าการธุ์ได้ยาก เพราะหลักฐานเกี่ยวกับคดีอาญาของรองผู้บริหารและลูกชายของเขานั้นแน่นหนามาก คงไม่จําเป็นต้องยืดเยื้อเวลาออกไปเพื่อตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมอีก และผมเกรงว่าจะต้องจัดการตามขั้นตอนทางกฎหมายโดยทันที!”
“เลขาถง!! ต้องให้ฉันบอกคุณด้วยหรือว่าเสียวซูเป็นหลานชายของฉัน” อู่เว่ยหมินถูกถงใส่แต่อขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดจบ
“รองผู้ว่าการผมไม่สามารถทําตามคําสั่งของรองผู้ว่าการได้จริงๆ ครอบครัวของผู้ ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ก็ยืนอยู่ข้างๆผม ถ้าผมปล่อยซูเฉาไปจะให้ผมอธิบายกับครอบครัวของเขาได้อย่างไร!” เลขาถึงตอบกลับอย่างชาญฉลาด
“คุณ !”
รองผู้ว่าราชการจู่โมโหจนแทบจะสําลัก “ถ้าผมคุยกับคุณไม่รู้เรื่อง ผมคงต้องโทรหาเลขาธิการและนายกเทศมนตรีของเมืองคุณโดยตรง แล้วแจ้งว่าเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจําเขตมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักกับเพื่อนข้าราชการด้วยกัน แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นผมเกรงว่าคุณคงจะมีปัญหาพอตัวเลยล่ะ!”
ถงไค่เดือรู้สึกหัวเสียขึ้นมาทันที ในขณะที่เขากําลังจะพูดโต้กลับเขาเห็นเจิ้นหัวที่ยืนอยู่ข้างๆเขา ยื่นมือออกมา
“ผมจะคุยกับเขาเอง” ชี้เจิ้นหัวพูดนิ่งๆ แต่น้ําเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดุดัน
ถงไก่เดือยิ้มทันที เขาคิดในใจ “มันคงเป็นโชคร้ายของท่านรองผู้ว่าการอําเสียแล้วคราวนี้!”
“รองผู้ว่าราชการเว่ยหมิน?” เฉินหัวรับโทรศัพท์มาแล้วพูดเบาๆ
“ใช่! ฉันอู่เว่ยหมิน แล้วคุณล่ะเป็นใคร?” อูเว่ยหมินถามกลับด้วยน้ําเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก 1
“ผมคือ เฉินหัว คุณต้องการให้เลขาถึงปล่อยซูเฉาและลูกชายของเขาไปงั้นหรือ?” ชี้เจิ้นหัวถามด้วยเสียงทุ่ม
“เฉินหัว เฉินหัว รัฐมนตรี !!!” เหว่ยหมิ่นพูดเหมือนพยายามทบทวนบางอย่างอยู่ หลังจากนั้นเขาก็ถึงกับอุทานเสียงดัง “รัฐมนตรีชี้! ทําไมคุณถึงอยู่ในหมางชื่อ?”
“ผมมาธุระส่วนตัว แต่จู่ๆลูกชายของผมก็ถูกตํารวจเลวของซูเฉาจับและบังคับให้รับสารภาพโดยที่เขาไม่ได้ทําอะไรผิด! และตอนนี้หลักฐานทุกอย่างก็ปรากฏชัด! ในเมื่อเป็นแบบนี้คุณยังต้องการให้เลขาถึงปล่อยตัวซูเฉาอีกขั้นหรือ คุณคิดว่ามันเหมาะสมหรือไม่?” เฉินหัวพูดเบาๆ แต่มีความหนักแน่นและความสง่างามที่แฝงอยู่ในคําพูดนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ ห้ะ?!… แกรก !! ข่า 1” มีเพียงเสียงอุทานและเสียงเหมือนของหล่นมาจากในโทรศัพท์จากนั้นสัญญาณก็หายไป
….จบบทที่ 101-2
บทที่ 102 จุดจบของคนชั่ว!!
