คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นทันทีสายตาของจี้เฟิงที่แสดงอย่างชัดเจนถึงความรังเกียจได้จ้องมองไปยังผู้หญิงที่เป็นเจ้าของเสียงที่น่ารังเกียจนี้
“เป็นคุณนี่เอง!”จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม “คุณต้องการนาฬิกาสองเรือนนี้งั้นเหรอ”
เสียงของหญิงสาวที่พูดแทรกเซียวหยูซวนเมื่อครู่ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เธอคือฮูซู่ฉินพี่สาวของแฟนเก่าของจี้เฟิงที่ชื่อฮูซู่ฮุ่ย และคนที่ยืนข้างๆเธอเป็นชายวัยกลางคนที่มีพุงใหญ่และใบหูใหญ่เหมือนช้าง แน่นอนว่าเขาคืออู๋ฉางฉุนสามีที่ร่ำรวยของเธอ
แม้ว่าอากาศในเดือนตุลาอาจไม่ถึงกับหนาวแต่มันก็ไม่ได้ร้อนเท่าในฤดูร้อนอย่างแน่นอน จี้เฟิงในเวลานี้ยังใส่เสื้อแขนยาวแล้ว ซึ่งตอนกลางวันสามารถกันแดดได้ ส่วนตอนเย็นอากาศจะเริ่มเย็นขึ้นซึ่งมันจะช่วยกันหนาวได้ดีเช่นกัน อย่างไรก็ตามฮูซู่ฉินสวมเพียงกระโปรงสั้นและเสื้อตัวเล็กที่ไม่สามารถปกปิดอะไรได้เลยนอกจากแค่ส่วนตรงหน้าอกของเธอถ้าจะให้เปรียบเทียบเสื้อที่เธอสวมมันเหมือนเป็นเพียงเสื้อชั้นในเท่านั้น เธอสวมสร้อยคอที่ประดับไปด้วยอัญมณีที่สวยงาม ส่วนข้อมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยสร้อยข้อมือทองคำรวมกันประมาณเจ็ดแปดเส้น ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างภายในร้าน เครื่องประดับของเธอนั้นสะท้อนแสงแพรวพราวมาก
ส่วนอู๋ฉางฉุนสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและเนื่องจากความอ้วนของเขาจึงทำให้เขามีเหงื่อออกมากในเวลานี้ และเขาก็ไม่ลืมที่จะพยายามชูข้อมือและเขย่ามันเพื่อโชว์นาฬิกาสีทองให้คนอื่นๆได้รับรู้ถึงความมั่งคั่งของเขา
การโอ้อวดของทั้งสองทำให้จี้เฟิงถึงกับส่ายหัวการแสดงสินค้าเครื่องประดับในตัวของทั้งสองคนนี้ดี๊ดี พวกเขาไม่ต่างจากตู้โชว์เคลื่อนที่ ราคารวมๆกันอย่างต่ำก็น่าจะหลายแสนหยวน ในเมืองใหญ่อย่างเจียงโจวที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายประเภท แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดซักเท่าไหร่ที่ประโคมเครื่องประดับจัดเต็มมาขนาดนี้ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยของเจียงโจวก็ไม่ได้ดีอะไรนัก แล้วสองคนนี้ก็ดูไม่เหมือนคนใหญ่คนโตที่มีบอดี้การ์ด มันเหมือนพวกเขาตั้งใจเอาเงินมาแจกโจร!
แต่มีสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจคือเขาไม่เห็นฮูซู่ฮุ่ยซึ่งเป็นแฟนเก่าเขาอยู่กับสองคนนี้ที่นี่ในตอนนี้ นี่เป็นวันหยุดของเดือนพฤศจิกายน ฮูซู่ฮุ่ยไม่น่าจะมีเรียน ด้วยนิสัยของเธอที่ชอบเที่ยวและอวดร่ำอวดรวยแบบเธอ ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้อยู่ที่นี่กับสองคนนี้
“คุณสองคนเป็นใครไม่ทราบว่าพวกคุณมาก่อนหรือเปล่า?” เซียวหยูซวนถามพร้อมกับขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง
“เหอะ!ปกติการซื้อของใครก็ตามที่สามารถจ่ายได้ในราคาที่สูงกว่าคนนั้นก็ต้องมีสิทธิมากกว่า ถ้าคุณไม่มีเงินมากพอก็อย่าคิดจะมาที่แบบนี้เลย!” ฮูซู่ฉินพูดพร้อมกับทำหน้าเชิดราวกับว่าเธอเป็นหงส์ผู้งามสง่าอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามแป้งที่หนาเตอะบนใบหน้าของเธอและการแต่งหน้าราวกับผู้หญิงกลางคืนทำให้เธอดูเหมือนไก่ที่ตะเกียกตะกายพยายามจะเป็นหงส์มากกว่าที่จะเป็นหงส์จริงๆ!
เซียวหยูซวนมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่กำลังยืนยิ้มเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
เซียวหยูซวนส่ายหัวเล็กน้อยและหันไปส่งยิ้มให้จี้เฟิงและถามว่า“คุณรู้จักพวกเขาหรือเปล่า”
เซียวหยูซวนที่เกิดจากครอบครัวที่อบรมสั่งสอนเธอมาอย่างดีไม่อยากที่จะเสวนากับคนประเภทนี้มากนัก มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมีเงิน แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอวดร่ำอวดรวยและพูดจาทับถมคนอื่นอย่างภาคภูมิใจแบบนี้
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย“ผมไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน”
“จี้เฟิง!”ฮูซู่ฮุ่ย กระโดดเหยงๆพร้อมกับกรีดร้องราวกับถูกเหยียบหาง “กล้าพูดว่าไม่รู้จักพวกเรางั้นเหรอ ไอ้เด็กขายผักยากจนที่ในอดีตยังมาตามตื๊อน้องสาวของฉันอย่างไม่เจียมตัว กล้าดียังไงมาทำตัวแบบนี้กับคนระดับพวกฉัน!”
“คนระดับคุณนี่มันยังไงเหรอ”จี้เฟิงถามเบาๆ
ฮูซู่ฉินสะอึกไปเล็กน้อยเธอพูดไม่ออกว่าในอดีตเธอใช้ชีวิตกันมาแบบไหน พ่อแม่ของพวกเธอเป็นเพียงชาวนาธรรมดาๆที่อยู่ในชนบท แน่นอนว่ามันเป็นอาชีพและความยากจนที่เธอเกลียดชังมากที่สุด!
“ผมภูมิใจในตัวแม่ของผมแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเงินเล็กๆน้อยๆที่ท่านได้มาจากการขายผัก แต่มันก็เป็นเงินที่ท่านใช้เลี้ยงดูผมและส่งเสียผมจนได้มาเรียนมหาวิทยาลัย!” จี้เฟิงมองเธออย่างเย้ยหยัน “แล้วคุณล่ะ พ่อแม่ของคุณก็เป็นชาวนาไม่ใช่เหรอ? แม้พวกเขาจะเป็นชาวนาธรรมดาๆ แต่พวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากแต่คุณกลับดูถูกชาวนาและคนยากจน คุณนี่มันสุดที่จะหาคำไหนมาบรรยายได้เลยจริงๆ…” จี้เฟิงส่ายหัวและหัวเราะเยาะ
มือเล็กๆของเซียวหยูซวนแตะเบาๆไปที่แขนของจี้เฟิงเป็นเชิงห้ามจี้เฟิงจึงหันไปหาเซียวหยูซวนและพูดด้วยรอยยิ้ม “หยูซวนไม่ต้องห่วง ผมไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอก”
เซียวหยูซวนพยักหน้าเล็กน้อยและหันไปพูดกับพนักงานขาย“ไปจัดการห่อนาฬิกาสองเรือนนี้ให้ฉันได้เลยนะคะ แล้วฉันจะไปชำระเงินตรงไหนได้บ้าง”
พนักงานขายรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับสิ่งที่จี้เฟิงเพิ่งพูดอันที่จริงเธอเองก็มาจากชนบทเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เพื่อนร่วมงานถามถึงบ้านเกิดเธอไม่เคยกล้ายอมรับความจริงที่ว่าเธอมาจากชนบทเลย แต่เธอเพิ่งจะมาคิดได้ก็ต่อเมื่อได้ยินคำพูดของจี้เฟิงเมื่อครู่นี้ ให้ตายเถอะ!
