จี้เฟิงมาที่โรงงานผลิตยาหยางอีกครั้งแต่ตอนนี้ชื่อของโรงงานผลิตยาได้เปลี่ยนเป็น โรงงานเภสัชกรรมถิงเฟยเรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศยังคงเป็นเหมือนเมื่อวานมีเพียงโรงงานแห่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน หยางเต๋อจ้าวยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานเพื่อช่วยจี้เฟิงดูแลและจัดการบริหารโรงงานเป็นการชั่วคราว
เนื่องจากจี้เฟิงได้แจ้งเอาไว้แล้วว่าเขาจะเข้ามาที่โรงงานในวันนี้ดังนั้นนอกจากหยางเต๋อจ้าวแล้วก็ยังมีคนอื่นๆอีก มีเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาจากฝ่ายขาย มีหัวหน้าแผนกจากฝ่ายการเงินและคนจากฝ่ายบัญชีและมีหัวหน้าแผนกฝ่ายเวิร์กช็อปอีกสองคน
“จี้เฟิงให้ฉันแนะนำพวกเขาให้เธอรู้จักก่อนก็แล้วกันนะเหล่าอู๋กับฮั่นรุ่ยเชานายได้รู้จักไปแล้ว ส่วนสองคนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินชื่อว่าหยางจุนและอีกคนเป็นนักบัญชีชื่อว่าเทียนหนาน” หยางเต๋อจ้าวชี้ไปที่กลุ่มคนสามสี่คนที่รออยู่ในสำนักงานพลางหัวเราะและกล่าวว่า “และอีกสองคนเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายเวิร์กช็อป หม่าทงและหลิวเจิ้น”
ทุกครั้งที่หยางเต๋อจ้าวแนะนำบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะพยักหน้าให้จี้เฟิงพวกเขาทั้งหมดรู้ว่าโรงงานที่พวกเขาทำงานอยู่ได้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว แต่เมื่อพวกได้เห็นจี้เฟิงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ในใจ จี้เฟิงยังเด็กเกินไป หนวดยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ! มอบโรงงานให้เด็กหนุ่มอายุน้อยขนาดนี้มารับช่วงต่อ เขาจะจัดการมันได้จริงๆน่ะหรือ
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่ทันสังเกตเห็นแววตาแห่งความสงสัยของคนเหล่านี้เขาได้แต่ถามอย่างสงสัยว่า “ลุงหยาง ชายหนุ่มแผนกการขายคนนั้นไม่ได้มาด้วยเหรอ”
หยางเต๋อจ้าวรู้ทันทีว่าจี้เฟิงกำลังพูดถึงชายหนุ่มคนไหนอยู่คงไม่มีใครนอกจากจางฉงจินที่ตั้งใจจะพรีเซนต์ตัวเองอย่างออกนอกหน้าในมื้อเย็นของวันก่อน แถมยังคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนที่เก่งที่สุดในแผนกการขายอีก ไม่มีทางที่เขาจะสร้างความประทับใจให้จี้เฟิงได้อีกเป็นครั้งที่สอง
หยางเต๋อจ้าวยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“ถ้าเธอหมายถึงจางฉงจินที่อยู่แผนกการขายล่ะก็ เขาเพิ่งจะลาออกไปเมื่อวานนี้เอง แต่เป็นเพราะกำลังยุ่งๆอยู่กับขั้นตอนการโอนโรงงาน ฉันเลยยังไม่ทันได้บอกให้เธอรู้”
ไม่ว่ายังไงจี้เฟิงก็เป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้หยางเต๋อจ้าวตัดสินใจเรื่องนี้ได้ถูกต้องแล้ว เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลม จากเรื่องเล็กๆก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าจะแก้ และถ้ามันจะทำให้จี้เฟิงเกิดความเข้าใจผิด นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องดีเลย
จี้เฟิงยิ้ม“โชคดีที่เขาตัดสินใจลาออก”
อันที่จริงแม้ว่าจางฉงจินจะไม่ได้เป็นฝ่ายลาออกไปด้วยตัวเองแต่จี้เฟิงก็ตั้งใจที่จะไล่เขาออกอยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอให้มีความผิดพลาดของพนักงานเกิดขึ้นตามข้อตกลงของหยางเต๋อจ้าว และไม่สนด้วยว่าจางฉงจินจะเป็นคนที่มีความสามารถมากแค่ไหน เพราะคนที่แม้แต่การวางตัวยังทำไม่ถูก จี้เฟิงก็ไม่ต้องการ
หยางเต๋อจ้าวหัวเราะความจริงแล้วจางฉงจินไม่ได้ลาออก แต่หยางเต๋อจ้าวเป็นคนไล่เขาออกด้วยตัวเองและด้วยเหตุนี้เขาจึงจ่ายเงินเดือนชดเชยให้จางฉงจินเป็นเวลาสองเดือน
หยางเต๋อจ้าวไม่ต้องการให้จี้เฟิงรู้สึกไม่ดีกับพนักงานคนอื่นๆในโรงงานเพียงเพราะจางฉงจินเพียงคนเดียวเพราะพนักงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานมาตั้งแต่เขาเริ่มก่อตั้งโรงงานนี้ขึ้นมา แล้วจะให้เขาทนดูคนเหล่านี้ถูกไล่ออกเพราะเหตุผลแบบนี้ได้อย่างไร
“เถ้าแก่หยางเอ่อ.. หัวหน้า เถ้าแก่จี้” เหล่าอู๋จากฝ่ายขายยังไม่ชินกับการเรียกขาน เมื่อเขาต้องการจะเรียกหยางเต๋อจ้าวเขาก็เผลอเรียกว่าเถ้าแก่หยางทันทีแต่เมื่อคิดได้เขาก็รีบเปลี่ยนคำและรีบกล่าวขอโทษ “เถ้าแก่จี้ ฉันต้องขอโทษด้วย คนแก่ก็แบบนี้แหละหลงๆลืมๆ ชอบพูดจาสับสน”
จี้เฟิงหัวเราะทันทีและกล่าวว่า“ผมกับลุงหยางก็เป็นเถ้าแก่เหมือนกัน หัวหน้าอู๋จะเรียกอะไรก็ตามสบายเลย ว่าแต่หัวหน้าอู๋มีเรื่องอะไรจะพูดงั้นเหรอ”
เหล่าอู๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยทั่วไปแล้วคนหนุ่มสาวที่ร่ำรวยมีพลังมากแบบนี้มักจะถือตัวและเย่อหยิ่ง เขาไม่คิดว่าจี้เฟิงจะคุยง่ายขนาดนี้
เหล่าอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า“คือ.. ในตอนที่จางฉงจินออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะโมโหมากและขู่ว่าจะแก้แค้นโรงงาน…”
“โอ้!”
จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ“เขาจะแก้แค้นยังไงล่ะ”
“เอ่อ..เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”เหล่าอู๋ได้แต่ยิ้มอย่ากระอักกระอ่วนและแอบตำหนิตัวเองที่พูดมากเกินไป ทำไมถึงได้บอกว่าจางฉงจินจะมาก่อปัญหาให้โรงงานแถมยังพูดต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าของโรงงานคนใหม่ แน่นอนว่าคงไม่มีใครรู้สึกดีที่ได้ยินเรื่องแบบนี้
แต่จริงๆแล้วจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรเลยเขากลับคิดว่ามันตลกดีด้วยซ้ำ ตอนนี้โรงงานนี้ก็ไม่ได้มีสภาพคล่องที่ดีอะไรมากอยู่แล้ว จางฉงจินจะมาแก้แค้นอะไรได้ มันจะเกิดอะไรขึ้น? อย่างมากโรงงานก็คงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้จนต้องหยุดการผลิต แต่อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งนี้ได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดแล้ว ถ้าทางการต้องการจะมาตรวจสอบโรงงาน ก็ไม่มีอะไรที่จี้เฟิงต้องกลัว!
ต่อจากนั้นจี้เฟิงก็พูดคุยกับหัวหน้าแผนกเวิร์กช็อปทั้งสองคนเล็กน้อยและคุยอย่างละเอียดกับหัวหน้าแผนกการเงินหยางจุนและนักบัญชีเทียนหนาน ตามการรายงานของทั้งสองคน ด้านการเงินของโรงงานค่อนข้างฝืดเคือง ตอนนี้ในแต่ละเดือนทำได้แค่เพียงรักษารายจ่ายไว้ไม่ให้มันติดลบ แต่หากจะบอกว่าทำกำไรได้ ถ้าเอาแบบฝืนๆเลยมากที่สุดก็ตกปีละ 100,000 – 200,000 หยวน แม้จะดูไม่เลว แต่ถ้าหักภาษีไปแล้ว มันจะยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับผลลัพธ์นี้จี้เฟิงก็พอใจมากแล้ว เดิมทีในความคิดของเขา ขอแค่โรงงานสามารถรักษาสมดุลของรายจ่ายได้ โดยที่ไม่ต้องให้เขาต้องควักทุนเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว เขาไม่คาดหวังด้วยซ้ำว่ามันยังสามารถทำกำไรได้!
