ชิวเผิงเฟยพูดอย่างคลุมเครือและหัวเราะกลบเกลื่อนเพียงเพื่อให้มันผ่านไป
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เขาเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ลำบากคุณแล้ววันนี้ที่ต้องทำให้หวงฉีตงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด!”
“คุณชายจี้โปรดมั่นใจผมจะส่งต่อคำพูดของคุณให้พ่อของผมได้รับทราบ” ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที
จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ผู้ชายคนนี้ *ตีงูด้วยไม้เรียวสินะ เขาบอกกับชิวเผิงเฟยเท่านั้น แต่ชิวเผิงเฟยกับทำให้เรื่องมาพัวพันกับเขามากขึ้น มันกลายเป็นบทสนทนาทางอ้อมระหว่างจี้เฟิงและพ่อของชิวเผิงเฟย ความซับซ้อนในเรื่องนี้แม้จี้เฟิงจะเข้าใจแต่ก็ยากที่จะอธิบาย
“ตกลงแต่ฉันมีบางอย่างจะต้องไปทำเกี่ยวกับหวงฉีตง คุณรอฉันอยู่ที่นี่สักครู่ก่อนได้หรือเปล่า”
ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที“ตามสบายเลยครับคุณชายจี้ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว รอได้สบายมากไม่มีปัญหา”
พูดเป็นเล่นคนทั่วไปเฝ้ารอโอกาสเช่นนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรการที่สามารถทำสิ่งหนึ่งเพื่อจี้เฟิงจะทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น เขาไม่ได้โง่เขลาและแน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
จี้เฟิงมองไปรอบๆและหลินเซิงผิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาทันทีว่า“กรุณาไปที่ห้องรับแขกและไปรออยู่ที่นั่นสักครู่แล้วกันนะครับ”
ชิวเผิงเฟยและคนอื่นๆเดินไปที่ห้องรับแขกด้วยความยินดีและอดไม่ได้ที่จะทำตัวสุภาพ
เมื่อถึงจุดนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปแน่นอนว่าพนักงานที่ถูกไล่ออกก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านโวยวายหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาคิดผิดและในทางกลับกัน… ทุกคนต่างเหลือบมองไปที่จี้เฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตู ใครจะกล้าโวยวายต่อหน้าเขากันล่ะ
ในช่วงเวลาหนึ่งจี้เฟิงและผู้จัดการหลินเซิงผิงซึ่งไม่มีอะไรทำถูกทิ้งไว้ที่ประตู
“คุณชายจี้ใช่ไหมครับพวกเราไปนั่งรอในห้องรับแขกกันดีกว่า ยืนรอตรงนี้เกรงว่าจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หลินเซิงผิงเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นมาก่อน
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“ผมกำลังจะพูดแบบนั้นอยู่พอดี”
“ฮ่าฮ่า!งั้นคุณชายจี้ได้โปรดตามผมมา” หลินเซิงผิงหัวเราะเล็กน้อยและทำท่าทางเป็นสัญญาณบอกให้จี้เฟิงตามเขามา
“ผู้จัดการหลินอย่าเรียกผมว่าคุณชายจี้เลยแค่เรียกจี้เฟิงก็พอ!” จี้เฟิงกล่าวอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “จะให้ผมเรียกคุณว่าจี้เฟิงเฉยๆจริงๆเหรอ”หลินเซิงผิงยิ้มเล็กน้อยและเดินช้าลง เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดแบบนั้นเขาจึงพิจารณาสิ่งที่จี้เฟิงพูด
จี้เฟิงไม่ได้รีบร้อนเขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าและส่งให้หลินเซิงผิง
“ฮ่าๆไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ผมจุดเอง!” เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงกำลังจะจุดบุหรี่ให้ หลินเซิงผิงก็ก้าวถอยหลังทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่สุภาพ จากนั้นก็หยิบไฟแช็กออกมาจุดบุหรี่และสูบมันด้วยท่าทีสบายๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้นจี้เฟิงก็ยิ้มเล็กน้อยและจุดบุหรี่ให้ตัวเองเช่นกันเขายืนสูบบุหรี่กับหลินเซิงผิง
จี้เฟิงเชื่อว่าหลินเซิงผิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาและเขาก็พอจะเดาได้ว่าใครที่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่จี้เฟิงยังไม่แน่ใจคือเขาไม่รู้ว่าหลินเซิงผิงจะพูดเรื่องนี้ด้วยทัศนคติแบบไหน
แต่ณ ปัจจุบันดูเหมือนว่าอย่างน้อยทัศนคติของหลินเซิงผิงที่มีต่อเขาจะเป็นไปในทางที่ดี!