ในเวลานี้อีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่พวกจี้เพิ่งอยู่ เป็นเขตที่พักอาศัยที่อยู่ในเมืองหลวงของมณฑล
รองผู้ว่าราชการธุ์เว่ยหมินกําลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนและมองดูโทรศัพท์ที่แตกอยู่บนพื้นด้วยดวงตาที่หมองคล้ำแต่สีหน้าของเขากลับซีตจนไม่มีร่องรอยของเลือด
“มันเป็นไปได้ยังไง? ซูเฉาโง่ขนาดไปมีเรื่องกับเฉินหัวได้ยังไง!” เสียงและริมฝีปากของอู่เว่ยหมินสั่นสะท้านทันทีที่พูดออกมา เมื่อคิดว่าทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายสิบที่กําลังจะพังทลายลง
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะรองผู้ว่าราชการแห่งมณฑล แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปมันก็มากเพียงพอที่จะทําให้เขาเสียชื่อเสียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบุคคลที่เขาได้พูดประโยคเหล่านั้นออกไปถูกรับรู้โดยใคร มันจะทําให้เขาหมดความน่าเชื่อถือและ ดูเป็นบุคคลที่ใช้อํานาจในทางที่ผิด
ครั้งนี้เขาคิดว่าการพูดเรื่องอํานาจกับเลขาธิการพรรคเขตเล็กๆจะไม่ส่งผลอะไรกับเขา แต่ใครจะคิดว่าเรื่องที่เขาพูดไปนั้นจะเกี่ยวข้องกับ รัฐมนตรีเชิ้นหัว เขาไม่ใช่บุคคลที่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวนิ้วยแม้แต่นิดเดียว โดยที่ยังไม่นับว่าการยุ่งเกี่ยวที่ว่านั้นคือการไปยั่วโมโหเขาโดยตรง
เฉินหัวคือผู้นําระดับรัฐมนตรีผู้มีเกียรติและยังมีข่าวลือว่าภายในระยะเวลาสิบปีเขามีโอกาที่จะได้เป็นผู้นําสูงสุด เพราะฉะนั้นการกระทําอย่างการยั่วโมโหเขามันจะไม่เท่ากับว่าเป็นการ ฆ่าตัวตายหรอกหรือ?
“เฒ่าอําเกิดอะไรขึ้นทําไมโทรศัพท์ถึงตกจนพังแบบนั้น?” ในเวลานี้ภรรยาของอู๋เว่ยหมินที่ตื่นขึ้นและถามตัวยความสงสัย
“เฮ้อ” เว่ยหมินถอนหายใจ “ที่รักฉันคิดว่าฉันอาจจะต้องเกษียณก่อนเวลา”
เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ “ซูเฉาเจ้าคนโง่นั่น คิดอะไรอยู่ถึงได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนของตระกูล กล้าที่จะไปยั่วโมโหคนระดับนั้นได้ยังไง?”
“มีอะไรเหรอ?” ภรรยาของอู่เว่ยหมินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“จะอะไรเสียอีกล่ะ เฮ้อออ” อู๋เว่ยหมินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้งและพูดด้วยความโมโห “ถ้าซูเฉาและลูกชายของเขาทําเลวแค่ในพื้นที่อํานาจของพวกเขาเหมือนทุกครั้ง ฉันก็คงจะไม่ต้องมานั่งเครียดแบบนี้ แต่ครั้งนี้เขากลับเลยเถิดจนไปยั่วโมโหคนของตระกูลเข้า และคราวนี้คงไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเหลือเขาใต้ และมันก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้นเพราะแม้แต่ฉันเองก็มีส่วนเกี่ย วข้อง..”
ภรรยาของอูเว่ยหมินถึงกับตกตะลึง “คนในตระกูล? หรือว่าจะเป็นตระกูลแห่งหยานจึง ทําไมซูเฉาถึงไปยุ่งเกี่ยวกับเขาได้??”