จี้เฟิงจะไม่มีวันดูถูกเงินที่มากกว่า100,000 ถึง 200,000 หยวนอย่างแน่นอน คิดดูว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขากับแม่ ในหนึ่งปีเขาใช้จ่ายเงินไม่ถึง 10,000 หยวนด้วยซ้ำ ดังนั้นกำไรที่มากกว่า 100,000 หยวนต่อปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี แม้จะเป็น1 เฟิน แต่จี้เฟิงก็เห็นคุณค่าของมัน (เฟิน = หน่วยเงินที่เล็กที่สุด)
“คนจนมักเห็นคุณค่าของเงินเสมอ!”จี้เฟิงมักจะยิ้มเยาะกับคำกล่าวนี้อยู่ในใจ
นักบัญชีเทียนหนานทำให้จี้เฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจสมุดบัญชีของเขาดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก สะอาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ไม่มีฝุ่นเกาะ แต่ลายมือและการจัดระเบียบนั้นสะอาดตามาก รายการบัญชีมีความชัดเจนและสามารถอธิบายแหล่งที่ไปที่มาของเงินได้อย่างสมบูรณ์
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเทียนหนานเทียนหนานคือหญิงสาวอายุประมาณ 27-28 ปี สวมชุดทำงานที่ดูสุภาพ ผมของเธอสั้นดูกระกระฉับกระเฉง แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความสวยที่โดดเด่นสะดุดตา แต่ภาพลักษณ์โดยรวมของเธอกลับให้ความรู้สึกถึงความเรียบหรูดูสะอาดตาและมีรสนิยม เช่นเดียวกับสมุดบัญชีที่เธอถืออยู่ในมือ
อืม…เธอคือผู้หญิงสไตล์เวิร์คกิ้งวูแมน!! จี้เฟิงคิดอยู่นานถึงจะนึกคำที่พออธิบายผู้หญิงอย่างเทียนหนานได้
“ทำได้ดีมาก!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม เขาไม่ติดใจสงสัยใดๆเกี่ยวกับบัญชีที่เทียนหนานทำ เพราะสมุดบัญชีเล่มนี้ถูกยื่นผ่านโดยแผนกต่างๆที่เกี่ยวข้อง และหยางเต๋อจ้าวได้มอบเงินให้กับบัญชีของโรงงานของเขา และเงินในบัญชียังเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ถูกบันทึกไว้บัญชีแยกประเภท
ถ้าหากมีการทุจริตก็นับได้ว่ามีสาเหตุมาจากหยางเต๋อจ้าวเอง ซึ่งจี้เฟิงไม่จำเป็นต้องสนใจ
“ขอบคุณที่ชมค่ะบอสมันคือสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว!” หยางจุนและเทียนหนานต่างก็หัวเราะ
จี้เฟิงก็หัวเราะเช่นกันแต่สายตาของเขากวาดไปทั่วร่างกายของเทียนหนานอย่างแนบเนียน ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้ความงามของเทียนหนานจะไม่โดดเด่นเตะตา แต่เธอก็มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเธอเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เธอหัวเราะ มันทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่สตรองมากขึ้นแต่ก็ไม่ขาดความอ่อนโยนอย่างที่ผู้หญิงควรจะมี
พูดง่ายๆว่าเธอคือสาวแกร่งอารมณ์ดี!
แน่นอนว่าจี้เฟิงแค่มองและวิเคราะห์ตามความเคยชินไม่ว่าใครต่างก็ชื่นชอบในความงาม แต่ถ้าให้เขาคิดเลยเถิดไปเป็นอย่างอื่น สิ่งนั้นไม่มีอยู่ในหัวจี้เฟิงอย่างแน่นอน
ต่อจากนั้นจี้เฟิงก็ฟังรายงานจากเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาจากฝ่ายขายเหล่าอู๋รับผิดชอบลูกค้าเก่า ส่วนฮั่นรุ่ยเชาเข้ามารับช่วงต่อลูกค้าบางส่วนที่เป็นของจางฉงจิน
พอเห็นจี้เฟิงยกย่องชมเชยหยางจุนและเทียนหนานเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาก็ไม่อยากจะถูกเปรียบเทียบ ดังนั้นการรายงานของพวกเขาจึงเรียบง่ายและชัดเจน แต่การรายงานนั้นตรงประเด็น
จี้เฟิงฟังอย่างคร่าวๆตอนนี้ลูกค้าของโรงงานผลิตยาส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทยาขนาดเล็ก ซึ่งหลายแห่งมีขนาดเล็กกว่าบริษัทยาฉางเหอ ในอดีตแม้ว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ถูกโรงงานอื่นๆเอาไปหมด จนทำให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“เถ้าแก่ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนี้ดีหรือเปล่า..”ฮั่นรุ่ยเชาอดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอย่างลังเลหลังจากรายงานข้อมูลของแผนกการขาย
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“กับฉันคุณสามารถพูดทุกเรื่องได้อย่างอิสระ คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด”
ฮั่นรุ่ยเชาพยักหน้าเล็กน้อยและพูดอย่างระมัดระวัง“หลังจากที่จางฉงจินจากไป เอ่อ… ผมจะอธิบายยังไงดี ดูเหมือนว่ามีพนักงานขายหลายคนลาออกตามไปด้วยและลูกค้าเหล่านั้นซึ่งเดิมทีอยู่ในความรับผิดชอบของจางฉงจินและลูกค้าคนอื่นๆในทีมของเขา พอผมติดต่อไป ดูเหมือนว่าลูกค้าเหล่านั้นจะมีทัศนคติต่อโรงงานเราเปลี่ยนไปเล็กน้อย…”
“โอ้อิทธิพลของเขาไม่ธรรมดาเลยแฮะ!” จี้เฟิงหัวเราะ เขาไม่แปลกใจเลย พนักงานขายที่ดีที่สามารถซื้อใจลูกค้าได้ ย่อมมีอำนาจทางใจต่อลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ บางครั้งพนักงานขายก็แยกวงออกไปตั้งบริษัทของตัวเอง ส่วนลูกค้าที่เขาเป็นผู้ดูแลก็ตามเขาไปอย่างว่าง่าย เรื่องพวกนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติมากในอุตสาหกรรมการขาย
“แต่ลูกค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของจางฉงจินผมว่าพวกเขาดูแปลกๆ…” ฮั่นรุ่ยเชากล่าวอย่างลังเล
“ช่างมันเถอะมันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น!” จี้เฟิงมองท่าทางที่ดูเป็นกังวลของฮั่นรุ่ยเชาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเขาเองก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะทำการแก้แค้นโรงงาน ก็ไม่แปลกที่เขาจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้พวกเรารับรู้และได้รับผลกระทบ ตราบใดที่ฟ้ายังไม่ถล่มดินยังไม่ทลาย! พนักงานขายลาออกก็จ้างใหม่ได้ ลูกค้าหายไป ก็หาใหม่ได้!”
