บทที่ 117 หลงทาง!?
“จี้เฟิง ในอนาคตนายคิดว่าเราจะยังเป็นแบบนี้กันอยู่มั้ย?” ถงเล่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของจี้เฟิงโน้มตัวไปซบไหล่ของเขาและถามขึ้น
“แน่นอนสิ!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ทําไมจู่ๆถึงถามอะไรแบบนี้ล่ะ?”
ถงเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันแค่กลัวว่าทั้งหมดนี้มันจะไม่เป็นความจริง เพราะในตอนแรกเนื่องจากสถานภาพในครอบครัวของนายไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ฉันจึงกังวลว่าครอบครัวของฉันจะไม่เห็นด้วยกับการคบหากันของเรา แต่แล้วจู่ๆสถานะของนายก็เปลี่ยนไป ฉันจึงกลัวว่าเรื่องนี้มันอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝันของฉัน!”
จี้เฟิงกอดถงเล่ยแน่นขึ้น เขารู้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองที่ไม่คุ้นชิน ถงเล่ยจึงมีความรู้สึกเป็นกังวลและอ่อนไหวมากกว่าปกติ
“มันคือเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ต้องคิดมาก!” จี้เฟิงมองไปที่ใบหน้าที่สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของถงเล่ยและอดไม่ได้ที่จะจูบเธอ
คนบ้า!”
ทันใดนั้นถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะดุจี้เฟิงอย่างเขินๆ เธอพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “จะทําอะไร มีคนอื่นอยู่เยอะแยะ!”
เมื่อเห็นว่าถงเล่ยกลับมาเป็นปกติจี้เฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้
“จี้เฟิงเรากลับกันเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาและรับตําราเรียนด้วย แถมพรุ่งนี้ก็เป็นวันแรกที่มีการฝึกทหารของนักศึกษาใหม่” ถงเล่ยพูดเบาๆ
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม เขารู้สึกเอ็นดูแฟนสาวของเขาและอดไม่ได้ที่จะจิ้มเบาๆไปที่ปลายจมูกของเธอ “เล่ยเล่ยถ้าเธอไม่อยากฝึกทหารฉันจะหาทางช่วยเธอเอง!”
“ไม่เป็นไร!” ถงเล่ยย่นจมูกอย่างน่ารัก “ฉันอยากใช้โอกาสนี้ออกกําลังกายดูบ้าง ฉันว่าตอนนี้เรากลับกันเถอะ!”
เธอผลักจี้เฟิงเบาๆ โดยไม่มีเหตุผล
เมื่อเห็นจี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มให้กับเธอ เธอก็แสดงรอยยิ้มหวานที่เต็มไปด้วยความรักของเธอกลับไป
“เขายังคงเป็นจี้เฟิงคนเดิม แม้ว่าสถานะของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เขานั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เขายังคงรักฉันเหมือนเดิม”
จี้เฟิงเรียนเอกการจัดการเศรษฐกิจ และการจัดการเศรษฐกิจที่จี้เฟิงเลือกเรียนนี้ เพิ่งจะก่อตั้งมาได้เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น ซึ่งค่อนข้างที่จะใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับอายุของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 90 ปี ถ้าเปรียบเทียบสหพันธ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เป็นชายชราผู้ชาญฉลาดที่มีประสบการณ์มากมายและมีรากฐานที่แข็งแกร่ง วิชาเอกของจี้เฟิงก็เทียบได้กับชายหนุ่มวัยรุ่นที่ยังไร้ประสบการณ์
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเอกวิศวกรรมนิวเคลียร์และเอกโบราณคดี เอกการจัดการเศรษฐกิจนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างดีและเป็นที่นิยมพอสมควร