“เขาคิงเพื่อชีวิตและอยากฆ่าตัวตายนั่นแหละถึงได้ทําแบบนั้น! แถมครั้งนี้ฉันยังอาจจะชวยติดร่างแหไปด้วย ” เมื่อเห็นว่าเขากําลังจะสูญเสียตําแหน่งหน้าที่การงานไป น้ำเสียงของเว่ยหมินก็ ย่ําแย่เต็มที่
“เผ่าอู่คุณต้องช่วยซูเฉาให้ได้นะ พี่ชายฉันมีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว แล้วถ้าทั้งซูเฉากับลูกชายของเขาต้องมาเจอเรื่องโชคร้ายพร้อมกัน ฉันไม่อยากจะนึกเลยว่าพี่ชายของฉันจะเป็นอ ย่างไร!” ภรรยาของอู่เว่ยหมินกล่าวอย่างวิตกกังวล
“ฉันจะช่วยพวกเขาได้ยังไง แค่ตอนนี้ตัวฉันเองยังเอาไม่รอดเลย!” เว่ยหมิ่นพูดด้วยความ โมโห “เฉินหัวพูดกับฉันด้วยตัวเองเลยในเรื่องนี้ แสดงว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าฉันอยากจะขอร้องเขาเป็นการส่วนตัว แต่จากเรื่องที่เกิดขึ้นฉันคงไม่กล้าแม้แต่จะไปพบหน้า เขา!
ภรรยาของอูเว่ยหมินก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอรู้ว่าตระกูลจิ้มีอํานาจมากแค่ไหน และเมื่อสามีของเธอบอกว่าไม่มีประโยชน์นั่นก็แสดงว่ามันก็ต้องไม่มีประโยชน์อย่างแน่นอน เมื่อคิดดูแล้วว่าแม้แต่สามีของเธอยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอร้อง ที่ชัดเจนแล้วว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงมากขนาดไหน
“ในตอนนี้ฉันเกรงว่าคงมีทางเดียวเท่านั้น!” ฮูเว่ยหมินกล่าวด้วยเสียงต่ําหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน
ทางไหน?” ภรรยาของเว่ยหมินถามด้วยความร้อนใจ
“ยอมแพ้! เราต้องตัดใจปล่อยให้ซูเฉาถูกจัดการตามขั้นตอนทางกฎหมาย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ซูเฉาทําและเต็มใจที่จะให้เขาถูกดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะพอรักษาตําแหน่งของฉันไว้ได้ และตราบใดที่ตําแหน่งของฉันยังคงอยู่ ฉันก็จะสามารถใช้อํานาจช่วยเหลือซูเฉาออกจากคุกได้ในภายหลัง!” อู่เว่ยหมินกัดฟัน
“อะไรนะ?!” ภรรยาของเว่ยหมินตกใจ
“นั่นเป็นวิธีเดียวเท่านั้น ไม่งั้นเราก็พากันตายหมู่ และอาจจะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน!” เอ๋ยหมินได้แต่ถอนใจและส่ายหัว
อันที่จริงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะปล่อยให้ซูเฉาถูกดําเนินคดีและติดคุก นั่นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ เพราะด้วยพลังอํานาจของตระกูล เพียงแค่คําพูดประโยคเดียวก็สามารถทําให้คนตกจากสวรรค์และร่วงลงสู่นรกได้ในพริบตา!