“ฉันเคยทำงานกับบริษัทข้ามชาติและรัฐวิสาหกิจมาเป็นเวลาหลายปีพูดง่ายๆว่าตั้งแต่เรียนจบฉันก็วนเวียนอยู่ในวงการนี้” ตอนนี้หลินเซิงผิงดูไม่มีภาพลักษณ์ของผู้จัดการทั่วไป เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเอนตัวพิงกำแพง และพูดกับจี้เฟิงอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
จี้เฟิงสูบบุหรี่อย่างสบายๆแต่ยังไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่รอฟังอย่างเงียบๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่หลินเซิงผิงอยากจะพูดแค่เรื่องชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของเขาเท่านั้น
“จี้เฟิงคุณคงยังไม่รู้ว่าฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหนใช่มั้ย”จู่ๆหลินเซิงผิงก็ถามขึ้น
“ฉันไม่รู้”จี้เฟิงหัวเราะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาอยู่ในใจ
“ฉันกับหยูซวนเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกัน”หลินเซิงผิงยิ้ม “แต่ฉันเป็นรุ่นพี่ของเธอ มีครั้งหนึ่งฉันกลับไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมสมาคมศิษย์เก่า และตอนนั้นเองฉันก็ได้พบกับหยูซวน”
เป็นอย่างที่คิด!
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คุณอย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดนะที่วันนี้ฉันพูดเรื่องนี้ออกมาไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน” หลินเซิงผิงรีบอธิบาย “ในตอนนั้นที่ฉันได้พบกับหยูซวน เธอก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก และที่สำคัญเธอก็มีแฟนแล้ว ฉันเลย… ฮ่าฮ่า!”
“งั้น..ที่คุณมาทำงานที่บริษัทยาฉางเหอก็เพราะหยูซวนงั้นเหรอ” จี้เฟิงถาม
“ก็ไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยที่นี่บอสก็ปฏิบัติกับฉันดีมากๆ เปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงความสามารถจนทำให้ฉันพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่!” หลินเซิงผิงยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อย “แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ตัวฉันและบริษัทจะพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน แต่มันก็ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆในวงการนี้”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดเขาเพียงฟังอย่างเงียบๆ
“ก็นะมันเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ว่าสิ่งที่ฉันพูดนั้นถูกต้อง!” หลินเซิงผิงดูเศร้าใจเล็กน้อย “ต่อให้มีความสามารถมากแค่ไหน แต่มันกลับไม่มีผลอะไรเลยเมื่อเทียบกับผนึกใบเดียวที่อยู่ในมือของผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า…”
“มันกลายเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ไปแล้ว!”จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าฉันหรือคุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ก็เพราะรู้แบบนั้นฉันจึงไม่เคยพูดสิ่งที่คิดออกไป ถ้าจะพูดให้ถูกฉันแทบไม่เคยพูดคุยติดต่อกับหยูซวนเลยด้วยซ้ำ!” หลินเซิงผิงหัวเราะเบาๆ “แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ฉันเห็นหยูซวนอยู่กับคุณแล้วเธอดูมีความสุขมาก และคุณก็สามารถปกป้องเธอได้อย่างไม่มีที่ติ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงสิ่งที่เขาจะพูดในตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก
“ถ้าหยูซวนสวยน้อยกว่านี้หน่อยก็คงดีฉันคงจะกล้าตามจีบเธอไปแล้ว แต่เธอสวยมาก สวยเกินไป ด้วยความสามารถของฉัน แม้ว่าเธอจะยินดีที่จะสู้ชีวิตไปด้วยกัน แต่ฉันก็กลัวว่าฉันจะไม่สามารถปกป้องเธอได้ หากเป็นเช่นนั้น ฉันยอมตัดใจที่จะปล่อยเธอไป ให้เธอได้มีโอกาสที่ดีมีชีวิตที่ดีจะดีกว่า!” หลินเซิงผิงยืนตรงและดับบุหรี่ที่ถังขยะ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาจี้เฟิง “ฉันหวังว่าคุณจะดูแลหยูซวนเป็นอย่างดีและฉันจะคอยสวดภาวนาให้พวกคุณ!”
