พนักงานต้อนรับรีบวิ่งไปยังห้องทำงานด้วยท่าทีลนลานและตื่นตระหนกจนเกือบจะชนเข้ากับเซียวฉางเหอและอีกสามคนที่เดินออกมาจากห้องทำงานพนักงานต้อนรับจึงรีบหยุดอย่างกะทันหันทำให้เซถลาไปสองสามก้าว หากไม่ได้เป็นเพราะจี้เฟิงคว้าแขนของเธอไว้ได้อย่างรวดเร็วเธอคงจะล้มไปแล้ว
เซียวฉางเหอกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ“ทำไมถึงได้มีท่าทีตื่นตระหนกแบบนี้ ไปเจอเสือ เจอหมาจิ้งจอกมาหรือไง แค่คนไม่กี่คนจะกลัวอะไรขนาดนั้น?”
แน่นอนว่าเซียวฉางเหอรู้ดีว่าทำไมพนักงานต้อนรับถึงได้มีท่าทีตื่นตระหนกเช่นนี้เมื่อกี้เสียงที่หยิ่งผยองของหวงฉีตงที่แผนกต้อนรับดังมาก เขาจึงได้ยินมันอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินออกมาแล้วมาเห็นท่าทีตื่นตระหนกของพนักงานต้อนรับมันยิ่งทำให้เซียวฉางเหอรู้สึกว่าทำไมวันนี้ปัญหาภายในบริษัทถึงได้ค่อยๆเปิดเผยออกมาทั้งหมดในวันนี้ ซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างอายต่อหน้าจี้เฟิง
“ขะขอโทษค่ะเจ้านาย” พนักงานต้อนรับพูดอย่างตะกุกตะกัก
เซียวฉางเหอโบกมืออย่างช่วยไม่ได้“ช่างมันเถอะ กลับไปทำงานซะ!”
เขาไม่ใช่เจ้านายที่หัวสูงเมื่อเห็นว่าพนักงานของเขาตกใจจนหน้าซีดเผือด เขาก็ไม่สามารถตำหนิต่อไปได้
ใครจะรู้พนักงานต้อนรับไม่กล้ากลับไปเธอได้แต่ก้มหน้าลงโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้องั้นก็ตามพวกเรามา!” เซียวฉางเหอก็จนปัญหา หญิงสาวส่วนมากมักคิดว่างานของแผนกต้อนรับเป็นอะไรที่ง่าย แต่ความจริงแล้วต้องมีความกล้าหาญพอตัว อันที่จริงไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความขัดแย้งและข้อพิพาทอยู่ตลอดเวลา แม้แต่คนที่ไม่ชอบมีเรื่องมีราวก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับที่เหมือนเป็นด้านหน้าของบริษัท อย่างน้อยเธอจะต้องมีความกล้าหาญที่มากกว่านี้ เซียวฉางเหอคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องเปลี่ยนพนักงานของแผนกต้อนรับ
แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยไล่พนักงานออกถ้ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เขาก็คงไม่สามารถเลี้ยงคนเกียจคร้านไว้ได้ การเปิดบริษัทมันคือการทำธุรกิจที่หวังผลกำไรไม่ใช่การกุศล
พนักงานต้อนรับก็รู้ตัวเองดีว่าเธอได้ทำผิดพลาดดังนั้นเธอจึงติดตามเซียวฉางเหอและจี้เฟิงไปอย่างซื่อสัตย์
เซียวหยูซวนเห็นพนักงานต้อนรับหวาดกลัวมากเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับพนักงานต้อนรับด้วยเสียงกระซิบ“เธอไม่ต้องไปกลัวคนพวกนั้นหรอก พวกนั้นคงไม่ถึงขั้นจะจับเธอกินหรอกมั้ง ถ้าคุณเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็คงไม่มีใครอยากรับเธอเข้าทำงานหรอกนะ!”
พนักงานต้อนรับสาวดูเหมือนจะหวาดกลัวมากร่างกายของเธอสั่นเทาเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอยิ่งดูน่าสงสาร “ฉัน.. ฉันกลัว…”
“เธอยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งยากที่จะทำงานอยู่แผนกต้อนรับ เพราะบางทีในอนาคตเธอก็อาจจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก แล้วถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาเธอจะทำยังไงล่ะ” เซียวหยูซวนยังคงพยายามแนะนำอย่างอดทน “ตราบใดที่เธอปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัทและมีสิ่งใดที่เธอไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เธอก็แค่มาแจ้งกับหัวหน้าหรือเจ้านายของเธอ จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นไม่ต้องกลัว!”