ฮั่นรุ่ยเชารู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีเขาพยักหน้าและพูดว่า “เถ้าแก่ ผมจะพยายามรักษาลูกค้าไว้ให้ดีที่สุด ส่วนลูกค้าคนไหนที่ต้องการเปลี่ยนคู่ค้าแล้วผมไม่สามารถรั้งไว้ได้จริงๆ ผมจะวิ่งหาลูกค้ารายใหม่เพื่อชดเชยความสูญเสียนั้น!”
“ฉันเชื่อใจคุณ!”จี้เฟิงยิ้มอย่างเชื่อมั่น แต่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา บางทีก่อนหน้านี้ที่การจัดการของโรงงานติดๆขัดๆ อาจมีจางฉงจินเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผล
ไม่อย่างนั้นทัศนคติของลูกค้าที่มีต่อโรงงานจะดูคลุมเครือได้ยังไง
เพราะไม่ว่าพนักงานขายจะเก่งแค่ไหนก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อความคิดของลูกค้าทุกคนได้แบบนี้!เว้นเสียแต่ว่า… จะมีเรื่อง ‘ผลประโยชน์’ ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่จำเป็นที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าพวกเขาจี้เฟิงปรบมือและกล่าวเสียงดัง “ถ้าฉันจำไม่ผิด ค่าคอมมิชชั่นของฝ่ายขายในตอนนี้จะอยู่ที่ 3% แต่ถ้าหากสามารถรักษายอดขายไว้ในระดับนี้ได้จนถึงไตรมาสหน้า ค่าคอมมิชชั่นของแผนกการขายจะกลายเป็น 5% และเงินเดือนของพนักงานคนอื่นๆจะเพิ่มขึ้นอีก 30%!”
ทุกคนถึงกับสะดุ้งอัตรานี้มันสูงมาก!
หากคำนวณอย่างคร่าวๆแล้วถ้าเป็นไปตามที่จี้เฟิงบอก แล้วหนึ่งปีต่อจากนี้ จี้เฟิงก็แทบจะไม่เหลือกำไรเลย!
“อย่างไรก็ตามหากพวกคุณต้องการที่จะได้เงินจำนวนนี้ พวกคุณคงต้องทำงานกันอย่างหนัก พวกคุณโอเคหรือเปล่า” จี้เฟิงหัวเราะ
“สบายมาก!”ทุกคนต่างพากันพยักหน้าหงึกหงักทันที
พูดเป็นเล่น!คนที่ไม่โอเคกับเงื่อนไขนี้คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ!
“เอาล่ะทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วหยางเต๋อจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ “จี้เฟิง แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่มันก็มีประสิทธิภาพมากมันกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานทุกคนได้ในทันที!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“วิธีกระตุ้นและแรงจูงใจเป็นเพียงสิ่งที่รองลงมา กุญแจสำคัญจริงๆก็คือรักษาพวกเขาไว้ให้ได้ แม้คนเหล่านี้จะรักและผูกพันกับโรงงาน แต่ความรู้สึกมันกินไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งประสิทธิภาพของโรงงานลดลง และแม้แต่ค่าจ้างคนงานก็จ่ายไม่ได้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครทนอยู่ การหางานในเจียงโจวก็ไม่ใช่เรื่องยาก!”
หยางเต๋อจ้าวยิ้มอย่างขมขื่นเขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่จี้เฟิงพูดนั้นเป็นความจริง
“ดังนั้นการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!” จี้เฟิงยิ้ม ครั้งแรกที่เขาเห็นบัญชีของเทียนหนานและความมุ่งมั่นของฮั่นรุ่ยเชาเขาก็ตระหนักได้ว่าพนักงานสองคนนี้ควรค่าแก่การรักษาไว้ พวกเขาเป็นคนที่ทำงานจริงๆ
จี้เฟิงรู้ดีว่าเรื่องในโรงงานยังต้องใช้เวลาอีกสักพักรวมถึงเวลาให้กับตัวเขาเองด้วย ดังนั้นในช่วงเวลานี้เขาจะต้องหาทางรักษาพนักงานเหล่านี้ไว้ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาสูญเสียความหวังและพากันลาออกไป!
“รอให้ฉันได้ลงมือทำอย่างเต็มที่เวลานั้นจะเป็นเวลาที่โรงงานเภสัชกรรมเถิงเฟยได้ก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์แล้วเริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงๆ!” จี้เฟิงยืนอยู่ริมหน้าต่างไขว้มือทั้งสองข้างไว้ข้างหลังและมองขึ้นไปบนฟ้า และมีรสชาติแห่งการเผชิญโลกของจริงรออยู่ข้างหน้า!
“แต่สิ่งแรกที่ฉันจะต้องทำคือการหาหนทางที่จะไปรักษาคุณปู่ให้ได้เสียก่อน!”จี้เฟิงแอบตัดสินใจว่าเขาจะเดินทางไปที่หยานจิง!