เพราะใครๆต่างก็รู้ว่านักศึกษาที่เรียนวิชาเอกการจัดการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ที่เรียนจบมาจากสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวโดยตรง จะกลายเป็นบุคลากรที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างแย่งชิงตัวและพวกเขาสามารถเริ่มต้นอาชีพในบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ประกอบกับคนที่จบมาจากสาขาวิชานี้ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพพนักงานออฟฟิศที่มีสวัสดิการและเงินเดือนที่มั่นคง หนุ่มๆที่เรียนจบจากสาขานี้จึงเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ และแน่นอนว่าจํานวนผู้สมัครก็สูงมาก
ตัวอย่างเช่นในปีนี้นักศึกษาของวิชาเอกการจัดการเศรษฐกิจของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจว มีนักศึกษามากกว่า 1,000 คน และมากกว่า 20 คลาส คุณลองคิดดูง่ายๆว่า ถ้าหากมีคนไม่มากนักในสาขาวิชาการจัดการเศรษฐกิจและภาษาต่างประเทศ แล้วอาศัยเพียงแค่สาขาวิชาโบราณคดี คงไม่ต้องถามว่าสหพันธ์มหาวิทยาลัยจะมีนักศึกษากี่หมื่นคน แต่ต้องถามว่ามีนักศึกษาที่พันคน
สําหรับวิชาเอกโบราณคดีในปีนี้มีนักศึกษาเพียง 20 คนจากทั่วประเทศเท่านั้นที่เลือกวิชาเอกนี้ เพราะฉะนั้นเราก็คงจะพอนึกภาพออกได้ว่าวิชาเอกโบราณคดีได้รับความนิยมน้อยขนาดไหน
เป็นเพราะจํานวนคนในสาขาวิชาต่างๆไม่สม่ำเสมอกัน สิ่งนี้จึงทําให้จี้เฟิงกําลังพบกับความลําบาก
คุณรู้ไหมว่าเฉพาะที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวแห่งเดียว ก็มีอาคารสอนมากกว่า 20 อาคาร โดยที่ยังไม่นับอาคารที่มีห้องการบรรยายมัลติมีเดีย หอประชุมและห้องเรียนอื่นๆอีกมากมายสําหรับวัตถุประสงค์อื่นๆ
ด้วยเหตุผลทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ทําให้วันแรกในการมาเรียนของจี้เฟิงต้องเผชิญกับปัญหาที่เขาเองก็คาดไม่ถึง เขาหลงทาง!
ในความเป็นจริง จี้เฟิงนั้นก็มีแผนที่ของมหาวิทยาลัยอยู่ในมือตามคําแนะนําของผู้จัดการหอพักที่แนะนําให้เขาซื้อมาเมื่อตอนเช้า และในตอนนี้เขาก็กําลังมองหาห้องเรียนของเขาในแผนที่และเดินไปเรื่อยๆตามชั้นล่างของแต่ละอาคาร แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอาคารใดเป็นอาคารใดและไว้ใช้ทําอะไรกันแน่
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ เขาไม่รู้ว่าคนที่สร้างอาคารเหล่านี้จะทําให้มันลึกลับซับซ้อนไปเพื่ออะไร ทําไมถึงไม่มีป้ายกํากับไว้ที่ชั้นบนเด่นๆที่ด้านหน้าอาคาร ยกตัวอย่างเช่นเขาจะรู้ได้ว่าอาคารนี้คืออาคาร 16 ก็ต่อเมื่อเขาได้เดินผ่านมันไปแล้ว
จี้เฟิงเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขามองลงไปที่แผนที่ในมือ จากนั้นเขาก็ได้แต่ส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
เขาไม่เคยคิดเลยว่าในวันแรกที่เขาเข้าเรียมหาวิทยาลัยเขาจะพบกับปัญหาที่กระจบกระจ้อยเช่นนี้ แต่ถึงมันจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่เขาก็แก้มันไม่ได้จริงๆ
“คณะเศรษฐศาสตร์และการเงิน!” จี้เฟิงค่อยๆมองไปที่แผนที่อย่างช้าๆโดยละเอียด และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น จากนั้นเขาก็พบว่าจริงๆแล้วอาคารการเรียนการสอนที่ดูซับซ้อนเหล่านี้ถูกแบ่งออกตามวิทยาเขตและสาขาวิชาต่างๆ!
จี้เฟิงพบคณะเศรษฐศาสตร์และการเงินในแผนที่ทันที วิชาเอกของเขาคือการจัดการเศรษฐกิจซึ่งเขาจะต้องเรียนวิชานี้ด้วย จี้เฟิงเดินตามแผนที่ไปยังอาคารเรียนของเขาทันที
จู่ๆเขาก็นึกเสียใจขึ้นมาและบ่นพึมพํากับตัวเอง “รู้งฉันน่าจะกินมื้อเช้ามาซะก็ดี!”