พนักงานต้อนรับสาวกระซิบกับเซียวหยูซวนเบาๆว่า“แต่.. นายน้อยหวงคนนั้น.. เขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก เมื่อก่อนเขาเคยมาชอบพี่สาวของฉันคนหนึ่ง แต่พอพี่สาวของฉันไม่เล่นด้วย เขาก็บังคับ…” ห๊ะ!
จี้เฟิงถึงกับชะงักทันทีเขาหันศีรษะกลับมาและถามด้วยเสียงต่ำ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
พนักงานต้อนรับตกใจในทันใดเธอก้มหน้าลงและไม่ยอมพูดอะไรอีก
จี้เฟิงอดใจรอไม่ไหวเขาขมวดคิ้วและพูดว่า “เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าคุณกลัวนายน้อยหวงอะไรนั่นไม่ใช่เหรอ ก็แค่บอกมาว่าเพราะอะไรคุณถึงได้กลัวเขาขนาดนั้น!”
“จี้เฟิงทำไมต้องตะคอกด้วย” เซียวหยูซวนถลึงตาใส่เขา “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวพอเคลียเรื่องทางนี้จบแล้ว ฉันจะสอบถามสาวน้อยคนนี้ตามลำพังเอง”
“เอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน!”อารมณ์ของจี้เฟิงแย่ลง จากคำพูดของพนักงานต้อนรับสาวเมื่อครู่นี้ เหมือนจะมีข้อมูลสำคัญอะไรบางอย่างหลุดออกมา ถ้าจี้เฟิงเดาไม่ผิด พี่สาวของพนักงานต้อนรับคนนี้น่าที่จะเคยคบหากับนายน้อยหวงอะไรนั่น สุดท้ายแล้วกลัวว่าจะเป็นตอนจบที่ไม่สวยนัก…
การเดาถึงผลลัพธ์ที่ไม่ดีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้จี้เฟิงตกอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี
ตอนนี้ฉันเป็นแค่นักศึกษามันใช่เรื่องที่ฉันจะต้องสนงั้นเหรอ
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของจี้เฟิงเขาจึงตัดสินใจลองถามกับตัวเองว่า ถ้าแม่ของเขาเจอเรื่องแบบนี้ แม่ของเขาจะปล่อยผ่านไปหรือเปล่า
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วแล้วทำไมเขาถึงจะไม่สนใจทำตามคำสอนของแม่ล่ะ
แต่ก่อนที่จะสนใจเรื่องนั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะต้องจัดการเสียก่อนนั่นคือแก้ไขปัญหาของบริษัทยาฉางเหอ เขาจะรีบไปหา ‘คนใหญ่คนโต’ เพื่อดูว่าจะต้องเป็นบุคคลที่ทรงพลังมากแค่ไหนถึงได้กล้าปิดโกดังคนอื่นตามใจชอบแบบนี้!
แน่นอนว่าเขายังต้องการพบกับนายน้อยหวงซึ่งน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอีกคนหนึ่งที่ทำให้เด็กสาวจากแผนกต้อนรับหวาดกลัวจนตัวสั่นเพียงแค่เจอหน้า
“ไหนล่ะเจ้านายของพวกแกทำไมถึงยังไม่มาอีก หรือว่าไม่ต้องการจะเปิดบริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว…” จี้เฟิงที่อยู่ห่างจากแผนกต้อนรับประมาณ 20 ก้าว ได้ยินเสียงตะโกนที่เย่อหยิ่งอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงที่เขาเคยได้ยินมาก่อนแล้ว มันเป็นเสียงของจางเก๋อหลานที่ยังติดหนี้พวกเขาอยู่สองล้านหยวน!
“จางเก๋อหลานคุณคิดที่จะชดใช้ค่าเสียหายจำนวนสองล้านหยวนให้พวกเราเมื่อไหร่” จี้เฟิงพูดขึ้นในขณะที่เดินเคียงมากับเซียวฉางเหอ “มายืนโวยวายอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่รู้หรือว่าการกระทำของคุณจะส่งผลเสียต่อบริษัทของเรา?”
“แก…”จางเก๋อหลานมองไปที่จี้เฟิง แต่ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นและไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้!