บรรยากาศยังคงเป็นเหมือนเมื่อวานมีเพียงโรงงานแห่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน หยางเต๋อจ้าวยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานเพื่อช่วยจี้เฟิงดูแลและจัดการบริหารโรงงานเป็นการชั่วคราว
เนื่องจากจี้เฟิงได้แจ้งเอาไว้แล้วว่าเขาจะเข้ามาที่โรงงานในวันนี้ดังนั้นนอกจากหยางเต๋อจ้าวแล้วก็ยังมีคนอื่นๆอีก มีเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาจากฝ่ายขาย มีหัวหน้าแผนกจากฝ่ายการเงินและคนจากฝ่ายบัญชีและมีหัวหน้าแผนกฝ่ายเวิร์กช็อปอีกสองคน
“จี้เฟิงให้ฉันแนะนำพวกเขาให้เธอรู้จักก่อนก็แล้วกันนะเหล่าอู๋กับฮั่นรุ่ยเชานายได้รู้จักไปแล้ว ส่วนสองคนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินชื่อว่าหยางจุนและอีกคนเป็นนักบัญชีชื่อว่าเทียนหนาน” หยางเต๋อจ้าวชี้ไปที่กลุ่มคนสามสี่คนที่รออยู่ในสำนักงานพลางหัวเราะและกล่าวว่า “และอีกสองคนเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายเวิร์กช็อป หม่าทงและหลิวเจิ้น”
ทุกครั้งที่หยางเต๋อจ้าวแนะนำบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะพยักหน้าให้จี้เฟิงพวกเขาทั้งหมดรู้ว่าโรงงานที่พวกเขาทำงานอยู่ได้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว แต่เมื่อพวกได้เห็นจี้เฟิงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ในใจ จี้เฟิงยังเด็กเกินไป หนวดยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำ! มอบโรงงานให้เด็กหนุ่มอายุน้อยขนาดนี้มารับช่วงต่อ เขาจะจัดการมันได้จริงๆน่ะหรือ
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่ทันสังเกตเห็นแววตาแห่งความสงสัยของคนเหล่านี้เขาได้แต่ถามอย่างสงสัยว่า “ลุงหยาง ชายหนุ่มแผนกการขายคนนั้นไม่ได้มาด้วยเหรอ”
หยางเต๋อจ้าวรู้ทันทีว่าจี้เฟิงกำลังพูดถึงชายหนุ่มคนไหนอยู่คงไม่มีใครนอกจากจางฉงจินที่ตั้งใจจะพรีเซนต์ตัวเองอย่างออกนอกหน้าในมื้อเย็นของวันก่อน แถมยังคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนที่เก่งที่สุดในแผนกการขายอีก ไม่มีทางที่เขาจะสร้างความประทับใจให้จี้เฟิงได้อีกเป็นครั้งที่สอง
หยางเต๋อจ้าวยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า“ถ้าเธอหมายถึงจางฉงจินที่อยู่แผนกการขายล่ะก็ เขาเพิ่งจะลาออกไปเมื่อวานนี้เอง แต่เป็นเพราะกำลังยุ่งๆอยู่กับขั้นตอนการโอนโรงงาน ฉันเลยยังไม่ทันได้บอกให้เธอรู้”
ไม่ว่ายังไงจี้เฟิงก็เป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้หยางเต๋อจ้าวตัดสินใจเรื่องนี้ได้ถูกต้องแล้ว เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลม จากเรื่องเล็กๆก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าจะแก้ และถ้ามันจะทำให้จี้เฟิงเกิดความเข้าใจผิด นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องดีเลย
จี้เฟิงยิ้ม“โชคดีที่เขาตัดสินใจลาออก”
อันที่จริงแม้ว่าจางฉงจินจะไม่ได้เป็นฝ่ายลาออกไปด้วยตัวเองแต่จี้เฟิงก็ตั้งใจที่จะไล่เขาออกอยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอให้มีความผิดพลาดของพนักงานเกิดขึ้นตามข้อตกลงของหยางเต๋อจ้าว และไม่สนด้วยว่าจางฉงจินจะเป็นคนที่มีความสามารถมากแค่ไหน เพราะคนที่แม้แต่การวางตัวยังทำไม่ถูก จี้เฟิงก็ไม่ต้องการ
หยางเต๋อจ้าวหัวเราะความจริงแล้วจางฉงจินไม่ได้ลาออก แต่หยางเต๋อจ้าวเป็นคนไล่เขาออกด้วยตัวเองและด้วยเหตุนี้เขาจึงจ่ายเงินเดือนชดเชยให้จางฉงจินเป็นเวลาสองเดือน
หยางเต๋อจ้าวไม่ต้องการให้จี้เฟิงรู้สึกไม่ดีกับพนักงานคนอื่นๆในโรงงานเพียงเพราะจางฉงจินเพียงคนเดียวเพราะพนักงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานมาตั้งแต่เขาเริ่มก่อตั้งโรงงานนี้ขึ้นมา แล้วจะให้เขาทนดูคนเหล่านี้ถูกไล่ออกเพราะเหตุผลแบบนี้ได้อย่างไร
“เถ้าแก่หยางเอ่อ.. หัวหน้า เถ้าแก่จี้” เหล่าอู๋จากฝ่ายขายยังไม่ชินกับการเรียกขาน เมื่อเขาต้องการจะเรียกหยางเต๋อจ้าวเขาก็เผลอเรียกว่าเถ้าแก่หยางทันทีแต่เมื่อคิดได้เขาก็รีบเปลี่ยนคำและรีบกล่าวขอโทษ “เถ้าแก่จี้ ฉันต้องขอโทษด้วย คนแก่ก็แบบนี้แหละหลงๆลืมๆ ชอบพูดจาสับสน”
จี้เฟิงหัวเราะทันทีและกล่าวว่า“ผมกับลุงหยางก็เป็นเถ้าแก่เหมือนกัน หัวหน้าอู๋จะเรียกอะไรก็ตามสบายเลย ว่าแต่หัวหน้าอู๋มีเรื่องอะไรจะพูดงั้นเหรอ”
เหล่าอู๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยทั่วไปแล้วคนหนุ่มสาวที่ร่ำรวยมีพลังมากแบบนี้มักจะถือตัวและเย่อหยิ่ง เขาไม่คิดว่าจี้เฟิงจะคุยง่ายขนาดนี้
เหล่าอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า“คือ.. ในตอนที่จางฉงจินออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะโมโหมากและขู่ว่าจะแก้แค้นโรงงาน…”
“โอ้!”