สาเหตุที่จี้เฟิงไม่ได้กินข้าวเช้านั้นก็มีเหตุผล
เนื่องจากความยากจนของเขา จี้เฟิงจึงไม่ค่อยได้กินอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนมาตั้งแต่ยังเด็กโดยเฉพาะเมื่อแม่ของเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปขายผักนั่นจึงทําให้จี้เฟิงเคยชินกับการไม่ได้กินอาหารเช้า
แม้ว่าแม่ของเขาจะทิ้งเงินเป็นค่าอาหารเช้าไว้ให้เขาทุกครั้ง แต่ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาเลือกที่จะไม่ใช้เงิน
และแม้ว่าในตอนนี้จี้เฟิงจะไม่ได้มีชีวิตที่ยากจนแบบเดิมอีกต่อไป แต่จี้เฟิงก็ยังคงเคยชินกับการที่ไม่ได้กินอาหารเช้า และก็ยังเป็นแบบนั้นจนถึงปัจจุบัน เมื่อเช้าตู้เส้าเฟิงและคนอื่นๆ ได้ชักชวนจี้เฟิงให้ไปกินข้าวเช้าด้วยกันก่อนที่จะเข้าเรียนวิชาแรก แต่จี้เฟิงก็ปฏิเสธ เขาเลือกที่จะไปห้องเรียนก่อนล่วงหน้าเพื่อทําความคุ้นเคยกับสถานที่
เพราะหนึ่งในกฏของสายลับคือการต้องไปทําความรู้จักกับสถานที่รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยรอบก่อน ไม่ว่าจะเป็นการลงมือปฏิบัติการเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะจะได้รู้ถึงทางหนีทีไล่เอาไว้เมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด
แต่จี้เฟิงก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่น่าอับอายอย่างการหลงทางในมหาวิทยาลัยของตัวเองเช่นนี้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและเดินอย่างรวดเร็วไปยังอาคารสอนตามที่แผนที่ระบุไว้
ในที่สุดจี้เฟิงก็มาถึงห้องเรียน เขารู้สึกประหลาดใจทันทีเมื่อเห็นว่ามีนักศึกษามากมายนั่งรออยู่ในห้องเรียนแล้วรวมถึงตู้เส้าเฟิงและเพื่อนร่วมหอของเขาอีกสองคน
จี้เฟิงที่เดินไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนร่วมห้องของเขาจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทําไมพวกนายสามคนมาถึงเร็วขนาดนี้?”
“ช้าไปด้วยซ้ำ พวกเรามาหลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ว่าแต่พี่จี้เถอะ ทําไมมาเอาป่านนี้?” ตู้เส้าเฟิงพูดอย่างรวดเร็ว
จี้เฟิงเกาหัว เขารู้ว่าเขาเสียเวลาไปกับการตามหาห้องเรียนของเขา แต่เขาจะไม่ยอมบอกเรื่องที่น่าอายเช่นนี้โดยเด็ดขาด เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “ฉันเดินดูอะไรไปเรื่อยน่ะ เลยมาช้าไปนิดหน่อย”
ทั้งสี่คนพูดคุยและหัวเราะกัน จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะช้าเลืองมองไปรอบๆห้องเรียน นักศึกษาเหล่านี้คือคนที่จะใช้เวลาร่วมกันกับเขาในอีกสี่ปีข้างหน้า มันจําเป็นที่จะต้องทําความรู้จักกับพวกเขาไว้บ้าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเอกนี้ไม่ค่อยมีความกดดันมากนักหรืออย่างไร เพราะเห็นได้ชัดว่าจากนักศึกษาทั้งหมด 40 กว่าคน เป็นนักศึกษาหญิงเกินครึ่งและมีนักศึกษาชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
จี้เฟิงก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นเรื่องดีได้หรือไม่ที่ชั้นเรียนมีเด็กผู้ชายน้อยกว่าเด็กผู้หญิง เรียกได้ว่าห้องเรียนนี้ถูกปกครองโดยนักศึกษาสาว
เนื่องจากถงเล่ยแฟนสาวที่สวยมากๆของเขาจึงทําให้จี้เฟิงไม่คิดที่จะสนใจผู้หญิงคนอื่นๆมากนัก ดังนั้นสายตาของเขาจึงทําแค่มองนักศึกษาผู้หญิงเหล่านั้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะจดจําใบหน้าของพวกเธอเอาไว้เท่านั้น
แม้จี้เฟิงจะพบว่ามีเด็กผู้หญิงหลายคนในชั้นเรียนที่หน้าตาดี แต่ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเทียบได้กับถงเล่ย เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม ถงเล่ยผู้งดงามหาตัวจับยากราวกับนางฟ้าที่มาจุติบนโลกมนุษย์ ผู้หญิงแบบนี้จะมีให้พบเห็นอย่างง่ายๆได้อย่างไร? (สวยเกิน – -”)