“คุณเป็นเจ้าของบริษัทงั้นหรือ”เมื่อเห็นว่าการมาถึงของจี้เฟิงทำให้น้องเขยขยะๆของเขาหวาดกลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ หวงฉีตงจึงถามขึ้นพร้อมกันจ้องหน้าจี้เฟิงหลังจากที่เหลือบมองไปยังน้องเขยของเขา
“แล้วคุณล่ะเป็นเจ้านายพวกเขาเหรอ”จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
หวงฉีตงโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อเขาถาม คนอื่นก็มีหน้าที่แค่ต้องตอบ ไม่เคยมีใครกล้าที่จะถามกลับมาแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า
“ฉันเป็นเจ้านายพวกเขาแล้วยังไง!”หวงฉีตงพูดอย่างไม่พอใจและเขาก็ชูสามนิ้วขึ้นมา “ฉันมีทางเลือกให้คุณสามทาง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบจี้เฟิงก็ขัดจังหวะด้วยการพูดขึ้นว่า “ในเมื่อคุณเป็นเจ้านายพวกเขา งั้นเรามาชำระบัญชีกัน” เสียงพูดเรียบๆของจี้เฟิงกลบเสียงของหวงฉีตงจนเขาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ จนเกือบจะสำลัก
“อย่างแรกเนื่องจากบริษัทของเราได้ถูกปิดผนึกคลังสินค้าโดยพลการและปราศจากเอกสารการอนุมัติใดๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อชื่อเสียงของบริษัทเรา ทั้งยังสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อจิตใจของพนักงานในบริษัท ทางเราจะมีจดหมายของทนายความหรือหมายศาลส่งไปยังหน่วยงานของคุณ!”
จี้เฟิงเพิกเฉยต่อใบหน้าที่แดงก่ำของหวงฉีตงและพูดต่อ“อย่างที่สอง จางเก๋อหลานผู้ซึ่งเป็นพนักงานในหน่วยงานของคุณทุบทำลายข้าวของของเราโดยเจตนา ซึ่งเป็นโต๊ะกลางตัวโปรดของประธานบริษัทและมีค่าต่อจิตวิญญาณและความรู้สึกของเขามาก นอกจากโต๊ะกลางแล้วยังมีชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบอย่างดี โดยค่าเสียหายทั้งหมดทางเราจะคิดเป็นจำนวนเงินสองล้านหยวน รายละเอียดอื่นๆจะถูกส่งไปทางจดหมายซึ่งออกโดยทนายความไปยังหน่วยงานของคุณ!”
เมื่อพูดจบจี้เฟิงก็ยิ้มเล็กน้อย ท่าทีของเขาสงบนิ่งมาก แม้จะมีสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนกลุ่มนั้นและพนักงานภายในบริษัททั้งหมดจับจ้องไปที่เขา ในขณะที่ทุกคนยังอยู่ในอาการตกตะลึงจี้เฟิงก็ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ฉันจะให้ทางเลือกแก่คุณสามทาง ทางแรก ถอดผนึกที่ผิดกฎหมายของคุณออกไปและขอโทษบริษัทของเราอย่างเปิดเผยรวมถึงชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดและเราจะไม่ดำเนินการทางกฎหมาย ทางที่สอง ทำในสิ่งที่พวกคุณต้องการต่อไป และแน่นอนว่าเราจะจัดการตามวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ได้ซึ่งความยุติธรรม และสาม.. ไสหัวออกไปจากที่นี่ทันทีและทำใจรอรับผลที่จะตามมาด้วยวิธีการจัดการของฉัน!”
“ไอ้สารเลวแกกำลังรนหาที่ตาย!” หวงฉีตงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่ของจี้เฟิงเขาคงจะพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฉีกทึ้งหน้าจี้เฟิงด้วยความโกรธไปแล้ว
เขาเพิ่งจะพูดว่ามี3 ทางให้เลือก แต่กลับถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะด้วยคำพูดที่เขาเพิ่งพูดไป การกระทำแบบนี้มันเหมือนกับการฉีกหน้ากันชัดๆ! “เจ้าหนูพูดแบบนี้เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆเอานะ!” จางเก๋อหลานตะโกนอยู่ข้างๆหวงฉีตง “แกรู้รึเปล่าว่าพวกเขาเป็นใคร”
“ไม่รู้สิ!แต่ก็ได้ยินมาผ่านๆนะว่ามีคนชื่อนายน้อยหวงอยู่ด้วย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนไหน” จี้เฟิงถามด้วยใบหน้าที่เมินเฉย
“ฮึ่ม!”