จี้เฟิงรู้สึกชื่นชมผู้จัดการหลินเซิงผิงอยู่ในใจเขายื่นมือออกไปและจับมือกับหลินเซิงผิง “ขอบคุณ!”
“แล้วหลังจากนี้คุณวางแผนที่จะทำอะไรต่อไปคุณคงจะไม่ออกจากบริษัทยาฉางเหอใช่มั้ย” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม จากที่ฟังคำพูดของหลินเซิงผิง จี้เฟิงรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะหดหู่ไปสักหน่อย เหมือนกับคนที่พูดสั่งลาก่อนที่จะจากไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้ด้วยอายุของเซียวฉางเหอที่แก่ชราลงทุกวันแน่นอนว่าเซียวฉางเหอยังต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยดูแลบริษัท แล้วถ้าหากหลินเซิงผิงลาออกไปเพราะเรื่องของเขากับเซียวหยูซวน จี้เฟิงคงจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะลาออกล่ะ”หลินเซิงผิงยิ้ม “บริษัทยาฉางเหอเป็นบริษัทที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ฉันกับบอสพวกเราสองคนทำงานกันอย่างหนัก กว่ามันจะเป็นอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วในเมื่อตอนนี้บริษัทกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แล้วทำไมฉันจะต้องออกไปด้วย? แบบนั้นไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ออกจะโง่ไปหน่อยเหรอ?”
หลังจากพูดจบหลินเซิงผิงก็หัวเราะ
จี้เฟิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโง่งมผู้จัดการหลินเซิงผิงคนนี้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ “ต่อจากนี้พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ!”จี้เฟิงยิ้มน้อยๆและยื่นมือออกไป
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”หลินเซิงผิงยิ้มและเอื้อมมือไปจับมือกับจี้เฟิง “จี้เฟิง.. นายไม่จำเป็นต้องให้หยูซวนรู้ว่าฉันพูดอะไรออกไปบ้างเมื่อกี้นี้ นายพอจะเข้าใจใช่มั้ย..”
“อืม..ขอคิดดูก่อนนะ!” จี้เฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์
หลินเซิงผิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที“จะคิดอะไรอีก จี้เฟิง! ถ้าหยูซวนรู้เข้า ฉันคงไม่มีหน้าอยู่ที่บริษัทต่อไปจริงๆ…”
จี้เฟิงหัวเราะและกล่าวว่า“วางใจเถอะ ฉันเคารพความคิดเห็นของนายอยู่แล้ว!”
หลินเซิงผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพยักหน้าเล็กน้อย
จี้เฟิงยื่นบุหรี่ให้เขาอีกครั้งทั้งสองคนจุดบุหรี่และยืนสูบพร้อมกับพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักหนึ่ง แต่ภายในใจจี้เฟิงนั้นรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเซิงผิงจะลืมหยูซวนได้อย่างสมบูรณ์100% ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากได้รักใครไปสักคนหนึ่งแล้วก็ยากที่จะลืม
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเซิงผิงจะกลัวว่าเซียวหยูซวนจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอแต่จี้เฟิงไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าหลินเซิงผิงได้ตัดสินใจที่จะปล่อยวางเรื่องนี้แล้วจริงๆ และเขาก็คงเรียนรู้ที่จะค่อยๆลืมมัน
แล้วมีเหตุผลอะไรที่จี้เฟิงถึงจะไม่สามารถอดทนรอได้
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเซิงผิงดูเป็นคนที่ไม่เลวเลยมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเป็นกังวล คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรัก และไม่มีใครสามารถห้ามความรู้สึกของคนอื่นได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลินเซิงผิงตระหนักรู้ในจุดที่ตัวเองควรอยู่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสามัญสำนึกที่ดี และคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยถ้าได้มีเพื่อนแบบนี้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเซียวหยูซวนก็เดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับพนักงานต้อนรับสาวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เมื่อเห็นผู้จัดการหลินและจี้เฟิงกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขสีหน้าของเซียวหยูซวนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเดินเข้าไปกระซิบกับจี้เฟิงว่า “จี้เฟิง ฉันคงต้องให้นายช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย!”
จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงความจริงจังในเรื่องนี้ทันทีเขาเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “มันร้ายแรงมากเลยเหรอ”
“สัตว์เดรัจฉานยังสู้ไม่ได้!”เซียวหยูซวนตอบด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดเบาๆกับพนักงานต้อนรับที่ดวงตาแดงก่ำ“สาวน้อย รบกวนคุณไปที่ห้องรับแขกแล้วเรียกชิวเผิงเฟยกับคนอื่นๆมาให้หน่อยได้มั้ย”
พนักงานต้อนรับพยักหน้าทันทีและรีบหันหลังกลับและตรงไปที่ห้องรับแขก
“เกิดอะไรขึ้น!”สีหน้าของจี้เฟิงในเวลานี้มืดครึ้มลงทันที
เซียวหยูซวนพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธ“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ก็เมื่อก่อนสาวน้อยคนนี้เคยทำงานอยู่ที่แผนกต้อนรับกับพี่สาวของเธอที่บริษัทเดียวกัน และหวงฉีตงก็ได้มาเจอกับพวกเธอโดยบังเอิญและเกิดความสนใจ แต่หญิงสาวสองคนมาจากชนบทเธอเลยไม่ยอมตกลงคบหากับหวงฉีตงง่ายๆ แต่จู่ๆพี่สาวของเธอก็หายตัวไปและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว พี่สาวของเธอบอกว่าเธอถูกลักพาตัวโดยหวงฉีตง… นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ข่าวจากพี่สาวของเธอ!”
“แล้วเธอไม่ได้แจ้งตำรวจเหรอ”ใบหน้าของจี้เฟิงดำมืด
“เธอเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆที่มาจากชนบทเธอไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่จะบ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของหวงฉีตง แล้วเธอจะเอาความกล้าจากไหนไปแจ้งตำรวจล่ะ จะให้เธอบอกตำรวจว่าอะไร” เซียวหยูซวนถอนหายใจเบาๆ “ต่อมาพ่อแม่ของพวกเธอได้ไปแจ้งตำรวจแต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆเลยพวกเขาจึงกลายเป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาจนได้รับการเตือน หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของพวกเธอก็ถูกทำร้ายร่างกายเพื่อข่มขู่และยัดเงินให้ปิดปากเงียบ พ่อแม่ของพวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป”
“มันเป็นไอ้เลวที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังสู้ไม่ได้จริงๆ!”จี้เฟิงตะคอกออกมาทันทีด้วยความโกรธ
“คุณชายจี้!”ชิวเผิงเฟยและนายน้อยคนอื่นๆรีบเดินเข้ามา “คุณชายจี้มีงานอะไรให้ผมไปจัดการหรือเปล่าครับ!”
“ฉันมีงานจะมอบหมายให้นายไปจัดการ!”ภายใต้ความโกรธจี้เฟิงจึงไม่คิดที่จะพูดจาสุภาพอ้อมค้อมอีกต่อไป “เท่าที่ฉันรู้มา มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกหวงฉีตงลักพาตัวไปจนตอนนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยของเธอ ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีไหน ขอแค่ทำให้ไอ้หวงฉีตงมันอ้าปากบอกเบาะแสที่เกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้นออกมาให้หมด และนอกจากนั้นไปหามาให้ได้ว่าหวงฉีตงเคยทำเรื่องระยำไว้ที่ไหนอีกบ้าง และมีใครบ้างที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือมัน!” แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดที่เด็กสาวคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่แต่จี้เฟิงก็ยังคงจะขอเชื่อในความหวังอันริบหรี่นั้น ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็คือชีวิตหนึ่งชีวิต!
“คุณชายจี้โปรดวางใจผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด!” ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที
ชิวเผิงเฟยรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่จี้เฟิงเท่านั้นเพราะจี้เจิ้นกั๋วเลขาธิการพรรคเทศบาลเมืองก็น่าจะได้รับรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน และถ้าหากเขาทำมันออกมาได้ไม่ดี ผลที่ตามมามันจะร้ายแรงมาก
“ถ้าได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมให้โทรหาฉันได้ทุกเมื่อ!” เสียงที่เคร่งขรึมของจี้เฟิงแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด “ไม่ว่าใครก็ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันจะต้องรู้ทั้งหมด!”
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เขาเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ลำบากคุณแล้ววันนี้ที่ต้องทำให้หวงฉีตงปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด!”
“คุณชายจี้โปรดมั่นใจผมจะส่งต่อคำพูดของคุณให้พ่อของผมได้รับทราบ” ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที
จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ผู้ชายคนนี้ *ตีงูด้วยไม้เรียวสินะ เขาบอกกับชิวเผิงเฟยเท่านั้น แต่ชิวเผิงเฟยกับทำให้เรื่องมาพัวพันกับเขามากขึ้น มันกลายเป็นบทสนทนาทางอ้อมระหว่างจี้เฟิงและพ่อของชิวเผิงเฟย ความซับซ้อนในเรื่องนี้แม้จี้เฟิงจะเข้าใจแต่ก็ยากที่จะอธิบาย
“ตกลงแต่ฉันมีบางอย่างจะต้องไปทำเกี่ยวกับหวงฉีตง คุณรอฉันอยู่ที่นี่สักครู่ก่อนได้หรือเปล่า”
ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที“ตามสบายเลยครับคุณชายจี้ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว รอได้สบายมากไม่มีปัญหา”
พูดเป็นเล่นคนทั่วไปเฝ้ารอโอกาสเช่นนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรการที่สามารถทำสิ่งหนึ่งเพื่อจี้เฟิงจะทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้น เขาไม่ได้โง่เขลาและแน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
จี้เฟิงมองไปรอบๆและหลินเซิงผิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้นมาทันทีว่า“กรุณาไปที่ห้องรับแขกและไปรออยู่ที่นั่นสักครู่แล้วกันนะครับ”
ชิวเผิงเฟยและคนอื่นๆเดินไปที่ห้องรับแขกด้วยความยินดีและอดไม่ได้ที่จะทำตัวสุภาพ
เมื่อถึงจุดนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปแน่นอนว่าพนักงานที่ถูกไล่ออกก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านโวยวายหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาคิดผิดและในทางกลับกัน… ทุกคนต่างเหลือบมองไปที่จี้เฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตู ใครจะกล้าโวยวายต่อหน้าเขากันล่ะ
ในช่วงเวลาหนึ่งจี้เฟิงและผู้จัดการหลินเซิงผิงซึ่งไม่มีอะไรทำถูกทิ้งไว้ที่ประตู
“คุณชายจี้ใช่ไหมครับพวกเราไปนั่งรอในห้องรับแขกกันดีกว่า ยืนรอตรงนี้เกรงว่าจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หลินเซิงผิงเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นมาก่อน
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“ผมกำลังจะพูดแบบนั้นอยู่พอดี”
“ฮ่าฮ่า!งั้นคุณชายจี้ได้โปรดตามผมมา” หลินเซิงผิงหัวเราะเล็กน้อยและทำท่าทางเป็นสัญญาณบอกให้จี้เฟิงตามเขามา
“ผู้จัดการหลินอย่าเรียกผมว่าคุณชายจี้เลยแค่เรียกจี้เฟิงก็พอ!” จี้เฟิงกล่าวอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขาราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “จะให้ผมเรียกคุณว่าจี้เฟิงเฉยๆจริงๆเหรอ”หลินเซิงผิงยิ้มเล็กน้อยและเดินช้าลง เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดแบบนั้นเขาจึงพิจารณาสิ่งที่จี้เฟิงพูด
จี้เฟิงไม่ได้รีบร้อนเขาหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าและส่งให้หลินเซิงผิง
“ฮ่าๆไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ผมจุดเอง!” เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงกำลังจะจุดบุหรี่ให้ หลินเซิงผิงก็ก้าวถอยหลังทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่สุภาพ จากนั้นก็หยิบไฟแช็กออกมาจุดบุหรี่และสูบมันด้วยท่าทีสบายๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้นจี้เฟิงก็ยิ้มเล็กน้อยและจุดบุหรี่ให้ตัวเองเช่นกันเขายืนสูบบุหรี่กับหลินเซิงผิง
จี้เฟิงเชื่อว่าหลินเซิงผิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาและเขาก็พอจะเดาได้ว่าใครที่เป็นประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่จี้เฟิงยังไม่แน่ใจคือเขาไม่รู้ว่าหลินเซิงผิงจะพูดเรื่องนี้ด้วยทัศนคติแบบไหน
แต่ณ ปัจจุบันดูเหมือนว่าอย่างน้อยทัศนคติของหลินเซิงผิงที่มีต่อเขาจะเป็นไปในทางที่ดี!