ดังนั้นทัศนคติของพนักงานขายที่มีต่อจี้เฟิงจึงเป็นไปด้วยความจริงใจ“ได้ค่ะ โปรดรอสักครู่ คุณลูกค้าทั้งสองจะได้รับนาฬิกาสองเรือนนี้อย่างแน่นอน สำหรับการชำระเงินเชิญคุณลูกค้าไปที่แคชเชียร์เพื่อทำการชำระเงินในตอนนี้ได้เลยค่ะ และระหว่างนี้ดิฉันจะนำสินค้าไปใส่กล่องมาให้คุณลูกค้าอย่างดีที่สุดค่ะ”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“โอเค ผมจะไปจ่ายเงินเอง หยูซวนคุณรอรับนาฬิกาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นจี้เฟิงและเซียวหยูซวนกำลังจะซื้อนาฬิกาอู๋ฉางฉุนและฮูซู่ฉินก็รีบขัดขวางทันที พวกเขาโกรธมากที่ถูกเพิกเฉยจากเด็กยากจนและพนักงานขายมันเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก!
“คุณกำลังจะทำอะไรผู้จัดการร้านไม่ได้อบรมคุณมาเหรอ?” ฮูซู่ฮุ่ยโวยวาย “ฉันบอกให้คุณห่อนาฬิกาคู่นี้ให้ฉัน แล้วทำไมคุณยังจะให้นาฬิกาคู่นี้กับคนที่น่าสมเพชสองคนนี้อีก?!”
“เรียกผู้จัดการของคุณออกมา!”อู๋ฉางฉุนตะคอก เขาก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงความองอาจผ่าเผยของเขา “คุณเป็นพนักงานขายได้ยังไง แค่คนไหนมีเงินหรือไม่มีเงินแค่นี้ก็ดูไม่ออก ร้านนาฬิกาที่ไม่ได้ดีเลิศอะไรนักแถมยังมีพนักงานแย่ๆแบบนี้มันจะไปเจริญได้ยังไง!”
“อุ๊ปส์”เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอมองไปที่จี้เฟิงและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าวาเชอรอง กงสตองแตง เป็นแบรนด์ที่แย่แล้วนาฬิกาแบรนด์ไหนถึงจะดีพอสำหรับสองคนนี้…คิกคิก” ในตอนท้ายของประโยคเซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและหัวเราะ
ไม่น่าแปลกใจเพราะคนที่ไม่รู้จักนาฬิกาแบรนด์Vacheron Constantin ก็มีอยู่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามหากเขาไม่รู้จักแบรนด์นี้แต่ยังแสร้งทำตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ และทำตัวเหมือนตัวเองเป็นบุคคลชั้นสูง แต่อันที่จริงแล้วเขาก็เป็นเพียงชนชั้นกลางที่พอมีเงินหน่อยก็ทำตัวเป็นอึ่งอ่างพองลมและที่เลวร้ายไปกว่านั้นเขายังอวดดีทำตัวเหนือกว่าคนอื่นโดยการดูถูกคนจนและชาวนาอีกด้วย
คนแบบนี้มันช่างน่าขันเสียจริง
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะหัวเราะอะไรของเธอ!” เมื่อเห็นรอยยิ้มของเซียวหยูซวน ฮูซู่ฉินก็รู้สึกอับอายและตะโกนถามห้วนๆ
คราวนี้ใบหน้าของเซียวหยูซวนก็จริงจังขึ้นมาทันที“คุณนั่นแหละเป็นหมาบ้าหรือไง ถึงได้เที่ยวไล่กัดคนอื่นเขาไปทั่ว!”