เมื่อเทียบกับสภาพที่น่าสังเวชก่อนหน้านี้แล้วจางเก๋อหลานในเวลานี้มีความมั่นใจสูงมาก เขามองไปที่หวงฉีตงและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าหนู ฟังให้ดีนี่คือพี่เขยของฉัน หวงฉีตงหรือนายน้อยหวงที่แกเพิ่งพูดถึง!”
“อ้อ!คุณนี่เองคือหวงฉีตง!” จี้เฟิงมองลึกลงไปในดวงตาของหวงฉีตง “ได้ยินมาว่านายน้อยหวงคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ”
“เจ้าหนูถ้ารู้แล้วก็รีบไสหัวไปซะ อย่ามาทำอวดดีที่นี่!” จางเก๋อหลานพูดด้วยความภาคภูมิใจ เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าในคำพูดของจี้เฟิงเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน จางเก๋อหลานไม่แม้แต่จะเห็นปฏิกิริยาของชิวเผิงเฟยที่เวลานี้มีใบหน้าที่ซีดเผือดมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มหน้าผาก และขาที่สั่นเทา เขามัวแต่ตะโกนอวดอ้างอำนาจของพี่เขยตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นจางเก๋อหลานแนะนำตัวเขาหวงฉีตงก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจและแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เหอะ! ไอ้หนู ฉันจะบอกอะไรให้นะ ที่จริงแล้วฉันสนใจบริษัทนี้มาก แต่เห็นว่านายเป็นคนใจแข็งหัวดื้อไม่เบา เอาเป็นว่าฉันจะให้ล้านนึงเพื่อเป็นการซื้อบริษัทนี้ก็แล้วกัน!”
“ถ้าจะพูดให้ถูก…คุณควรจะจ่ายสองล้าน แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน!” ใบหน้าของจี้เฟิงดำมืดขึ้นเล็กน้อย เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้พวกคุณกลับไปซะ แล้วอย่าลืมทำตามข้อเสนอที่ฉันเพิ่งบอกไป!”
“ไอ้หนูแกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร!” หวงฉีตงถามด้วยใบหน้าที่มืดมนเช่นกัน “พ่อของฉันเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยา ทันทีที่ฉันออกไปจากที่นี่บริษัทของแกจะถูกสอบสวนภายในวันพรุ่งนี้!”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระที่นี่จะเป็นลูกหลานของใครฉันไม่สน ไสหัวกลับไปซะ!” จี้เฟิงโบกมืออย่างหมดความอดทน “แล้วอย่าลืมเอาผนึกออกไปด้วย!”
หวงฉีตงได้แต่ยืนอึ้งเดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะตกใจถ้ารู้ตัวตนของเขา แต่อีกฝ่ายกลับไม่แยแสเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นใคร เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่
แม้หวงฉีตงจะตกตะลึงแต่จางเก๋อหลานไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขายังคงลอยหน้าลอยตาอย่างยิ่งผยองและพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าหนู ฉันล่ะเชื่อแกจริงๆ สงสัยไม่เคยเจอของจริง เลยยังกล้าอวดดีไม่กลัวความตาย! แกรู้มั้ยว่านี่คือใคร เขาคือคุณชายชิวลูกชายรองนายกเทศมนตรีเขตว่านเจียง ชิวเผิงเฟย…”
จางเก๋อหลานกำลังแนะนำตัวแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามขัดจังหวะ
“ไอ้โง่หุบปากซะ!” ชิวเผิงเฟยคำรามขึ้นทันใดโดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงคำรามที่เกิดจากความโกรธหรือความกลัว เขาหันกลับมา ตัวสั่นไปทั้งตัวและตบจางเก๋อหลานอย่างรุนแรงจนหน้าหัน “ฉันคือใครแล้วทำไม ใครบอกให้แกสะเออะแนะนำตัวให้ฉัน?!”
จางเก๋อหลานที่ถูกตบอย่างแรงหันกลับมาพร้อมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ“คุณชายชิว คุณเป็นอะไร.. ทำไม..”
ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของชิวเผิงเฟยอีกครั้ง“แม่งเอ๊ย! กูบอกให้หุบปากไง! ถ้ามึงกล้าพูดออกมาอีกแม้แต่ครึ่งคำกูจะตัดลิ้นมึงแล้วโยนให้หมากินซะ!”
ชิวเผิงเฟยตะโกนด่าอย่างโกรธเกรี้ยวแต่เมื่อหันหน้ากลับมาใบหน้าของเขาก็กลายเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความประจบสอพลอ เขาก้มหน้าและโค้งคำนับให้จี้เฟิง “จี้ นายน้อยจี้!”