จี้เฟิงหัวเราะเบาๆ“เขาจะแก้แค้นยังไงล่ะ”
“เอ่อ..เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”เหล่าอู๋ได้แต่ยิ้มอย่ากระอักกระอ่วนและแอบตำหนิตัวเองที่พูดมากเกินไป ทำไมถึงได้บอกว่าจางฉงจินจะมาก่อปัญหาให้โรงงานแถมยังพูดต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าของโรงงานคนใหม่ แน่นอนว่าคงไม่มีใครรู้สึกดีที่ได้ยินเรื่องแบบนี้
แต่จริงๆแล้วจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกแย่หรืออะไรเลยเขากลับคิดว่ามันตลกดีด้วยซ้ำ ตอนนี้โรงงานนี้ก็ไม่ได้มีสภาพคล่องที่ดีอะไรมากอยู่แล้ว จางฉงจินจะมาแก้แค้นอะไรได้ มันจะเกิดอะไรขึ้น? อย่างมากโรงงานก็คงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้จนต้องหยุดการผลิต แต่อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งนี้ได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดแล้ว ถ้าทางการต้องการจะมาตรวจสอบโรงงาน ก็ไม่มีอะไรที่จี้เฟิงต้องกลัว!
ต่อจากนั้นจี้เฟิงก็พูดคุยกับหัวหน้าแผนกเวิร์กช็อปทั้งสองคนเล็กน้อยและคุยอย่างละเอียดกับหัวหน้าแผนกการเงินหยางจุนและนักบัญชีเทียนหนาน ตามการรายงานของทั้งสองคน ด้านการเงินของโรงงานค่อนข้างฝืดเคือง ตอนนี้ในแต่ละเดือนทำได้แค่เพียงรักษารายจ่ายไว้ไม่ให้มันติดลบ แต่หากจะบอกว่าทำกำไรได้ ถ้าเอาแบบฝืนๆเลยมากที่สุดก็ตกปีละ 100,000 – 200,000 หยวน แม้จะดูไม่เลว แต่ถ้าหักภาษีไปแล้ว มันจะยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับผลลัพธ์นี้จี้เฟิงก็พอใจมากแล้ว เดิมทีในความคิดของเขา ขอแค่โรงงานสามารถรักษาสมดุลของรายจ่ายได้ โดยที่ไม่ต้องให้เขาต้องควักทุนเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว เขาไม่คาดหวังด้วยซ้ำว่ามันยังสามารถทำกำไรได้!