ดังนั้นจี้เฟิงจึงหันมาสนใจเด็กผู้ชายในชั้นเรียนอย่างรวดเร็ว และเขาก็ค้นพบว่ามีเด็กผู้ชายที่โดดเด่นไม่น้อยในชั้นเรียนนี้ ตัวอย่างเช่นเพื่อนร่วมห้องของเขาทั้งสามคน พวกเขาต่างก็มีบุคลิกลักษณะเฉพาะของตนเอง ส่วนเด็กผู้ชายคนอื่นๆในเวลานี้ต่างมีสีหน้าตื่นเต้นและสิ่งที่ทําให้จี้เฟิงรู้สึกขบขันมากที่สุดก็คือ แม้ว่าเด็กผู้ชายเหล่านั้นจะกําลังพูดคุยกันแต่สายตาของพวกเขาต่างก็มองไปที่สาวๆในชั้นเรียนด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ผู้ชายพวกนี้ก็เหมือนพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ เขาจําคําเรียกนี้ได้เพราะจางเล่ยใช้บ่อยและเขาก็รู้สึกว่ามันเหมาะสมจริงๆกับคนเหล่านี้
อย่างไรก็ตามมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งในชั้นเรียนได้ดึงดูดความสนใจของจี้เฟิง
ผู้ชายคนนั้นตัดผมสั้นแต่สีเฉพาะตรงหน้าผากของเขานั้นย้อมเป็นสีแดงเข้ม จี้เฟิงเหมือนจะคุ้นๆว่า เคยเห็นผมทรงนี้ในภาพโปสเตอร์ของดารา
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจี้เฟิงก็คือ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งของเด็กผู้ชายคนนี้รวมถึงลักษณะท่าทางภาคภูมิใจที่ดูออกจะขี้เก๊กจนน่าหมั่นไส้ สิ่งนี้ทําให้จี้เฟิงนึกถึงตอนที่เขาพบกับอู๋จุ้นเจี๋ยครั้งแรกบนรถไฟ ในตอนที่อู๋จุ้นเจี๋ยพูดถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นคนสนิทของจี้ช่าวหยินบนรถไฟ มันเป็นสีหน้าที่ชวนให้จี้เฟิงหงุดหงิด
“เฮ้อ.. คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆสินะ ไม่ว่าที่ไหนมันก็ต้องมีคนแบบนี้อยู่เสมอ!” จี้เฟิงได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ
ฮั่นจงที่อยู่ข้างๆเขาดูเหมือนจะอ่านความคิดของจี้เฟิงออก เขากระซิบบอกกับจี้เฟิงว่า “ผู้ชาย คนนี้ชื่อ หวังเสี่ยวหู่ เขาเป็นลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษาของสหพันธ์มหาวิทยาลัย เดิมทีครอบครัวของเขาก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรสําคัญในแวดวงของครอบครัวฉัน แต่ฉันก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาไม่ใช่บุคคลสําคัญที่พวกเราต้องใส่ใจ เพราะมันจะแตกต่างกันมากเมื่อเราอยู่ในมหาลัย การที่เป็นลูกชายของรองคณบดีฝ่ายการศึกษาจึงเป็นอะไรที่มีอํานาจมากเมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นเด็กผู้ชายหลายคนที่เข้าเรียนที่นี่จึงวางแผนที่จะเข้าหาเขา เพื่อให้เขาเห็นหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แล้วถ้าคนไหนเข้าตาก็คงจะได้เข้าไปอยู่กลุ่มเดียวกับเขานั่นแหละ”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เป็นลูกของครอบครัวคนรวยคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่เอง!”
เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดขึ้นฮั่นจงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแบบฝืนๆ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะได้พบกับจางเล่ยและรู้ว่าเขาเป็นใคร ฮั่นจงมักจะมีความรู้สึกเหนือกว่าและภาคภูมิใจในตระกูลของตนเองอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาคงไม่กล้าพอที่จะพูดออกมาได้ว่าเขาเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ต่อหน้าจางเล่ย และก็เกรงว่าคงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้าพูดแบบนี้
แต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะประมาทจี้เฟิงเพราะเห็นได้ว่าชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างจี้เฟิงและจางเล่ยนั้นดีมาก แม้ฮั่นจงจะคิดว่าจี้เฟิงพูดจาล้อเลียนเขาก็ตามที เขาจึงทําได้แค่เพียงยิ้มแห้งๆออกไป
เมื่อเห็นท่าทางที่ค่อนข้างอึดอัดของฮั่นจง จี้เฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าฮั่นจงอาจจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่เขาพูดออกมาสักเท่าไหร่
เขาคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่อธิบายอะไรออกไป เพราะหากเขาพูดหรืออธิบายอะไรไปตอนนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์เท่ากับการที่ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และให้พวกเขาได้ทําความรู้จักกันมากขึ้นกว่านี้
จี้เฟิงมองไปที่เด็กผู้ชายคนอื่นๆ อีกครั้ง แต่ในบรรดาพวกเขาก็ไม่มีใครดูโดดเด่นไปกว่าหวังเสี่ยวหู่อีกแล้ว ดูเหมือนว่าหวังเสี่ยวหู่คนนี้จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในชั้นเรียน