ทันใดนั้นนอกจากเซียวฉางเหอและเซียวหยูซวนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง!
เซียวฉางเหอกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ“ทำไมถึงได้มีท่าทีตื่นตระหนกแบบนี้ ไปเจอเสือ เจอหมาจิ้งจอกมาหรือไง แค่คนไม่กี่คนจะกลัวอะไรขนาดนั้น?”
แน่นอนว่าเซียวฉางเหอรู้ดีว่าทำไมพนักงานต้อนรับถึงได้มีท่าทีตื่นตระหนกเช่นนี้เมื่อกี้เสียงที่หยิ่งผยองของหวงฉีตงที่แผนกต้อนรับดังมาก เขาจึงได้ยินมันอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินออกมาแล้วมาเห็นท่าทีตื่นตระหนกของพนักงานต้อนรับมันยิ่งทำให้เซียวฉางเหอรู้สึกว่าทำไมวันนี้ปัญหาภายในบริษัทถึงได้ค่อยๆเปิดเผยออกมาทั้งหมดในวันนี้ ซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างอายต่อหน้าจี้เฟิง
“ขะขอโทษค่ะเจ้านาย” พนักงานต้อนรับพูดอย่างตะกุกตะกัก
เซียวฉางเหอโบกมืออย่างช่วยไม่ได้“ช่างมันเถอะ กลับไปทำงานซะ!”
เขาไม่ใช่เจ้านายที่หัวสูงเมื่อเห็นว่าพนักงานของเขาตกใจจนหน้าซีดเผือด เขาก็ไม่สามารถตำหนิต่อไปได้
ใครจะรู้พนักงานต้อนรับไม่กล้ากลับไปเธอได้แต่ก้มหน้าลงโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้องั้นก็ตามพวกเรามา!” เซียวฉางเหอก็จนปัญหา หญิงสาวส่วนมากมักคิดว่างานของแผนกต้อนรับเป็นอะไรที่ง่าย แต่ความจริงแล้วต้องมีความกล้าหาญพอตัว อันที่จริงไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความขัดแย้งและข้อพิพาทอยู่ตลอดเวลา แม้แต่คนที่ไม่ชอบมีเรื่องมีราวก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับที่เหมือนเป็นด้านหน้าของบริษัท อย่างน้อยเธอจะต้องมีความกล้าหาญที่มากกว่านี้ เซียวฉางเหอคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องเปลี่ยนพนักงานของแผนกต้อนรับ
แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยไล่พนักงานออกถ้ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เขาก็คงไม่สามารถเลี้ยงคนเกียจคร้านไว้ได้ การเปิดบริษัทมันคือการทำธุรกิจที่หวังผลกำไรไม่ใช่การกุศล
พนักงานต้อนรับก็รู้ตัวเองดีว่าเธอได้ทำผิดพลาดดังนั้นเธอจึงติดตามเซียวฉางเหอและจี้เฟิงไปอย่างซื่อสัตย์
เซียวหยูซวนเห็นพนักงานต้อนรับหวาดกลัวมากเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับพนักงานต้อนรับด้วยเสียงกระซิบ“เธอไม่ต้องไปกลัวคนพวกนั้นหรอก พวกนั้นคงไม่ถึงขั้นจะจับเธอกินหรอกมั้ง ถ้าคุณเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็คงไม่มีใครอยากรับเธอเข้าทำงานหรอกนะ!”
พนักงานต้อนรับสาวดูเหมือนจะหวาดกลัวมากร่างกายของเธอสั่นเทาเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอยิ่งดูน่าสงสาร “ฉัน.. ฉันกลัว…”
“เธอยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งยากที่จะทำงานอยู่แผนกต้อนรับ เพราะบางทีในอนาคตเธอก็อาจจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก แล้วถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาเธอจะทำยังไงล่ะ” เซียวหยูซวนยังคงพยายามแนะนำอย่างอดทน “ตราบใดที่เธอปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัทและมีสิ่งใดที่เธอไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เธอก็แค่มาแจ้งกับหัวหน้าหรือเจ้านายของเธอ จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้นไม่ต้องกลัว!”
พนักงานต้อนรับสาวกระซิบกับเซียวหยูซวนเบาๆว่า“แต่.. นายน้อยหวงคนนั้น.. เขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก เมื่อก่อนเขาเคยมาชอบพี่สาวของฉันคนหนึ่ง แต่พอพี่สาวของฉันไม่เล่นด้วย เขาก็บังคับ…” ห๊ะ!
