และแล้วเวลาสามวันก็ผ่านไปในพริบตาในช่วงสามวันนี้ดูเหมือนจี้เฟิงจะลืมนัดกับคนแปลกหน้าคนนั้นไปแล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขามัววุ่นอยู่กับการจัดการพวกเฟอร์นิเจอร์ โดยเฟอร์นิเจอร์ชุดเก่าถูกกำจัดโดยการส่งไปที่ตลาดมือสองจากนั้นเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่ก็ถูกจัดจนเข้าที่เข้าทางเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นเขาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ในทุกๆเช้าเขาจะตื่นขึ้นเพื่อไปซื้ออาหารเช้าจากนั้นก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ช่วงบ่ายถ้าว่างก็จะมาดูทีวีกับเซียวหยูซวนและถงเล่ย ในตอนกลางคืนก็จะกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองและฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สองภายในจิตใต้สำนึกของตัวเอง
ชีวิตที่ปกติสุขเช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกเหมือนอยู่บ้านจริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จี้เฟิงซื้อเครื่องครัวและอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารใหม่ทั้งหมด ทุกๆเช้าเซียวหยูซวนและถงเล่ยจะลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าเพื่อที่จี้เฟิงจะได้ไม่ต้องรีบตื่นขึ้นมาซื้ออาหารเช้าจากข้างนอกทุกวัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่หญิงสาวทั้งสองเตรียมไว้อย่างดีจี้เฟิงก็ได้แต่นั่งยิ้มอย่างมีความสุข
เป็นเพราะชีวิตแบบนี้ช่างดีเหลือเกินความสัมพันธ์ระหว่างเซียวหยูซวนและถงเล่ยก็ดีมากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับพี่สาวและน้องสาว
เนื่องจากถงเล่ยปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้แล้วเซียวหยูซวนจึงแยกห้องออกไปดังนั้นตอนนี้ผู้หญิงทั้งสองคนต่างมีห้องส่วนตัวเป็นของตนเองซึ่งเป็นเหมือนครอบครัวสามคน
ในคืนวันที่สามหลังจากอาหารเย็นจี้เฟิงนั่งมองผู้หญิงสองคนยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดจานชาม จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากดูดบุหรี่สักมวน ชีวิตแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาก่อน
มีแฟนดีๆมีบ้านเป็นหลักเป็นแหล่งไม่ต้องคอยวิ่งวุ่นหาเช่าบ้านไปเรื่อย… แถมแฟนดีๆที่ว่านี่นอกจากจะสวยแล้วยังมีพร้อมกันถึงสองคนอีกด้วย
แน่นอนว่าความเสียใจที่ยังไม่ได้รับแก้ไขเพียงอย่างเดียวของจี้เฟิงก็คือเขายังไม่ได้บอกถงเล่ยให้รับรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซียวหยูซวนอย่างน้อยในความคิดของจี้เฟิงนั้นถงเล่ยก็น่าจะยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ส่วนถงเล่ยเองจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างจากการใช้ชีวิตประจำวันได้บ้างหรือไม่นั้นจี้เฟิงก็ไม่อาจรู้ได้
และดูเหมือนว่าในช่วงนี้ยังมีเรื่องอันตรายที่ยังไม่ได้รับการสะสางให้เสร็จเรียบร้อยดังนั้นจี้เฟิงเลยไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้ อย่างน้อยเอาไว้พูดหลังจากรอให้วิกฤตคลี่คลายลงก็คงจะไม่สายเกินไป
จี้เฟิงมองดูเวลาและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะที่มุมปาก วันนี้ตอนสี่ทุ่มมันคือเวลานัดกับคนแปลกหน้าคนนั้นสินะ
จะไปดีหรือเปล่า ถ้าตามคำพูดของอาสองเขาก็ไม่ควรไปแต่ความเป็นจริงจี้เฟิงก็พอจะมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจบ้างแล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาอาจจะยังไม่สามารถจัดการกับเฉียวหรงและคนอื่นๆได้ แต่นั่นไม่ใช่กับเฉียวเจียไคและจูหยงเต๋าเพราะพวกนั้นยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายข้อหาพยายามฆ่า!