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากวิธีนี้ เว่ยหมินก็คิดวิธีอื่นไม่ออกจริงๆ
“เฮ้อออ” อู๋เว่ยหมินถอนหายใจยาว เขาหยิบโทรศัพท์บ้านที่อยู่ข้างที่นอนและกดหมายเลขของซูเฉา
“เฉา ยอมมอบตัวเถอะ ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้จริงๆ เพราะครั้งนี้เธอไปแตะต้องในสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องอย่างยิ่ง เธอได้ยั่วโมโหคนของตระกูลแห้งหยานจิง เธอรู้หรือไม่ว่าชายคนที่อยู่กับเธอตอนนี้คือรัฐมนตรีจีเงินหัว! เขาเป็นลูกชายคนโตของผู้นําสูงสุดของตระกูล แห้งหยานจึง และแน่นอนพวกเขาทั้งสองเป็นพ่อและปู่ของเพิ่ง!”
“ฟื้บ !! แกร๊ก! “
ซูเฉารู้สึกขาไปทั้งตัวและทําโทรศัพท์ที่เพิ่งรับสายหลุดมอตกลงไปที่พื้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาก้มมองโทรศัพท์ด้วยสีหน้ามืดมน
ทหารสองคนที่อยู่ใกล้ๆเขา ก้าวเข้าไปข้างหน้าและล็อคแขนของซูเฉาทันที
หลังจากนั้นโทรศัพท์มือถือของถึงไต่เต่อก็ดังขึ้น เป็นสายของอู่เว่ยหมิน “เลขาถงผมขอสั่งคุณในนามของรองผู้ว่าราชการมณฑล ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม คุณควรลงโทษแก่ผู้ที่ทําผิดกฏหมาย โดยเฉพาะกับผู้ที่ดํารงตําแหน่งข้างราชการและรู้กฎหมายควรถูกลงโทษรุนแรงกว่าประ ชาชนทั่วไป!”
ถงไก่เดือยิ้มเล็กน้อย “เข้าใจแล้วครับ ตามคําสั่งของรองผู้ว่าราชการมณฑล ผมจะเรียกร้องให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจัดการคดีตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และเมื่อคดีสิ้นสุดลงผมจะรายงานไปยังผู้ว่าการกู้โดยทันที!”
อู่เว่ยหมินตอบกลับด้วยความสุภาพว่า “ถ้าในเมื่อพวกเราทํางานอย่างหนักกันขนาดนี้ ผมคิดว่าเลขาถึงควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องของผมเกี่ยวกับการจัดการคดีนี้ไปยังท่านรัฐมนตรีทราบ!”
ได้ครับ” ถึงไค่เพื่อตอบรับและยิ้มอย่างดูถูก
หลังจากวางสายแล้ว ถึงไต่เต่อ ก็ตะคอกอย่างเย็นชา “ซูเฉา คุณมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ใบหน้าของซูเฉาเหม่อลอยเหมือนร่างไร้วิญญาณ เขาไม่ได้ตอบรับหรือแสดงท่าทีอะไรออกมา
“เอาตัวเขาออกไป” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งโบกมือ และทหารทั้งสองก็นําตัวซูเฉาออกไปทันที
“เลขาถึงเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตของเรา ที่ถูกยึดครองและปราบปรามโดยทหาร มันจะเรียกว่าเป็นการสร้างปัญหาให้กับกองทัพทหารหรือไม่?” เลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกระซิบกับถุงไคเพื่อ
เพราะถ้าหากเรื่องนี้ถูกยึดครองและจัดการโดยทหาร อํานาจการปกครองพื้นที่นี้ก็จะถูกส่งมอบให้กับผู้นาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะจะถูกมองว่าผู้นําระดับท้องถิ่นไร้ความสามารถและจะส่งผลเสียต่อสมาชิกทีมผู้นําท้องถิ่นทั้งหมด
ถึงไต่เต้อโบกมือและกล่าวว่า “เอาไว้เราค่อยปรึกษาหารือกัน ตอนนี้เราแยกย้ายกันก่อนดีกว่า”
“เลยซื้อ ฉันว่าตอนนี้ฉันควรพานายไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า!” เมื่อสถานการณ์โดยรวมเรียบร้อยแล้ว ขี้เพิ่งจึงพูดกับจางเลยด้วยความเป็นห่วง
“ยังไม่ได้!” จางเลยส่ายหัวและหันหน้าไปทางซูหม่าที่ตอนนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ จาง เล่ยยิ้มกว้างและพูดว่า “เจ้าบ้าไอ้ชั่วชูหม่ามันคอยหาเรื่องพวกเราอยู่ตลอดนายไม่อยากจะไปสั่ง ลากับมันสักหน่อยก่อนเหรอ?”
