บทที่ 122 สองทางเลือก
“คุณ..!” ใบหน้าของหูเกี่ยจวินแดงกําไปด้วยความอัปยศอดสูจากคําพูดของรองผู้บัญชาการหวังแต่เขาไม่สามารถเถียงได้เลย เพราะสิ่งที่หัวหน้าหวังของเขาพูดนั้นเป็นความจริงว่าต่อให้ทักษะของเขาจะดีมากแต่เขาก็คือทหารผู้ถูกย้ายออกจากกองกําลังภาคสนามแล้วต้องกลายมาเป็นหัวหน้ากองเล็กๆสําหรับการฝึกทหารของนักศึกษา!
รองผู้บัญชาการหวังพูดต่อด้วยความไม่พอใจ “ในการเลือกหัวหน้าทีม อันดับแรกคุณต้องเลือกคนที่หน่วยก้านดีมีมาตรฐาน และเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมชั้นรวมถึงต้องเป็นคนที่มีมุมมองเชิงบวกด้วย แค่เหตุผลข้างต้นก็มากเกินพอแล้วที่เขาจะทําหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม!”
หูเกี่ยจวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งเพื่อทําให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างช้าๆ “ครับ!”
ในฐานะหัวหน้าทีม เขาจะได้รับอนุญาตเป็นพิเศษในการสื่อสารกับครูฝึก เขาจึงสามารถหาโอกาสพูดคุยเรื่องทักษะการต่อสู้กับหูเกี่ยจวินได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าทีม เขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับหูเกี่ยจวินได้ตามที่เขาต้องการเว้นเสียแต่ว่าหูเกี่ยจวินจะเป็นฝ่ายอนุญาตหรือเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน แล้วถ้ามันเป็นเช่นนั้น มันจะทําให้เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ประลองฝีมือกับหูเกี่ยจวินอีก และสิ่งนี้มันจึงทําให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในฐานะหัวหน้าทีม เขาจะได้รับอนุญาตเป็นพิเศษในการสื่อสารกับครูฝึก เขาจึงสามารถหาโอกาสพูดคุยเรื่องทักษะการต่อสู้กับหูเกี่ยจวินได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เขาถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าทีม เขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับหูเลี่ยจวินได้ตามที่เขาต้องการเว้นเสียแต่ว่าหูเกี่ยจวินจะเป็นฝ่ายอนุญาตหรือเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน แล้วถ้ามันเป็นเช่นนั้น มันจะทําให้เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ประลองฝีมือกับหูเกี่ยจวินอีก และสิ่งนี้มันจึงทําให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง?!” รองผู้บัญชาการหวังหันหน้าไปทางตู้เส้าเฟิงทันทีและตะโกนถามด้วยความโกรธ “ในตอนนี้คุณอยู่ในค่ายทหารก็เท่ากับว่าคุณเป็นทหารคนหนึ่ง คุณต้องเชื่อฟังคําสั่งผู้บังคับบัญชาของคุณ ครูฝึกของคุณไม่ได้สอนเรื่องนี้ให้กับคุณงั้นหรือ!”
“รายงาน สอนครับ!” ตู้เส้าเฟิงตอบเสียงดัง “แล้วครูฝึกหูก็ยังบอกกับผมด้วยว่า ในฐานะหัวหน้าทีม ไม่เพียงแต่เราจะต้องตั้งใจและฝึกของตัวเองให้เสร็จก่อนเท่านั้น แต่เราจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและช่วยเหลือครูฝึกในการฝึกอบรมผู้อื่นด้วย ด้วยข้อกําหนดทั้งหลายนี้ ผมเลยไม่คิดว่าหวังเสี่ยวหูจะสามารถทําหน้าที่หัวหน้าทีมนี้ได้!”
หูเกี่ยจวินรีบส่งสายตาเป็นเชิงเตือนให้กับตู้เส้าเฟิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผู้เส้าเฟิงจะมาพูดจาไร้สาระเพราะเห็นได้ชัดว่ารองผู้บัญชาการหวังชื่นชอบในตัวหวังเสี่ยวหูเป็นพิเศษและคําพูดของตู้เส้าเฟิงอาจจะทําให้รองผู้บัญชาการหวังไม่พอใจ
ในความคิดของหูเกี่ยจวิน เขาไม่สนใจว่าตัวเขานั้นจะถูกตําหนิอย่างไร เพราะเขาก็มีนิสัยแบบนี้อยู่แล้วและตราบใดที่เขาไม่ได้ละเมิดวินัยทหารก็จะไม่มีใครสามารถปลดเขาออกจากกองทัพได้แต่นั่นไม่ใช่กับตู้เส้าเฟิง เขาเป็นนักศึกษาที่มายังค่ายทหารเพื่อฝึกทหาร แล้าถ้าหากรองผู้บัญชาการหวังเกิดไม่พอใจตู้เส้าเฟิงขึ้นมาจริงๆ เขาก็มีวิธีการมากมายที่จะจัดการให้ตู้เส้าเฟิงไม่ได้รับการฝึกทหารต่อไปได้จนจบและมันจะทําให้เขาไม่ได้รับประกาศนียบัตร
จี้เฟิงแอบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เขารู้สึกชื่นชอบนิสัยของตู้เส้าเฟิงคนนี้จริงๆ เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าตู้เส้าเฟิงจงใจพูดเรื่องนี้เพื่อแสดงให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็นว่ารองผู้บัญชาการหวังกําลังตัดสินอย่างไม่ถูกต้อง โดยที่ใช้เรื่องสมรรถภาพทางร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างเขาและหวังเสี่ยวหูอย่างชัดเจน เพราะเพียงแค่เรื่องนี้มันก็เพียงพอที่จะทําให้ทุกคนสามารถมองภาพออกได้อย่างชัดเจนว่าใครกันแน่ที่เหมาะสมกับตําแหน่งหัวหน้าทีมมากกว่า
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของรองผู้บัญชาการหวังก็ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น แต่เส้าเฟิงไม่รู้จักกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าคุณพูดแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าคุณกําลังจะบอกว่าคุณเป็นคนที่เก่งมาก?” รองผู้บัญชาการหวังถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ตู้เส้าเฟิงตอบเสียงดัง “ผมไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ผมมั่นใจว่าสมรรถภาพทางกายของผมนั้นดีกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ส่วนเรื่องเก่งหรือไม่นั้น ผมไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้!”
“ดี!!”
รองผู้บัญชาการหวังตะคอก “ในเมื่อคุณมั่นใจแบบนี้ คุณยินดีที่จะทําการทดสอบหรือไม่?”
“ทดสอบอะไร?” ตู้เส้าเฟิงถาม
“ก็ไม่มีอะไรมาก พอดีว่าคนขับรถของฉันเขาพอจะมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้างนิดหน่อย ถ้าคุณกล้าพอที่จะทดสอบ ผมอยากจะให้คุณลองเปรียบเทียบฝีมือของคุณกับเขาดู แล้วถ้าคุณชนะคุณก็จะสามารถทําหน้าที่หัวหน้าทีมของคุณต่อไปได้ และฉันจะไม่คัดค้านอะไรอีก แต่ถ้าคุณแพ้ฉันจะเขียนรายงานเรื่องการขัดคําสั่งผู้นําระดับสูงลงไปในรายงานการฝึกทหารของคุณ คุณคิดว่าอย่างไร?” รองผู้บัญชาการหวังถามด้วยน้ําเสียงเยาะเย้ย
“ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้!” ตู้เส้าเฟิงยิ้มมุมปาก “ทําไมผมต้องเปรียบเทียบฝีมือกับคนขับรถของรองผู้บัญชาการหวังด้วย? เขาไม่ได้เป็นคนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมของพวกเราเสียหน่อยเนื่องจากตําแหน่งหัวหน้าทีมจะต้องเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาจากนักศึกษาที่อยู่ในทีมของพวกเราแล้วถ้าเป็นคนที่ต้องการตําแหน่งนี้เช่นเดียวกันผมก็ยินดีที่จะเปรียบเทียบทักษะกันแบบตัวต่อตัว!”
“เธอ..!!!”
รองผู้บัญชาการหวังถึงกับหายใจไม่ออกด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรที่จะมาหักล้างคําพูดของตู้เส้าเฟิงได้
“ท่าตรง!!” รองผู้บัญชาการหวังตะโกนสั่งด้วยความอับอาย
“ครับผม!” ตู้เส้าเฟิงวางเท้าข้างหนึ่งชิดเข้าหาอีกข้างหนึ่งและทําท่าทางตัวตรง
จากนั้นรองผู้บัญชาการหวังหันไปหาหูเกี่ยจวินแล้วพูดว่า “ดูสิว่าคุณนําทหารแบบไหนมาเป็นหัวหน้าทีม นอกจากมาตรฐานทางทหารยังไม่ดีพอเขายังกล้าขัดคําสั่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกด้วย!”
หูเกี่ยจวินไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คงจะสามารถบอกได้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด เพียงแค่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นรองผู้บังคับบัญชาที่เป็นหัวหน้าของเขา ส่วนตัวเขาเป็นแค่หัวหน้ากองเล็กๆที่ถูกส่งมาให้รับผิดชอบการฝึกทหารของนักศึกษา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด
ตู้เส้าเฟิงขมวดคิ้ว “การที่ผมพูดความจริง คือการขัดคําสั่ง?”
เขาไม่ใช่ทหารเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดว่ารองผู้บัญชาการหวังเป็นผู้นําของเขา และถ้าหากไม่ใช่เพราะข้อบังคับของมหาวิทยาลัยที่จะต้องมาฝึกทหารเขาก็คงจะไม่รู้จักรองผู้บัญชาการหวังคนนี้ด้วยซ้ํา ดังนั้นตู้เส้าเฟิงจึงไม่คิดที่จะพูดสุภาพกับเขาอีกต่อไป
ท่าทีของรองผู้บัญชาการหวังเปลี่ยนไปทันที เมื่อได้ยินตู้เส้าเฟิงพูดเช่นนั้นใบหน้าของเขาดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมและจ้องมองไปที่ตู้เส้าเฟิงอย่างเย็นชา “นักศึกษาคนนี้ดูเหมือนว่าคุณอยากจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคําสังของฉัน?!”
“แน่นอน ผมมีความคิดเห็นว่ามันมีเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นจากคําสั่งของคนที่เป็นถึงระดับผู้ นํา!” ตู้เส้าเฟิงพูดเบาๆ “ถึงคุณจะสามารถออกคําสั่งและควบคุมพฤติกรรมของผมได้แต่คุณจะ ควบคุมความคิดของผมได้อย่างไร?”
“ดี! ดีมาก! เหอะ!”
รองผู้บัญชาการหวังโกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ํา “ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้โอกาสคุณได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยการที่คุณจะต้องต่อสู้กับคนขับรถของฉันแล้วถ้าคุณชนะฉันจะยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่ถ้าคุณแพ้คุณต้องออกไปจากที่นี่ทันที เพราะฉันจะไล่คุณออกข้อหาต่อต้านและขัดคําสั่งของผู้นํา!”
“หัวหน้าหวังใจเย็นๆก่อนครับ!” หูเกี่ยจวินรู้สึกเป็นกังวลทันทีเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มรุนแรงขึ้น และถ้าตู้เส้าเฟิงถูกไล่ออกจริงๆเขาก็จะไม่มีวันได้รับประกาศนียบัตร
แม้ว่าสหพันธ์มหาวิทยาลัยจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้การเก็บสะสมหน่วยกิตเป็นหลัก แต่ก็ต้องมีบางหลักสูตรที่จะขาดไม่ได้ แล้วถ้าหากต้องเสียหน่วยกิตจากการฝึกทหารไปเขาก็จะไม่สามารถจบการศึกษาได้
แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีนักศึกษาที่เป็นรุ่นพี่ที่ยังคงต้องมาเข้าร่วมการฝึกทหารร่วมกับรุ่นน้องที่เป็นนักศึกษาใหม่ เพราะด้วยเหตุผลที่พวกเขาไม่ผ่านการฝึกทหารนี้รวมไปถึงเหตุผลอื่นที่ทําให้เขาไม่มีเวลามาเข้าร่วมการฝึกทหาร
แต่เส้าเฟิงนั้นแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่เขาเป็นคนที่มีความจริงจังในการฝึกฝนทางการทหารแต่เขายังเป็นคนตรงไปตรงมา คนประเภทนี้เป็นที่ต้องการของทหารมาก แล้วถ้าตู้เส้าเฟิงถูกไล่ออกหูเกี่ยจวินคงรู้สึกเสียดายมาก
“ในเมื่ออยากแสดงความคิดเห็น ฉันก็เสนอทางเลือกให้กับคุณ ไม่ดีตรงไหนที่คุณจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเก่งอย่างปากว่าหรือไม่ แต่ถ้ากลัวคุณก็เก็บกระเป๋าและออกจากที่นี่ได้ทันที!”
รองผู้บัญชาการหวังพูดอย่างประชดประชัน ในเวลานี้มีความโกรธอัดแน่นอยู่ในใจของเขาเพราะเขาที่ดํารงตําแหน่งเป็นถึงรองผู้บังคับบัญชาการทหารแต่กลับถูกนักศึกษาคนหนึ่งกล้าเผชิญหน้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งไปกว่านั้นที่เขามาที่นี่ในวันนี้ เป็นเพราะหลานชายของเขาได้โทรหาเขาด้วยตัวเองเมื่อคืนนี้และบอกกับเขาว่า ได้ถูกคนที่ชื่อตู้เส้าเฟิงปล้นตําแหน่งหัวหน้าทีมไปอย่างหน้าด้านๆ และในเมื่อตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้สั่งสอนบทเรียนให้กับตู้เส้าเฟิง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดรอดไปอย่างเด็ดขาด
คิ้วของจี้เฟิงขมวดแน่น แต่เขายังคงมองดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะมีบางอย่างผิดปกติ
“รายงานหัวหน้าหวัง กรุณาพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง การไล่นักศึกษาคนหนึ่งออกอย่างกะทันหันอาจจะก่อให้เกิดชื่อเสียงด้านลบกับตัวของหัวหน้าหวังเองได้นะครับ!” หูเกี่ยจวินพยายามเกลี้ยกล่อมโดยการพูดโน้มน้าวถึงผลเสียที่อาจจะได้รับของหัวหน้าหวังเพราะเขานั้นไม่ต้องการให้ตู้เส้าเฟิงถูกไล่ออกจริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จู่ๆรองผู้บัญชาการหวังก็หัวเราะ จากนั้นก็พูดเสียงดังว่า “หูเกี่ยจวิน! คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร คุณจะบอกว่าผมไล่นักศึกษาออกโดยไม่มีเหตุผลงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ!” หูเกี่ยจวินรีบอธิบาย “หัวหน้าหวัง ผมหมายถึงตู้เส้าเฟิงไม่ใช่ทหารจริงๆ เขาไม่เข้าใจถึงกฎระเบียบต่างๆของทหาร แล้วที่สําคัญเขาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของผม ผมจะจัดการสั่งสอนให้ดี เพราะฉะนั้นหัวหน้าหวังได้โปรดใจเย็นๆ!”
เมื่อมองไปที่หูเกี่ยจวินที่กําลังขอร้องรองผู้บัญชาการหวังด้วยเรื่องของเขา แววตาของตู้เส้าเฟิงก็เปลี่ยนไป เขาพยายามข่มความโกรธที่กําลังพุ่งสูงขึ้นอยู่ภายในใจของเขา
“ฉันจะไม่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก นี่เป็นการตัดสินใจของนักศึกษาทหารใหม่ตู้เส้าเฟิง ว่าเขาจะไปเล่นสนุกกับคนขับรถของฉันหรือจะออกไปจากที่นี่พร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า และแน่นอนฉันคิดว่าฉันยังมีสิทธิ์ที่จะขับไล่นักศึกษาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้!” รองผู้บัญชาการหวังพูดอย่างเย็นชา
จากนั้นเขาก็พูดต่อโดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าหูเกี่ยจวิน “ในเมื่อคุณบอกว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของคุณ ดังนั้นคุณก็ควรที่จะต้องถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน!”
“เหอะ!”
ตู้เส้าเฟิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปเขาก่นด่าด้วยความโกรธ “หัวหน้าห่วยแตก ตําแหน่งใหญ่โตซะเปล่าแต่ดันมารังแกคนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา คุณยังสามารถเป็นผู้นําคนอื่นอยู่ได้ยังไงเพราะฉันไม่เห็นว่าคนอย่างคุณเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าของใครเลย!”
“แกพูดว่าอะไรนะ!” รองผู้บัญชาการหวังก็หมดความอดทนเช่นกันเขาโกรธจนมีเส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผาก
“ฉันตกลงที่จะสู้กับคนขับรถของคุณตามที่เสนอมา เพราะฉะนั้นคุณก็หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว และทุกคนที่นี่จะเป็นพยานในตอนที่คุณต้องหน้าแหก!” ตู้เส้าเฟิงพูดอย่างเย็นชา
“ตกลง ฉันจะคอยดู!”
รองผู้บัญชาการหวังดีใจจนถึงกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอยู่ที่ใบหน้า เขาดีใจจนแม้กระทั่งลืมความโกรธที่เส้าเฟิงดูหมิ่นเขา “ในเมื่อเธอเลือกแบบนี้ งั้นก็มาเริ่มกันเลย!”
จากนั้นเขาก็หันไปทางคนขับรถแล้วกวักมือเรียก
คนขับรถของรองผู้บัญชาการหวังเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างกํายําคล้ายกับตู้เส้าเฟิงแต่สิ่งที่แตกต่างคือเขามีออร่าแห่งการสังหารอยู่รอบๆตัว นั่นจึงทําให้จี้เฟิงถึงกับขมวดคิ้วแน่น จี้เฟิงสามารถรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ต้องแข็งแกร่งมากตั้งแต่แวบแรกที่เห็น
สีหน้าของหูเกี่ยจวินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขารู้เกี่ยวกับคนขับรถของรองผู้บัญชาการหวังเขาได้ยินมาว่าชายคนนี้มีฉายาว่าหมีดําเขาเคยเป็นนักสู้ฝีมือดีบนเวทีมวยใต้ดินในเจียงโจวแต่ต่อ มาเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมอยู่ดีๆชายคนนี้ถึงได้เข้ามาอยู่ในกองทัพ และเขาก็ถูกพบโดยรองผู้บัญชาการหวัง และกลายมาเป็นคนขับรถของเขา
ไม่ว่าตู้เส้าเฟิงจะเก่งกาจแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักสู้ที่ต้องเอาชีวิตรอดด้วยการต่อสู้มาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะมองยังไงตู้เส้าเฟิงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะที่ไม่มีใครทันสังเกต จี้เฟิงที่ตอนนี้กําลังส่งข้อความด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดและหลังจากนั้นเขาค่อยๆแทรกตัวมาด้านหน้าและเขาก็มาถึงแถวแรกโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เพราะในเวลานี้ความสนใจของทุกคนมุ่งเน้นไปที่เส้าเฟิงและคนขับรถของรองผู้บัญชาการหวังที่อยู่ด้านหน้า จึงยิ่งไม่มีใครทันสังเกตเห็นการกระทําของจี้เฟิง ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เขาได้รับการฝึกฝนมาจากระบบฝึกสุดยอดสายลับ สิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับสายลับก็คือต้องไม่ทําตัวให้เป็นที่สังเกตและจี้เฟิงก็ทํามันได้ดี
ในขณะนั้นเอง ตู้เส้าเฟิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มาจากคนขับรถของรองผู้บัญชาการหวังเขารู้ตัวในทันทีว่าวันนี้เขาต้องเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งของจริง!