และเพียงแค่เขานั่งรออย่างสบายๆอยู่กับบ้านเขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบจากเรื่องนี้อยู่แล้ว
ด้วยเหตุผลนี้บวกกับการพูดแนะนำของอาสองจี้เฟิงจึงล้มเลิกแผนการที่จะตามหาอีกฝ่ายในตลอดสามวันที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะสืบหาจนรู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่วันแรกแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเพราะความเลือดร้อนของเด็กหนุ่มวัยนี้หรืออาจจะเป็นเพราะคำดูถูกของอีกฝ่ายจี้เฟิงยังคงมีความต้องการที่อยากจะเอาชนะผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่เสมอ
จี้เฟิงที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอทีวีแต่ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่มันเลย
เขาสูบบุหรี่ช้าๆคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นั่งไตร่ตรองถึงข้อดีข้อเสียในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ พร้อมกันนั้นเขาก็คิดในมุมของเฉียวหรงว่าถ้าเป็นเธอ เธอจะใช้วิธีการแบบไหน
ตระกูลใหญ่ต่างก็มีกฎของตระกูลใหญ่ด้วยกันตราบใดที่ไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายทุกคนจะปฏิบัติตามกฎนี้ ยกตัวอย่างเช่น หากลูกของทั้งสองฝ่ายมีปัญหาขัดแย้งกัน แม้ว่าจะมีการแทรกแซงจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายแต่พวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับลูกของอีกฝ่ายได้โดยตรง แต่จะใช้วิธีเจรจากับพ่อแม่หรือผู้อาวุโสของอีกฝ่ายแทน
และไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกันอย่างไรหรือจะมีความขัดแย้งกันรุนแรงแค่ไหน โดยทั่วไปแล้วก็จะไม่มีใครฝ่าฝืนกฎนี้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สู้ก็อาจไปเข้าร่วมกับตระกูลอื่นเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หรืออาจจะคำนึงถึงข้อดีข้อเสียและเลือกที่จะอดทนยอมประนีประนอม
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งหมดแต่โดยทั่วไปแล้วจะมีคนจำนวนน้อยมากที่จะจัดการลูกของอีกฝ่ายโดยตรง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาไม่อยากจะให้เรื่องมันยืดเยื้ออีกต่อไป ถ้าปลาตายตาข่ายก็ต้องขาด (ประมาณว่า ถ้ากูจะตายกูก็ต้องเอามึงไปด้วย)
เห็นได้ชัดว่าเฉียวหรงไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ตาข่ายขาดไม่เช่นนั้นเธอคงใช้อำนาจของเธอในการพาเฉียวเจียไคออกจากโรงพยาบาลไปตั้งนานแล้ว เธอคงไม่รออยู่เงียบๆโดยไม่เปิดเผยตัวจนมาถึงตอนนี้
ดังนั้นจึงเหลือเพียงสองทางเท่านั้นทางแรกคือเลือกที่จะประนีประนอม และอีกทางคือการเผชิญหน้าหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์!
เห็นได้ชัดว่าทางเลือกที่เป็นการประนีประนอมนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะตามที่จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิงพูด แม้ว่าเฉียวหรงจะเป็นผู้หญิงที่บ้าเข้าขั้น แต่เธอก็ปกป้องลูกของเธอได้ดีกว่าใครๆ และเธอจะไม่มีวันยอมให้เฉียวเจียไคถูกตัดสินจำคุกหรือถูกลงโทษด้วยวิธีใดๆก็ตาม
ส่วนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจี้เฟิงและถ้าเฉียวหรงต้องการทางเลือกนี้จริงๆ เธอก็จะต้องไปเจรจากับอาสองหรือพ่อของจี้เฟิงโดยตรง
แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆทางเลือกนี้จึงแทบไม่มีทางเป็นไปได้
ที่เหลือก็คือการเผชิญหน้าโดยตรง
นี่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันตระกูลเฉียวและตระกูลจี้น่ะหรือที่จะเผชิญหน้ากันตรงๆ ใครๆต่างก็รู้ว่าการกระทำเช่นนี้มันก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย! แม้ว่าผู้หญิงอย่างเฉียวหรงจะบ้าแต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่ แล้วนับประสาอะไรกับการทำลายตัวเองที่แม้แต่คนโง่ก็ยังไม่ทำกัน
ช่างแม่ง…! จี้เฟิงส่ายหัวและดับบุหรี่
ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เขาคิดออกล้วนแต่มีเหตุผลขัดแย้งในตัวของมันเอง!
ดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างฉันกับคนพวกนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย! จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ คนที่เติบโตมาท่ามกลางสังคมที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายนั้นฉลาดกว่าคนทั่วไปอย่างแท้จริง พวกเขาเรียนรู้ที่จะอดทนเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ดีกับตัวเองที่สุด
หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจี้เฟิงก็ยังไม่ได้เบาะแสความคืบหน้าใดๆและในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่รอเหมือนเดิมเพื่อรอรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เวลานี้ยังไม่ควรที่จะบุ่มบ่ามไปแหวกหญ้าให้งูพิษอย่างเฉียวหรงตื่น Aileen-novel
แต่การไปสืบหาร่องรอยเอาไว้ก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร! จี้เฟิงพึมพำพร้อมกับดูนาฬิกา ยังมีเวลาเหลือมากกว่าชั่วโมง เขาตัดสินใจที่จะไปที่โรงงานร้างย่านชานเมืองทางฝั่งตะวันตกของเจียงโจวในวันนี้ อย่างน้อยก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายกำลังทำบ้าอะไรอยู่!