จี้เฟิงจะไม่มีวันดูถูกเงินที่มากกว่า100,000 ถึง 200,000 หยวนอย่างแน่นอน คิดดูว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขากับแม่ ในหนึ่งปีเขาใช้จ่ายเงินไม่ถึง 10,000 หยวนด้วยซ้ำ ดังนั้นกำไรที่มากกว่า 100,000 หยวนต่อปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี แม้จะเป็น1 เฟิน แต่จี้เฟิงก็เห็นคุณค่าของมัน (เฟิน = หน่วยเงินที่เล็กที่สุด)
“คนจนมักเห็นคุณค่าของเงินเสมอ!”จี้เฟิงมักจะยิ้มเยาะกับคำกล่าวนี้อยู่ในใจ
นักบัญชีเทียนหนานทำให้จี้เฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจสมุดบัญชีของเขาดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก สะอาดในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ไม่มีฝุ่นเกาะ แต่ลายมือและการจัดระเบียบนั้นสะอาดตามาก รายการบัญชีมีความชัดเจนและสามารถอธิบายแหล่งที่ไปที่มาของเงินได้อย่างสมบูรณ์
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเทียนหนานเทียนหนานคือหญิงสาวอายุประมาณ 27-28 ปี สวมชุดทำงานที่ดูสุภาพ ผมของเธอสั้นดูกระกระฉับกระเฉง แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความสวยที่โดดเด่นสะดุดตา แต่ภาพลักษณ์โดยรวมของเธอกลับให้ความรู้สึกถึงความเรียบหรูดูสะอาดตาและมีรสนิยม เช่นเดียวกับสมุดบัญชีที่เธอถืออยู่ในมือ
อืม…เธอคือผู้หญิงสไตล์เวิร์คกิ้งวูแมน!! จี้เฟิงคิดอยู่นานถึงจะนึกคำที่พออธิบายผู้หญิงอย่างเทียนหนานได้
“ทำได้ดีมาก!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม เขาไม่ติดใจสงสัยใดๆเกี่ยวกับบัญชีที่เทียนหนานทำ เพราะสมุดบัญชีเล่มนี้ถูกยื่นผ่านโดยแผนกต่างๆที่เกี่ยวข้อง และหยางเต๋อจ้าวได้มอบเงินให้กับบัญชีของโรงงานของเขา และเงินในบัญชียังเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ถูกบันทึกไว้บัญชีแยกประเภท
ถ้าหากมีการทุจริตก็นับได้ว่ามีสาเหตุมาจากหยางเต๋อจ้าวเอง ซึ่งจี้เฟิงไม่จำเป็นต้องสนใจ
“ขอบคุณที่ชมค่ะบอสมันคือสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้ว!” หยางจุนและเทียนหนานต่างก็หัวเราะ
จี้เฟิงก็หัวเราะเช่นกันแต่สายตาของเขากวาดไปทั่วร่างกายของเทียนหนานอย่างแนบเนียน ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้ความงามของเทียนหนานจะไม่โดดเด่นเตะตา แต่เธอก็มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเธอเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เธอหัวเราะ มันทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่สตรองมากขึ้นแต่ก็ไม่ขาดความอ่อนโยนอย่างที่ผู้หญิงควรจะมี
พูดง่ายๆว่าเธอคือสาวแกร่งอารมณ์ดี!
แน่นอนว่าจี้เฟิงแค่มองและวิเคราะห์ตามความเคยชินไม่ว่าใครต่างก็ชื่นชอบในความงาม แต่ถ้าให้เขาคิดเลยเถิดไปเป็นอย่างอื่น สิ่งนั้นไม่มีอยู่ในหัวจี้เฟิงอย่างแน่นอน
ต่อจากนั้นจี้เฟิงก็ฟังรายงานจากเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาจากฝ่ายขายเหล่าอู๋รับผิดชอบลูกค้าเก่า ส่วนฮั่นรุ่ยเชาเข้ามารับช่วงต่อลูกค้าบางส่วนที่เป็นของจางฉงจิน
พอเห็นจี้เฟิงยกย่องชมเชยหยางจุนและเทียนหนานเหล่าอู๋และฮั่นรุ่ยเชาก็ไม่อยากจะถูกเปรียบเทียบ ดังนั้นการรายงานของพวกเขาจึงเรียบง่ายและชัดเจน แต่การรายงานนั้นตรงประเด็น
จี้เฟิงฟังอย่างคร่าวๆตอนนี้ลูกค้าของโรงงานผลิตยาส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทยาขนาดเล็ก ซึ่งหลายแห่งมีขนาดเล็กกว่าบริษัทยาฉางเหอ ในอดีตแม้ว่าจะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ถูกโรงงานอื่นๆเอาไปหมด จนทำให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“เถ้าแก่ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนี้ดีหรือเปล่า..”ฮั่นรุ่ยเชาอดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอย่างลังเลหลังจากรายงานข้อมูลของแผนกการขาย
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“กับฉันคุณสามารถพูดทุกเรื่องได้อย่างอิสระ คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด”
ฮั่นรุ่ยเชาพยักหน้าเล็กน้อยและพูดอย่างระมัดระวัง“หลังจากที่จางฉงจินจากไป เอ่อ… ผมจะอธิบายยังไงดี ดูเหมือนว่ามีพนักงานขายหลายคนลาออกตามไปด้วยและลูกค้าเหล่านั้นซึ่งเดิมทีอยู่ในความรับผิดชอบของจางฉงจินและลูกค้าคนอื่นๆในทีมของเขา พอผมติดต่อไป ดูเหมือนว่าลูกค้าเหล่านั้นจะมีทัศนคติต่อโรงงานเราเปลี่ยนไปเล็กน้อย…”
“โอ้อิทธิพลของเขาไม่ธรรมดาเลยแฮะ!” จี้เฟิงหัวเราะ เขาไม่แปลกใจเลย พนักงานขายที่ดีที่สามารถซื้อใจลูกค้าได้ ย่อมมีอำนาจทางใจต่อลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ บางครั้งพนักงานขายก็แยกวงออกไปตั้งบริษัทของตัวเอง ส่วนลูกค้าที่เขาเป็นผู้ดูแลก็ตามเขาไปอย่างว่าง่าย เรื่องพวกนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปกติมากในอุตสาหกรรมการขาย
“แต่ลูกค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของจางฉงจินผมว่าพวกเขาดูแปลกๆ…” ฮั่นรุ่ยเชากล่าวอย่างลังเล
“ช่างมันเถอะมันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น!” จี้เฟิงมองท่าทางที่ดูเป็นกังวลของฮั่นรุ่ยเชาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเขาเองก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะทำการแก้แค้นโรงงาน ก็ไม่แปลกที่เขาจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้พวกเรารับรู้และได้รับผลกระทบ ตราบใดที่ฟ้ายังไม่ถล่มดินยังไม่ทลาย! พนักงานขายลาออกก็จ้างใหม่ได้ ลูกค้าหายไป ก็หาใหม่ได้!”
ฮั่นรุ่ยเชารู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีเขาพยักหน้าและพูดว่า “เถ้าแก่ ผมจะพยายามรักษาลูกค้าไว้ให้ดีที่สุด ส่วนลูกค้าคนไหนที่ต้องการเปลี่ยนคู่ค้าแล้วผมไม่สามารถรั้งไว้ได้จริงๆ ผมจะวิ่งหาลูกค้ารายใหม่เพื่อชดเชยความสูญเสียนั้น!”
“ฉันเชื่อใจคุณ!”จี้เฟิงยิ้มอย่างเชื่อมั่น แต่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจเขา บางทีก่อนหน้านี้ที่การจัดการของโรงงานติดๆขัดๆ อาจมีจางฉงจินเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผล
ไม่อย่างนั้นทัศนคติของลูกค้าที่มีต่อโรงงานจะดูคลุมเครือได้ยังไง
เพราะไม่ว่าพนักงานขายจะเก่งแค่ไหนก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อความคิดของลูกค้าทุกคนได้แบบนี้!เว้นเสียแต่ว่า… จะมีเรื่อง ‘ผลประโยชน์’ ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่จำเป็นที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าพวกเขาจี้เฟิงปรบมือและกล่าวเสียงดัง “ถ้าฉันจำไม่ผิด ค่าคอมมิชชั่นของฝ่ายขายในตอนนี้จะอยู่ที่ 3% แต่ถ้าหากสามารถรักษายอดขายไว้ในระดับนี้ได้จนถึงไตรมาสหน้า ค่าคอมมิชชั่นของแผนกการขายจะกลายเป็น 5% และเงินเดือนของพนักงานคนอื่นๆจะเพิ่มขึ้นอีก 30%!”
ทุกคนถึงกับสะดุ้งอัตรานี้มันสูงมาก!
หากคำนวณอย่างคร่าวๆแล้วถ้าเป็นไปตามที่จี้เฟิงบอก แล้วหนึ่งปีต่อจากนี้ จี้เฟิงก็แทบจะไม่เหลือกำไรเลย!
“อย่างไรก็ตามหากพวกคุณต้องการที่จะได้เงินจำนวนนี้ พวกคุณคงต้องทำงานกันอย่างหนัก พวกคุณโอเคหรือเปล่า” จี้เฟิงหัวเราะ
“สบายมาก!”ทุกคนต่างพากันพยักหน้าหงึกหงักทันที
พูดเป็นเล่น!คนที่ไม่โอเคกับเงื่อนไขนี้คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ!
“เอาล่ะทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วหยางเต๋อจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ “จี้เฟิง แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่มันก็มีประสิทธิภาพมากมันกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานทุกคนได้ในทันที!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“วิธีกระตุ้นและแรงจูงใจเป็นเพียงสิ่งที่รองลงมา กุญแจสำคัญจริงๆก็คือรักษาพวกเขาไว้ให้ได้ แม้คนเหล่านี้จะรักและผูกพันกับโรงงาน แต่ความรู้สึกมันกินไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งประสิทธิภาพของโรงงานลดลง และแม้แต่ค่าจ้างคนงานก็จ่ายไม่ได้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครทนอยู่ การหางานในเจียงโจวก็ไม่ใช่เรื่องยาก!”
หยางเต๋อจ้าวยิ้มอย่างขมขื่นเขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่จี้เฟิงพูดนั้นเป็นความจริง
“ดังนั้นการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!” จี้เฟิงยิ้ม ครั้งแรกที่เขาเห็นบัญชีของเทียนหนานและความมุ่งมั่นของฮั่นรุ่ยเชาเขาก็ตระหนักได้ว่าพนักงานสองคนนี้ควรค่าแก่การรักษาไว้ พวกเขาเป็นคนที่ทำงานจริงๆ
จี้เฟิงรู้ดีว่าเรื่องในโรงงานยังต้องใช้เวลาอีกสักพักรวมถึงเวลาให้กับตัวเขาเองด้วย ดังนั้นในช่วงเวลานี้เขาจะต้องหาทางรักษาพนักงานเหล่านี้ไว้ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาสูญเสียความหวังและพากันลาออกไป!
“รอให้ฉันได้ลงมือทำอย่างเต็มที่เวลานั้นจะเป็นเวลาที่โรงงานเภสัชกรรมเถิงเฟยได้ก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์แล้วเริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงๆ!” จี้เฟิงยืนอยู่ริมหน้าต่างไขว้มือทั้งสองข้างไว้ข้างหลังและมองขึ้นไปบนฟ้า และมีรสชาติแห่งการเผชิญโลกของจริงรออยู่ข้างหน้า!
“แต่สิ่งแรกที่ฉันจะต้องทำคือการหาหนทางที่จะไปรักษาคุณปู่ให้ได้เสียก่อน!”จี้เฟิงแอบตัดสินใจว่าเขาจะเดินทางไปที่หยานจิง!