“ฉันเคยทำงานกับบริษัทข้ามชาติและรัฐวิสาหกิจมาเป็นเวลาหลายปีพูดง่ายๆว่าตั้งแต่เรียนจบฉันก็วนเวียนอยู่ในวงการนี้” ตอนนี้หลินเซิงผิงดูไม่มีภาพลักษณ์ของผู้จัดการทั่วไป เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเอนตัวพิงกำแพง และพูดกับจี้เฟิงอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
จี้เฟิงสูบบุหรี่อย่างสบายๆแต่ยังไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่รอฟังอย่างเงียบๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่หลินเซิงผิงอยากจะพูดแค่เรื่องชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของเขาเท่านั้น
“จี้เฟิงคุณคงยังไม่รู้ว่าฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหนใช่มั้ย”จู่ๆหลินเซิงผิงก็ถามขึ้น
“ฉันไม่รู้”จี้เฟิงหัวเราะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาอยู่ในใจ
“ฉันกับหยูซวนเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกัน”หลินเซิงผิงยิ้ม “แต่ฉันเป็นรุ่นพี่ของเธอ มีครั้งหนึ่งฉันกลับไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมสมาคมศิษย์เก่า และตอนนั้นเองฉันก็ได้พบกับหยูซวน”
เป็นอย่างที่คิด!
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คุณอย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดนะที่วันนี้ฉันพูดเรื่องนี้ออกมาไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน” หลินเซิงผิงรีบอธิบาย “ในตอนนั้นที่ฉันได้พบกับหยูซวน เธอก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก และที่สำคัญเธอก็มีแฟนแล้ว ฉันเลย… ฮ่าฮ่า!”
“งั้น..ที่คุณมาทำงานที่บริษัทยาฉางเหอก็เพราะหยูซวนงั้นเหรอ” จี้เฟิงถาม
“ก็ไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยที่นี่บอสก็ปฏิบัติกับฉันดีมากๆ เปิดโอกาสให้ฉันได้แสดงความสามารถจนทำให้ฉันพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่!” หลินเซิงผิงยิ้มและส่ายหัวเล็กน้อย “แต่น่าเสียดาย ถึงแม้ตัวฉันและบริษัทจะพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน แต่มันก็ยังห่างไกลเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆในวงการนี้”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดเขาเพียงฟังอย่างเงียบๆ
“ก็นะมันเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ว่าสิ่งที่ฉันพูดนั้นถูกต้อง!” หลินเซิงผิงดูเศร้าใจเล็กน้อย “ต่อให้มีความสามารถมากแค่ไหน แต่มันกลับไม่มีผลอะไรเลยเมื่อเทียบกับผนึกใบเดียวที่อยู่ในมือของผู้มีอำนาจที่เหนือกว่า…”
“มันกลายเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ไปแล้ว!”จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าฉันหรือคุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ก็เพราะรู้แบบนั้นฉันจึงไม่เคยพูดสิ่งที่คิดออกไป ถ้าจะพูดให้ถูกฉันแทบไม่เคยพูดคุยติดต่อกับหยูซวนเลยด้วยซ้ำ!” หลินเซิงผิงหัวเราะเบาๆ “แต่ตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว ฉันเห็นหยูซวนอยู่กับคุณแล้วเธอดูมีความสุขมาก และคุณก็สามารถปกป้องเธอได้อย่างไม่มีที่ติ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงสิ่งที่เขาจะพูดในตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก
“ถ้าหยูซวนสวยน้อยกว่านี้หน่อยก็คงดีฉันคงจะกล้าตามจีบเธอไปแล้ว แต่เธอสวยมาก สวยเกินไป ด้วยความสามารถของฉัน แม้ว่าเธอจะยินดีที่จะสู้ชีวิตไปด้วยกัน แต่ฉันก็กลัวว่าฉันจะไม่สามารถปกป้องเธอได้ หากเป็นเช่นนั้น ฉันยอมตัดใจที่จะปล่อยเธอไป ให้เธอได้มีโอกาสที่ดีมีชีวิตที่ดีจะดีกว่า!” หลินเซิงผิงยืนตรงและดับบุหรี่ที่ถังขยะ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาจี้เฟิง “ฉันหวังว่าคุณจะดูแลหยูซวนเป็นอย่างดีและฉันจะคอยสวดภาวนาให้พวกคุณ!”
จี้เฟิงรู้สึกชื่นชมผู้จัดการหลินเซิงผิงอยู่ในใจเขายื่นมือออกไปและจับมือกับหลินเซิงผิง “ขอบคุณ!”
“แล้วหลังจากนี้คุณวางแผนที่จะทำอะไรต่อไปคุณคงจะไม่ออกจากบริษัทยาฉางเหอใช่มั้ย” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม จากที่ฟังคำพูดของหลินเซิงผิง จี้เฟิงรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะหดหู่ไปสักหน่อย เหมือนกับคนที่พูดสั่งลาก่อนที่จะจากไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้ด้วยอายุของเซียวฉางเหอที่แก่ชราลงทุกวันแน่นอนว่าเซียวฉางเหอยังต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยดูแลบริษัท แล้วถ้าหากหลินเซิงผิงลาออกไปเพราะเรื่องของเขากับเซียวหยูซวน จี้เฟิงคงจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะลาออกล่ะ”หลินเซิงผิงยิ้ม “บริษัทยาฉางเหอเป็นบริษัทที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ฉันกับบอสพวกเราสองคนทำงานกันอย่างหนัก กว่ามันจะเป็นอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วในเมื่อตอนนี้บริษัทกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แล้วทำไมฉันจะต้องออกไปด้วย? แบบนั้นไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ออกจะโง่ไปหน่อยเหรอ?”
หลังจากพูดจบหลินเซิงผิงก็หัวเราะ
จี้เฟิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโง่งมผู้จัดการหลินเซิงผิงคนนี้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ “ต่อจากนี้พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ!”จี้เฟิงยิ้มน้อยๆและยื่นมือออกไป
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”หลินเซิงผิงยิ้มและเอื้อมมือไปจับมือกับจี้เฟิง “จี้เฟิง.. นายไม่จำเป็นต้องให้หยูซวนรู้ว่าฉันพูดอะไรออกไปบ้างเมื่อกี้นี้ นายพอจะเข้าใจใช่มั้ย..”
“อืม..ขอคิดดูก่อนนะ!” จี้เฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์
หลินเซิงผิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที“จะคิดอะไรอีก จี้เฟิง! ถ้าหยูซวนรู้เข้า ฉันคงไม่มีหน้าอยู่ที่บริษัทต่อไปจริงๆ…”
จี้เฟิงหัวเราะและกล่าวว่า“วางใจเถอะ ฉันเคารพความคิดเห็นของนายอยู่แล้ว!”
หลินเซิงผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพยักหน้าเล็กน้อย
จี้เฟิงยื่นบุหรี่ให้เขาอีกครั้งทั้งสองคนจุดบุหรี่และยืนสูบพร้อมกับพูดคุยกันถึงเรื่องอื่นๆ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักหนึ่ง แต่ภายในใจจี้เฟิงนั้นรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเซิงผิงจะลืมหยูซวนได้อย่างสมบูรณ์100% ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามหากได้รักใครไปสักคนหนึ่งแล้วก็ยากที่จะลืม
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเซิงผิงจะกลัวว่าเซียวหยูซวนจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอแต่จี้เฟิงไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าหลินเซิงผิงได้ตัดสินใจที่จะปล่อยวางเรื่องนี้แล้วจริงๆ และเขาก็คงเรียนรู้ที่จะค่อยๆลืมมัน
แล้วมีเหตุผลอะไรที่จี้เฟิงถึงจะไม่สามารถอดทนรอได้
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเซิงผิงดูเป็นคนที่ไม่เลวเลยมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเป็นกังวล คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรัก และไม่มีใครสามารถห้ามความรู้สึกของคนอื่นได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลินเซิงผิงตระหนักรู้ในจุดที่ตัวเองควรอยู่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสามัญสำนึกที่ดี และคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยถ้าได้มีเพื่อนแบบนี้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเซียวหยูซวนก็เดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับพนักงานต้อนรับสาวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เมื่อเห็นผู้จัดการหลินและจี้เฟิงกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขสีหน้าของเซียวหยูซวนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเดินเข้าไปกระซิบกับจี้เฟิงว่า “จี้เฟิง ฉันคงต้องให้นายช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วย!”
จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงความจริงจังในเรื่องนี้ทันทีเขาเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “มันร้ายแรงมากเลยเหรอ”
“สัตว์เดรัจฉานยังสู้ไม่ได้!”เซียวหยูซวนตอบด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดเบาๆกับพนักงานต้อนรับที่ดวงตาแดงก่ำ“สาวน้อย รบกวนคุณไปที่ห้องรับแขกแล้วเรียกชิวเผิงเฟยกับคนอื่นๆมาให้หน่อยได้มั้ย”
พนักงานต้อนรับพยักหน้าทันทีและรีบหันหลังกลับและตรงไปที่ห้องรับแขก
“เกิดอะไรขึ้น!”สีหน้าของจี้เฟิงในเวลานี้มืดครึ้มลงทันที
เซียวหยูซวนพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธ“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ก็เมื่อก่อนสาวน้อยคนนี้เคยทำงานอยู่ที่แผนกต้อนรับกับพี่สาวของเธอที่บริษัทเดียวกัน และหวงฉีตงก็ได้มาเจอกับพวกเธอโดยบังเอิญและเกิดความสนใจ แต่หญิงสาวสองคนมาจากชนบทเธอเลยไม่ยอมตกลงคบหากับหวงฉีตงง่ายๆ แต่จู่ๆพี่สาวของเธอก็หายตัวไปและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว พี่สาวของเธอบอกว่าเธอถูกลักพาตัวโดยหวงฉีตง… นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ข่าวจากพี่สาวของเธอ!”
“แล้วเธอไม่ได้แจ้งตำรวจเหรอ”ใบหน้าของจี้เฟิงดำมืด
“เธอเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆที่มาจากชนบทเธอไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่จะบ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของหวงฉีตง แล้วเธอจะเอาความกล้าจากไหนไปแจ้งตำรวจล่ะ จะให้เธอบอกตำรวจว่าอะไร” เซียวหยูซวนถอนหายใจเบาๆ “ต่อมาพ่อแม่ของพวกเธอได้ไปแจ้งตำรวจแต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆเลยพวกเขาจึงกลายเป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาจนได้รับการเตือน หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของพวกเธอก็ถูกทำร้ายร่างกายเพื่อข่มขู่และยัดเงินให้ปิดปากเงียบ พ่อแม่ของพวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป”
“มันเป็นไอ้เลวที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังสู้ไม่ได้จริงๆ!”จี้เฟิงตะคอกออกมาทันทีด้วยความโกรธ
“คุณชายจี้!”ชิวเผิงเฟยและนายน้อยคนอื่นๆรีบเดินเข้ามา “คุณชายจี้มีงานอะไรให้ผมไปจัดการหรือเปล่าครับ!”
“ฉันมีงานจะมอบหมายให้นายไปจัดการ!”ภายใต้ความโกรธจี้เฟิงจึงไม่คิดที่จะพูดจาสุภาพอ้อมค้อมอีกต่อไป “เท่าที่ฉันรู้มา มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกหวงฉีตงลักพาตัวไปจนตอนนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยของเธอ ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีไหน ขอแค่ทำให้ไอ้หวงฉีตงมันอ้าปากบอกเบาะแสที่เกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้นออกมาให้หมด และนอกจากนั้นไปหามาให้ได้ว่าหวงฉีตงเคยทำเรื่องระยำไว้ที่ไหนอีกบ้าง และมีใครบ้างที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือมัน!” แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิดที่เด็กสาวคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่แต่จี้เฟิงก็ยังคงจะขอเชื่อในความหวังอันริบหรี่นั้น ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็คือชีวิตหนึ่งชีวิต!
“คุณชายจี้โปรดวางใจผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด!” ชิวเผิงเฟยกล่าวทันที
ชิวเผิงเฟยรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่จี้เฟิงเท่านั้นเพราะจี้เจิ้นกั๋วเลขาธิการพรรคเทศบาลเมืองก็น่าจะได้รับรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน และถ้าหากเขาทำมันออกมาได้ไม่ดี ผลที่ตามมามันจะร้ายแรงมาก
“ถ้าได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมให้โทรหาฉันได้ทุกเมื่อ!” เสียงที่เคร่งขรึมของจี้เฟิงแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด “ไม่ว่าใครก็ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันจะต้องรู้ทั้งหมด!”
เราใช้คุกกี้เพื่อให้แน่ใจว่าเรามอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่คุณบนเว็บไซต์ของเรา หากคุณยังคงใช้ไซต์นี้ต่อไป เราจะถือว่าคุณยอมรับและเข้าใจ