จี้เฟิงถึงกับชะงักทันทีเขาหันศีรษะกลับมาและถามด้วยเสียงต่ำ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”
พนักงานต้อนรับตกใจในทันใดเธอก้มหน้าลงและไม่ยอมพูดอะไรอีก
จี้เฟิงอดใจรอไม่ไหวเขาขมวดคิ้วและพูดว่า “เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าคุณกลัวนายน้อยหวงอะไรนั่นไม่ใช่เหรอ ก็แค่บอกมาว่าเพราะอะไรคุณถึงได้กลัวเขาขนาดนั้น!”
“จี้เฟิงทำไมต้องตะคอกด้วย” เซียวหยูซวนถลึงตาใส่เขา “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวพอเคลียเรื่องทางนี้จบแล้ว ฉันจะสอบถามสาวน้อยคนนี้ตามลำพังเอง”
“เอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน!”อารมณ์ของจี้เฟิงแย่ลง จากคำพูดของพนักงานต้อนรับสาวเมื่อครู่นี้ เหมือนจะมีข้อมูลสำคัญอะไรบางอย่างหลุดออกมา ถ้าจี้เฟิงเดาไม่ผิด พี่สาวของพนักงานต้อนรับคนนี้น่าที่จะเคยคบหากับนายน้อยหวงอะไรนั่น สุดท้ายแล้วกลัวว่าจะเป็นตอนจบที่ไม่สวยนัก…
การเดาถึงผลลัพธ์ที่ไม่ดีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้จี้เฟิงตกอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี
ตอนนี้ฉันเป็นแค่นักศึกษามันใช่เรื่องที่ฉันจะต้องสนงั้นเหรอ
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของจี้เฟิงเขาจึงตัดสินใจลองถามกับตัวเองว่า ถ้าแม่ของเขาเจอเรื่องแบบนี้ แม่ของเขาจะปล่อยผ่านไปหรือเปล่า
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วแล้วทำไมเขาถึงจะไม่สนใจทำตามคำสอนของแม่ล่ะ
แต่ก่อนที่จะสนใจเรื่องนั้นยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะต้องจัดการเสียก่อนนั่นคือแก้ไขปัญหาของบริษัทยาฉางเหอ เขาจะรีบไปหา ‘คนใหญ่คนโต’ เพื่อดูว่าจะต้องเป็นบุคคลที่ทรงพลังมากแค่ไหนถึงได้กล้าปิดโกดังคนอื่นตามใจชอบแบบนี้!
แน่นอนว่าเขายังต้องการพบกับนายน้อยหวงซึ่งน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอีกคนหนึ่งที่ทำให้เด็กสาวจากแผนกต้อนรับหวาดกลัวจนตัวสั่นเพียงแค่เจอหน้า
“ไหนล่ะเจ้านายของพวกแกทำไมถึงยังไม่มาอีก หรือว่าไม่ต้องการจะเปิดบริษัทนี้อีกต่อไปแล้ว…” จี้เฟิงที่อยู่ห่างจากแผนกต้อนรับประมาณ 20 ก้าว ได้ยินเสียงตะโกนที่เย่อหยิ่งอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงที่เขาเคยได้ยินมาก่อนแล้ว มันเป็นเสียงของจางเก๋อหลานที่ยังติดหนี้พวกเขาอยู่สองล้านหยวน!
“จางเก๋อหลานคุณคิดที่จะชดใช้ค่าเสียหายจำนวนสองล้านหยวนให้พวกเราเมื่อไหร่” จี้เฟิงพูดขึ้นในขณะที่เดินเคียงมากับเซียวฉางเหอ “มายืนโวยวายอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่รู้หรือว่าการกระทำของคุณจะส่งผลเสียต่อบริษัทของเรา?”
“แก…”จางเก๋อหลานมองไปที่จี้เฟิง แต่ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นและไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้!