ต้องยอมรับว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อความคิดของผู้คนและจี้เฟิงก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ในมุมมองของเขาตัวเขาเองไม่ได้เป็นนักรบแต่เป็นสายลับมือสมัครเล่นและการฝึกในระบบฝึกอบรมสุดยอดสายลับเป็นเพียงการฝึกฝนตามมาตรฐานของสายลับในยุคของกาแล็กซีแกมมาแม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกฝนจนสำเร็จแต่ความสำเร็จที่แท้จริงคือการบรรลุเป้าหมายแรก
ดังนั้นในใจของเขาจึงไม่มีความคิดเหมือนพวกนักรบที่ต้องรวมใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำหรับเขาตราบใดที่บรรลุเป้าหมายได้ก็เพียงพอแล้ว
การได้รับการชื่นชมในฐานะยอดนักสู้แล้วยังไงความผูกพันของชายชาตรีระหว่างการต่อสู้คืออะไร? มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น! เขาไม่ใช่นักสู้ผู้ผดุงความยุติธรรม เขาจะต้องการเกียรติยศไปเพื่ออะไร? ยิ่งไปกว่านั้นมันมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องจับมือผูกมิตรรักษาสัญญากับศัตรูหลังการสู้รบเสร็จสิ้น?
เกรงว่าถ้าจี้เฟิงได้แสดงทักษะการต่อสู้ออกมาอย่างเต็มที่ทุกคนที่เห็นจะต้องพูดว่าเขาเป็นปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง แต่ตัวเขาเองไม่เคยคิดเช่นนั้น ตัวเขาเองก็ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าคนทั่วไปมากนัก มันก็เหมือนกับที่บางคนเก่งกาจด้านคอมพิวเตอร์หรือบางคนที่เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์
ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้ตั้งใจจะไปที่นัดหมายตามปกติแต่ที่เขาไปก็เพื่อมองหาวิธีการที่จะเกิดประโยชน์ต่อตนเองสูงสุด
เมื่อจี้เฟิงตัดสินใจได้แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที หยูซวน เล่ยเล่ย จู่ๆฉันก็เพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก ฉันจะไปบ้านอาสองซักหน่อย พวกเธอก็ควรเข้านอนได้แล้ว ไม่ต้องรอนะฉันอาจจะกลับมาช้า!
มีอะไรเร่งด่วนเดี๋ยวค่อยไปพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถาม การที่จี้เฟิงออกไปข้างนอกคนเดียวในตอนกลางคืนมันทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวล
ไม่ต้องเป็นห่วงระเบียบกฎหมายในเจียงโจวถือว่าไม่เลว ฉันจะรีบไปรีบกลับนะ! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกผิดเล็กๆอยู่ในใจเหมือนกัน การโกหกเป็นทักษะการปลอมตัวอย่างหนึ่งของสายลับและเขาก็ใช้ทักษะนี้เพื่อความสบายใจของหญิงสาวทั้งสอง
ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวดีๆอย่าขับรถเร็วเกินไปล่ะ! ถงเล่ยเตือนอย่างไม่ค่อยสบายใจ เพราะตั้งแต่เธอรู้ว่าฝีมือการขับรถของจี้เฟิงนั้นไม่ธรรมดาเธอก็กังวลว่าจี้เฟิงจะประมาทและขับรถเร็วเกินไป
ไม่ต้องห่วงฉันจะระวังตัว! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ก่อนที่เขาจะออกไปเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนและหยิบกล่องออกมาจากในห้อง
เล่ยเล่ยหยูซวนพวกเธอสามารถใช้เจ้านี่ได้ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉิน คืนนี้พวกเธอนอนด้วยกันไปก่อนนะ เก็บเจ้านี่ไว้ใกล้ตัวเอาไว้ป้องกันตัวเอง จี้เฟิงหยิบปืนพกออกมาจากกล่อง ถ้ามีใครแปลกหน้ามาในเวลากลางคืนพวกเธอก็สั่งสอนเขาไปเล็กๆน้อยๆแล้วกัน ไม่ต้องลังเล
นาย..นายมีสิ่งนี้ได้ยังไง! เซียวหยูซวนและถงเล่ยตกใจในเวลาเดียวกัน
พี่รองเป็นคนให้มาน่ะ จี้เฟิงรู้สึกอับอายเล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายอย่างตรงไปตรงมาได้ถูกผลักไปที่จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของเขา
พี่ชายคนที่สองของนายนี่ก็จริงๆเลยเอาของอันตรายแบบนี้มาให้นายได้ยังไง! ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง! ถงเล่ยบ่นเป็นครั้งแรก จี้เฟิงเพิ่งจะอายุเพียงเท่านี้ถ้าวันหนึ่งเขาไม่สามารถระงับความโกรธได้พร้อมกับมีปืนอยู่ที่มือ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?
เซียวหยูซวนมองไปที่จี้เฟิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอก็ดูลังเล
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกหน่าฮ่าฮ่า! จี้เฟิงหัวเราะเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เขาปลดล็อกเซฟตี้ของปืนพก บรรจุกระสุนและวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วฉันจะรีบกลับ!
เซียวหยูซวนยืนมองจี้เฟิงขับรถออกไปจากวิลล่าจากนั้นก็กดรีโมตคอนโทรลและประตูก็ถูกปิดลง แต่ในแววตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความกังวล
ถ้าเขาออกไปข้างนอกตามปกติจริงๆเขาจะเอาปืนพกมาฝากไว้กับพวกเราทำไม
………………
ตามภาพที่ปรากฏบนหน้าจอนำทางในรถจี้เฟิงเลือกที่จะใช้เส้นทางที่ไม่มีรถติดมากนักแม้ว่ามันจะเป็นเส้นที่ไกลกว่าแต่มันก็สามารถไปถึงได้เร็วกว่า
ตามคำแนะนำในเครื่องทำทางโรงงานเคมีทางชานเมืองทางฝั่งตะวันตกของเจียงโจวดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกทิ้งร้าง ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะจริงๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปโรงงานเคมีที่ถูกทิ้งร้างก็ปรากฏขึ้นในสายตาของจี้เฟิง เขาขับรถ BMWx6 เข้าไปใกล้ๆอย่างช้าๆโดยที่ไม่เปิดไฟ แต่มันทำให้การเดินทางช้าลงอย่างน่าอดสู
โชคดีที่เป็นรถBMWที่เขาเลือกขับมาที่นี่ จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆแต่อย่างน้อยมันก็แทบไม่ส่งเสียงใดๆออกมาเลย มันช่างเหมาะสำหรับการซุ่มเงียบและด้อมๆมองๆจริงๆ
เมื่อระยะห่างจากโรงงานเหลือประมาณสองถึงสามกิโลเมตรจี้เฟิงก็ขับรถเข้าไปในป่าข้างถนน เขาจอดรถไว้ตรงนั้นและเดินออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะสถานที่แถวนี้ถูกทิ้งร้างมานานเกินไปมีหญ้าขึ้นตามสองข้างทางเต็มไปหมดไปหมดแถมมันยังสูงจนแทบจะเสมอหัวของจี้เฟิงเลยทีเดียว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับการแฝงตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตเพื่อเป้าหมายในการสังเกตการณ์ของเขา กระแสไฟฟ้าชีวภาพถูกรวบรวมนำไปใช้กับดวงตาของเขาและความมืดมิดในเวลากลางคืนก็ค่อยๆสว่างขึ้นในมุมมองของจี้เฟิง เขาเดินเข้าไปในพงหญ้าที่ขึ้นรกสูงและมุ่งหน้าไปทางโรงงานเคมีอย่างรวดเร็ว
บทที่ 266 แฝงตัวในความมืด
ในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่ดาวสักดวงบนท้องฟ้าซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะท้องฟ้ามีเมฆมากหรือเป็นเพราะมลพิษทางอากาศที่มีมากจนเกินไป อย่างไรก็ตามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้เอื้อต่อการกระทำสำหรับใครบางคนในเวลานี้เป็นอย่างมาก
ที่กำแพงด้านนอกของโรงงานเคมีร้างมีเงาสีดำตะคุ่มๆเกาะอยู่ชิดติดกับกำแพงอย่างแนบเนียน ทุกครั้งที่เงานั้นก้าวเดินไปข้างหน้า เขาจะหยุดชะงักอย่างกะทันหัน จากนั้นเงาดังกล่าวก็ผสานเข้ากับความมืดอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงจนมองไม่เห็นถึงความแตกต่างไปจากเดิมเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างของการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วกับการนิ่งเงียบจนกลืนหายไปกับเงามืดได้ในทันทีมันเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการกระทำคนละขั้วแต่เงาดำนั้นกลับทำได้อย่างไม่มีที่ติเพียงเท่านี้ก็น่า