ไม่ว่าพวกเขาสองคนจะพูดอะไรจี้เฟิงทนได้แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเริ่มระรานเซียวหยูซวนจี้เฟิงจะไม่ยอมทนอีกต่อไป
“อย่ามาตะโกนใส่หน้าคนอื่นแบบนี้ไร้มารยาท!” เมื่อเห็นแสงเย็นวาบในดวงตาของจี้เฟิง ฮูซู่ฉินก็สะดุ้งตกใจทันทีและมันทำให้เธอไม่กล้าที่จะพูดเสียงดังเหมือนก่อนหน้านี้อีก แม้เธอจะไม่กล้าพูดอะไรอีกแต่เนื่องจากพนักงานในร้านยังมองอยู่ เธอจึงทำได้แค่เพียงเชิดหน้าทำท่าอวดดีใส่โดยมีสีหน้าไม่แยแสกับสิ่งที่จี้เฟิงพูด “เด็กน้อยนายมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” อู๋ฉางฉุนก็อดไม่ได้เช่นกันที่จี้เฟิงพูดจาอวดดี เขาจึงถามกลับด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
“เหอะ!”จี้เฟิงยิ้มเยาะเล็กน้อย “คุณต่างหากที่เป็นคนก่อปัญหา ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน!”
“อะฮ่า~นายเป็นใครถึงได้มาไล่ฉัน” อู่ฉางฉุนหัวเราะทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอดูหน่อยว่าถ้าฉันไม่ออกไป นายจะทำอะไรฉันได้?”
“จี้เฟิงไม่ต้องไปสนใจพวกเขา เราไปจ่ายเงินกันดีกว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องมาเสียเวลากับคนแบบนี้!” เซียวหยูซวนกระซิบที่ข้างๆหูจี้เฟิง ไอลีนโนเวล
จี้เฟิงถอนหายใจและส่ายหัวเล็กน้อย“คุณพูดถูก เถียงกับคนพวกนี้ไปก็มีแต่จะทำให้เราเสียเวลาอันมีค่าโดยเปล่าประโยชน์!”
“จะหนีแล้วเหรอ”อู๋ฉางฉุนหัวเราะเยาะ “ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่า คนจนๆอย่างนายทำไมถึงได้มาที่นี่ หรือว่ารอจังหวะคนอื่นเผลอแล้วมาขโมยของ? คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ น่ากลัวจริงๆ!”
“คุณป่วยเหรอไปหาหมอปรึกษาจิตแพทย์บ้างนะ!” ใบหน้าของจี้เฟิงหม่นหมองลงเล็กน้อย “อู๋ฉางฉุนผมไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเรื่องคุณ แต่คุณก็ยังอุตส่าห์มายั่วโมโหผมถึงที่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่คนร่ำรวยแบบคุณหมดเงินไปหลายล้านกับการซื้อเศษหิน ตอนนี้คุณยังจะเหลือเงินมาซื้อนาฬิกาแบรนด์นี้ได้อยู่อีกหรือเปล่า?”
สำหรับอู๋ฉางฉุนคนนี้จี้เฟิงรู้สึกรังเกียจเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ แต่เขาไม่ได้มีโอกาสที่จะตามไปจัดการสะสางให้เรียบร้อย หลังจากที่เขามัวไปยุ่งกับเรื่องต่างๆ จนทำให้จี้เฟิงแทบจะลืมผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังมากวนตีนเขาอีกครั้ง แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องยอมทนอยู่เฉยๆปล่อยให้อู๋ฉางฉุนคนนี้มาหาเรื่องเขาอีก
เขาแอบตัดสินใจที่จะทำให้อู๋ฉางฉุนต้องเสียเงินจนหน้าแห้งให้ได้อีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า~!อย่างฉันน่ะเหรอจะซื้อนาฬิการ้านนี้ไม่ได้” อู๋ฉางฉุนหัวเราะจนไขมันบนใบหน้ากระเพื่อม โดยไม่สนใจถึงแผลเก่าที่เคยโดนจี้เฟิงเล่นงานมาแล้ว เขาหันไปมองหน้าพนักงานและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอ้านี่ เอาบัตรของฉันไปรูดได้เลย รหัสคือหกหก”
“แปะ!”
เขาหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์และโยนมันลงไปบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าของพนักงานขาย“ฉันต้องการนาฬิกาคู่สองเรือนนี้ เอามันไปห่อให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยวก่อนผมยังไม่รู้เลยว่าคุณมีเงินอยู่จริงๆหรือเปล่า” จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ผมให้ห้าหมื่น คุณไปใส่กล่องมาให้ผม”
“จี้เฟิง!”เซียวหยูซวนดึงเสื้อของเขาทันที การใช้เงินห้าหมื่นหยวนกับนาฬิกาข้อมือที่ราคาสามหมื่นห้ามันไม่เกินไปหน่อยเหรอ
“ไม่ต้องกังวลไม่เป็นไรหรอก” จี้เฟิงพูดให้เซียวหยูซวนสบายใจ
“ห้าหมื่น”อู๋ฉางฉุนเยาะเย้ย “ไอ้คนที่เคยประมูลหินในงานแสดงสินค้าเป็นล้านมันหายไปไหนแล้วล่ะ? ฮ่าฮ่า~! ฉันให้แสนหนึ่ง!”
“ห้าแสน!”จี้เฟิงพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นพนักงานขายก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ชักจะไปกันใหญ่เธอจึงรีบยกหูโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อโทรตามผู้จัดการร้านและอธิบายถึงสถานการณ์ในตอนนี้อย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปไม่นานผู้จัดการก็รีบวิ่งออกมาและรีบพูดว่า“ลูกค้าทุกท่าน! โปรดใจเย็นๆก่อน หากมีอะไรให้ผมช่วยเหลือโปรดบอกมาได้เลย”
“คุณเป็นผู้จัดการงั้นเหรอ”อู๋ฉางฉุนมองผู้จัดการพร้อมกับทำท่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจ“ฉันต้องการนาฬิกาคู่สองเรือนนี้ ฉันให้ราคา หกแสนหยวน เอามันไปห่อให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“หนึ่งล้าน!”จี้เฟิงกล่าวยิ้มๆ
อู๋ฉางฉุนหายใจไม่ออกทันทีการซื้อนาฬิการาคาหนึ่งล้านมันบ้าไปแล้ว แม้ว่าเงินหนึ่งล้านจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตเขา แต่มันก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก
“ทำไมเงียบไปล่ะเงินไม่พอเหรอครับ” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ฉันน่ะเหรอจะเงินไม่พอ”อู๋ฉางฉุนหน้าแดงด้วยความโกรธ “หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
ตอนนี้พนักงานคนอื่นๆรวมถึงลูกค้าที่อยู่โดยรอบเริ่มพูดคุยซุบซิบกันและบางคนก็ถึงกับมีความเยาะเย้ยอยู่บนใบหน้าพวกเขา จี้เฟิงที่เพิ่มเงินครั้งละสี่แสนโดยไม่ลังเล แต่อู๋ฉางฉุนกลับเพิ่มเพียงครั้งละหนึ่งแสน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอู๋ฉางฉุนนั้นขาดความมั่นใจ
“หนึ่งล้านห้าแสน!”จี้เฟิงพูดเบาๆ โดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “น่ะ..หนึ่งล้านเจ็ดแสน!”ตอนนี้ที่หน้าผากของอู๋ฉางฉุนเริ่มมีเหงื่อเย็นๆผุดออกมามากขึ้น
“สองล้าน!”จี้เฟิงตะคอกอย่างเย็นชา
แววตาของผู้คนข้างๆเริ่มมองจี้เฟิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและพวกเขาก็เริ่มพากันคาดเดาว่า จี้เฟิงต้องเป็นลูกชายของตระกูลที่ร่ำรวยมากแน่ๆ ถึงได้ยอมจ่ายเงินที่สูงมากขนาดนี้โดยไม่ลังเลเลย
“สองล้านสองแสน!”อู๋ฉางฉุนคำรามพร้อมกับปาดเหงื่อ
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“เฮ้อ~ คุณชนะแล้ว นาฬิกาคู่สองเรือนนี้เป็นของคุณ!”
“แก…!”อู๋ฉางฉุนตกตะลึงกับราคาสองล้านสองแสนทั้งๆที่นาฬิกาคู่นี้ราคาเพียงแค่สามหมื่นกว่าๆเท่านั้น เงินกว่าสองล้านต้องเสียเปล่า!
The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ – บทที่ 190 เสนอราคา
บทที่ 190 เสนอราคา
Posted by ? Views, Released on สิงหาคม 9, 2022
, The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
Status: Ongoing
Action ดราม่า ต่อสู้ นิยายจีน นิยายแปล ฝึกฝน พลัง ระบบ รักวัยเรียน อัจฉริยะ ฮาเร็ม เทคโนโลยี แฟนตาซี โรแมนซ์