“คุณเป็นเจ้าของบริษัทงั้นหรือ”เมื่อเห็นว่าการมาถึงของจี้เฟิงทำให้น้องเขยขยะๆของเขาหวาดกลัวจนตัวสั่นขนาดนี้ หวงฉีตงจึงถามขึ้นพร้อมกันจ้องหน้าจี้เฟิงหลังจากที่เหลือบมองไปยังน้องเขยของเขา
“แล้วคุณล่ะเป็นเจ้านายพวกเขาเหรอ”จี้เฟิงถามเสียงเรียบ
หวงฉีตงโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อเขาถาม คนอื่นก็มีหน้าที่แค่ต้องตอบ ไม่เคยมีใครกล้าที่จะถามกลับมาแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้า
“ฉันเป็นเจ้านายพวกเขาแล้วยังไง!”หวงฉีตงพูดอย่างไม่พอใจและเขาก็ชูสามนิ้วขึ้นมา “ฉันมีทางเลือกให้คุณสามทาง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบจี้เฟิงก็ขัดจังหวะด้วยการพูดขึ้นว่า “ในเมื่อคุณเป็นเจ้านายพวกเขา งั้นเรามาชำระบัญชีกัน” เสียงพูดเรียบๆของจี้เฟิงกลบเสียงของหวงฉีตงจนเขาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ จนเกือบจะสำลัก
“อย่างแรกเนื่องจากบริษัทของเราได้ถูกปิดผนึกคลังสินค้าโดยพลการและปราศจากเอกสารการอนุมัติใดๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อชื่อเสียงของบริษัทเรา ทั้งยังสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อจิตใจของพนักงานในบริษัท ทางเราจะมีจดหมายของทนายความหรือหมายศาลส่งไปยังหน่วยงานของคุณ!”
จี้เฟิงเพิกเฉยต่อใบหน้าที่แดงก่ำของหวงฉีตงและพูดต่อ“อย่างที่สอง จางเก๋อหลานผู้ซึ่งเป็นพนักงานในหน่วยงานของคุณทุบทำลายข้าวของของเราโดยเจตนา ซึ่งเป็นโต๊ะกลางตัวโปรดของประธานบริษัทและมีค่าต่อจิตวิญญาณและความรู้สึกของเขามาก นอกจากโต๊ะกลางแล้วยังมีชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบอย่างดี โดยค่าเสียหายทั้งหมดทางเราจะคิดเป็นจำนวนเงินสองล้านหยวน รายละเอียดอื่นๆจะถูกส่งไปทางจดหมายซึ่งออกโดยทนายความไปยังหน่วยงานของคุณ!”
เมื่อพูดจบจี้เฟิงก็ยิ้มเล็กน้อย ท่าทีของเขาสงบนิ่งมาก แม้จะมีสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนกลุ่มนั้นและพนักงานภายในบริษัททั้งหมดจับจ้องไปที่เขา ในขณะที่ทุกคนยังอยู่ในอาการตกตะลึงจี้เฟิงก็ชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ฉันจะให้ทางเลือกแก่คุณสามทาง ทางแรก ถอดผนึกที่ผิดกฎหมายของคุณออกไปและขอโทษบริษัทของเราอย่างเปิดเผยรวมถึงชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดและเราจะไม่ดำเนินการทางกฎหมาย ทางที่สอง ทำในสิ่งที่พวกคุณต้องการต่อไป และแน่นอนว่าเราจะจัดการตามวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ได้ซึ่งความยุติธรรม และสาม.. ไสหัวออกไปจากที่นี่ทันทีและทำใจรอรับผลที่จะตามมาด้วยวิธีการจัดการของฉัน!”
“ไอ้สารเลวแกกำลังรนหาที่ตาย!” หวงฉีตงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่ของจี้เฟิงเขาคงจะพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับฉีกทึ้งหน้าจี้เฟิงด้วยความโกรธไปแล้ว
เขาเพิ่งจะพูดว่ามี3 ทางให้เลือก แต่กลับถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะด้วยคำพูดที่เขาเพิ่งพูดไป การกระทำแบบนี้มันเหมือนกับการฉีกหน้ากันชัดๆ! “เจ้าหนูพูดแบบนี้เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆเอานะ!” จางเก๋อหลานตะโกนอยู่ข้างๆหวงฉีตง “แกรู้รึเปล่าว่าพวกเขาเป็นใคร”
“ไม่รู้สิ!แต่ก็ได้ยินมาผ่านๆนะว่ามีคนชื่อนายน้อยหวงอยู่ด้วย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนไหน” จี้เฟิงถามด้วยใบหน้าที่เมินเฉย
“ฮึ่ม!”
เมื่อเทียบกับสภาพที่น่าสังเวชก่อนหน้านี้แล้วจางเก๋อหลานในเวลานี้มีความมั่นใจสูงมาก เขามองไปที่หวงฉีตงและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าหนู ฟังให้ดีนี่คือพี่เขยของฉัน หวงฉีตงหรือนายน้อยหวงที่แกเพิ่งพูดถึง!”