ขี้เฟิงหัวเราะ “แน่นอน เราไปกันเถอะ!”
“โอเค!”
ทั้งสองคุยกันราวกับว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้นเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆไป
ในที่สุดทั้งสองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาชูหม่าอย่างช้าๆ
“พลั๊ก !! “
จางเล่ยต่อยเข้าไปที่หน้าของหม่าอย่างแรง “ไอ้หม่า กูเคยบอกถึงแล้วใช่มั้ยว่าถ้าถึงกล้าแตะต้องน้องชายกู กูจะจัดการถึงให้ถึงที่สุด แต่นอกจากจึงจะมายุ่งกับน้องชายกูแล้วถึงยังกล้ามายั่วโมโหกูด้วยจึงยังจําได้ใช่มั้ยว่า ถ้ามึงทําแบบนั้นกูจะจัดการกับมึงยังไง?”
“แก” เมื่อถูกจางเลยต่อยอย่างแรงและต่าด้วยความโกรธเกรียว หม่าก็รู้สึกกลัวจนแทบจะพูดไม่ออก
“เจ้าบ้า นายจะไม่เล่นกับมันหน่อยเหรอ สนุกจะตาย!” จางเล่ยหัวเราะ
เพิ่งส่ายหัว “ทํามันไปมอของฉันก็สกปรกเปล่าๆ
จากนั้นเขาก็โบกมือให้ทหารสองคนพาตัวชูหม่าไป
– จบบทที่ 102-2
คุยกันท้ายบท
ก่อนอื่นต้องอภัยที่เมื่อวานไม่ใต้ลงนะคะ o_ _o
หายไป 1 วันกว่าๆกับการทําการบ้านเพิ่มเติมรวมถึงครุ่นคิดและตัดสินใจเลือกเส้นทางที่อาจจะไม่ตรงกับต้นฉบับ 10096 แต่อาจจะทําให้คุณผู้อ่านเข้าใจได้มากขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีเนื่องจากเรื่องที่เกี่ยวกับ เขต, เมือง,มณฑล รวมถึงตําแหน่งต่างๆในนิยายเรื่องนี้มันมีความแตกต่างอย่างมากกับของไทยเราจึงเป็นเรื่องยากจริงๆค่ะ
ขอรับสารภาพในความผิดทุกประการที่ผู้แปลทําการบ้านไม่มากพอจึงอาจทําให้เกิดความสับสนตรงจุดสําคัญหลายๆอย่างในนิยายฉบับนี้
ดังนั้นทางผู้แปลจึงขออนุญาตอธิบายบางส่วนเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในเนื้อ หาจนถึงตอนปัจจุบัน
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเรื่องส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตหมางชื่อนะคะ(ไม่ใช่มณฑล)
หมู่บ้าน 4 ตําบล < เขต(หมางซื้ออยู่นี้) 4 เมือง < มณฑล – เทศบา ลนคร(มีการปกครองเทียบเท่ามณฑลแต่เป็นเมืองหลวงของจีนในเรื่องคือหยานจิงกับเจียงโจว) อ้างอิงจากเนื้อหาในนิยายเป็นหลักและอาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริงนะคะ แต่พยายามจะเอาให้ใกล้เคียงที่สุดค่ะ ยศตําแหน่งของตัวละคร ซูเฉา – รองผู้บริหารเขต ถึงไก่เต่อ = เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจําเขต อู่เว่ยหมิน = รองผู้ว่าราชการมณฑล เจิ้นหัว = รัฐมนตรีของหยานจึง ตัวยรัก