“อ้อ!คุณนี่เองคือหวงฉีตง!” จี้เฟิงมองลึกลงไปในดวงตาของหวงฉีตง “ได้ยินมาว่านายน้อยหวงคนนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ”
“เจ้าหนูถ้ารู้แล้วก็รีบไสหัวไปซะ อย่ามาทำอวดดีที่นี่!” จางเก๋อหลานพูดด้วยความภาคภูมิใจ เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าในคำพูดของจี้เฟิงเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน จางเก๋อหลานไม่แม้แต่จะเห็นปฏิกิริยาของชิวเผิงเฟยที่เวลานี้มีใบหน้าที่ซีดเผือดมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มหน้าผาก และขาที่สั่นเทา เขามัวแต่ตะโกนอวดอ้างอำนาจของพี่เขยตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นจางเก๋อหลานแนะนำตัวเขาหวงฉีตงก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจและแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เหอะ! ไอ้หนู ฉันจะบอกอะไรให้นะ ที่จริงแล้วฉันสนใจบริษัทนี้มาก แต่เห็นว่านายเป็นคนใจแข็งหัวดื้อไม่เบา เอาเป็นว่าฉันจะให้ล้านนึงเพื่อเป็นการซื้อบริษัทนี้ก็แล้วกัน!”
“ถ้าจะพูดให้ถูก…คุณควรจะจ่ายสองล้าน แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน!” ใบหน้าของจี้เฟิงดำมืดขึ้นเล็กน้อย เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “เอาเป็นว่าตอนนี้พวกคุณกลับไปซะ แล้วอย่าลืมทำตามข้อเสนอที่ฉันเพิ่งบอกไป!”
“ไอ้หนูแกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใคร!” หวงฉีตงถามด้วยใบหน้าที่มืดมนเช่นกัน “พ่อของฉันเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยา ทันทีที่ฉันออกไปจากที่นี่บริษัทของแกจะถูกสอบสวนภายในวันพรุ่งนี้!”
“อย่ามาพูดจาไร้สาระที่นี่จะเป็นลูกหลานของใครฉันไม่สน ไสหัวกลับไปซะ!” จี้เฟิงโบกมืออย่างหมดความอดทน “แล้วอย่าลืมเอาผนึกออกไปด้วย!”
หวงฉีตงได้แต่ยืนอึ้งเดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะตกใจถ้ารู้ตัวตนของเขา แต่อีกฝ่ายกลับไม่แยแสเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นใคร เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่
แม้หวงฉีตงจะตกตะลึงแต่จางเก๋อหลานไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขายังคงลอยหน้าลอยตาอย่างยิ่งผยองและพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าหนู ฉันล่ะเชื่อแกจริงๆ สงสัยไม่เคยเจอของจริง เลยยังกล้าอวดดีไม่กลัวความตาย! แกรู้มั้ยว่านี่คือใคร เขาคือคุณชายชิวลูกชายรองนายกเทศมนตรีเขตว่านเจียง ชิวเผิงเฟย…”
จางเก๋อหลานกำลังแนะนำตัวแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามขัดจังหวะ
“ไอ้โง่หุบปากซะ!” ชิวเผิงเฟยคำรามขึ้นทันใดโดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงคำรามที่เกิดจากความโกรธหรือความกลัว เขาหันกลับมา ตัวสั่นไปทั้งตัวและตบจางเก๋อหลานอย่างรุนแรงจนหน้าหัน “ฉันคือใครแล้วทำไม ใครบอกให้แกสะเออะแนะนำตัวให้ฉัน?!”
จางเก๋อหลานที่ถูกตบอย่างแรงหันกลับมาพร้อมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ“คุณชายชิว คุณเป็นอะไร.. ทำไม..”
ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามของชิวเผิงเฟยอีกครั้ง“แม่งเอ๊ย! กูบอกให้หุบปากไง! ถ้ามึงกล้าพูดออกมาอีกแม้แต่ครึ่งคำกูจะตัดลิ้นมึงแล้วโยนให้หมากินซะ!”
ชิวเผิงเฟยตะโกนด่าอย่างโกรธเกรี้ยวแต่เมื่อหันหน้ากลับมาใบหน้าของเขาก็กลายเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความประจบสอพลอ เขาก้มหน้าและโค้งคำนับให้จี้เฟิง “จี้ นายน้อยจี้!”
ทันใดนั้นนอกจากเซียวฉางเหอและเซียวหยูซวนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง!