“งั้นเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าสหายตัวน้อยของเราเขาชื่อว่าอะไร”เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจ ผู้เฒ่าถังก็มองเขาด้วยสายตาเอือมระอา ลูกชายของเขามีทุกอย่างดีหมด จะเหลือก็แต่เรื่องความเฉลียวนี่แหละ บางครั้งเขาก็ซื่อตรงเกินที่จะมองอะไรให้มันออกนอกกรอบบ้าง
“จี้เฟิง…เขาสกุลจี้!” ถังเจี้ยนกั๋วโพล่งออกมาทันที
“แล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบทหารในสังกัดกองพลเรดแอร์โรว์”ผู้เฒ่าถังถามอีกครั้ง
“ก็เจิ้นผิง…แล้วทำไมจู่ๆพ่อถึงถามเรื่องนี้” ถังเจี้ยนกั๋วงงมากพ่อของเขาจะถามเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วไปทำไม? หรือเขาต้องการจะส่งคนไปบุกกองพลเรดแอร์โรว์?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ถังเจี้ยนกั๋วก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ด้วยนิสัยที่ใจร้อนของพ่อ บางทีเขาอาจจะออกคำสั่งให้ทำแบบนั้นจริงๆก็ได้!
เขารีบพูดทันทีว่า“พ่อครับ กองพลเรดแอร์โรว์ไม่ใช่กองพลที่เราจะฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆนะครับ นั่นคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในหยานจิง แถมจี้เจิ้นผิงยังเป็นคนรับผิดชอบอยู่….”
เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “…. พ่อ หรือพ่อกำลังจะบอกว่าสหายน้อยจี้คนนี้เป็นคนของตระกูลจี้แห่งหยานจิงนี้เหมือนกัน…”
“เจ้าไม่ได้ฟังตอนที่สหายน้อยจี้พูดหรอกรึ!ตอนที่ฉันขอให้เขาไปรักษาท่านหัวหน้า เขาบอกว่าปู่ของเขาก็ป่วยอยู่เช่นกัน เดิมทีฉันคิดว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…” ผู้เฒ่าถังยิ้มออกมาอย่างมีความหมาย “แล้วตอนนี้รถที่มารับเขาก็เป็นรถทหารที่มาจากกองเรดแอร์โรว์ที่นำโดยจี้เจิ้นผิงอีก เจ้าคิดว่าในโลกนี้มันจะมีความบังเอิญได้ขนาดนี้เลยเชียวหรือ” ผู้เฒ่าถังถามโดยไม่รอให้ถังเจี้ยนกั๋วได้ตอบ เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายน้อยจี้เป็นหลานชายของท่านหัวหน้า!”
“แต่..แต่ผมเคยเห็นหน้าหลานชายของท่านหัวหน้าใหญ่มาหมดทุกคนแล้ว แม้กระทั่งคนจากสายรองของตระกูลจี้ การนัดรวมตัวครั้งใหญ่ก่อนที่ท่านหัวหน้าจะป่วยหนัก คนของตระกูลจี้มากันครบทุกคนและผมก็ไม่เคยเห็นหน้าสหายน้อยจี้มาก่อนเลย!” ถังเจี้ยนกั๋วดูงุนงงมาก เขามั่นใจมากว่าเขาไม่เคยพบกับสหายน้อยจี้มาก่อน แต่รถที่มารับสหายน้อยจี้นั้นมาจากกองพลเรดแอร์โรว์ที่รับผิดชอบโดยจี้เจิ้นผิง ลูกชายคนสุดท้ายของหัวหน้าใหญ่ แล้วตอนนี้หัวหน้าใหญ่ก็ป่วยหนักตรงกับที่สหายน้อยจี้บอกว่าปู่ของเขาก็ป่วยหนักเช่นกัน….
ไม่ว่ายังไงหัวหน้าใหญ่ก็ไม่มีหลานชายคนนี้จริงๆ!ถังเจี้ยนกั๋วยังคงมั่นใจในจุดนี้
“ฮึ่ม!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ลูกชายของเขาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคนสมองหมู! ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ได้ใช้สมองบ้างรึเปล่า!”
ถังเจี้ยนกั๋วถูกด่าจนได้แต่ก้มหน้างุดเขาได้แต่พึมพำอยู่ในใจ ‘พ่อยังจะกล้าว่าฉันแบบนี้จริงๆเหรอ สมัยตัวเองหนุ่มๆ ก็ไม่ต่างจากฉันตอนนี้นักหรอกหน่า! เผลอๆอาจจะหนักกว่าฉันซะอีก ใช้อารมณ์มากกว่าสมอง!’
ถังเจี้ยนกั๋วยังไม่ลืมฉายาของผู้เป็นพ่อเสือถังผู้โด่งดัง!
แถมฉายานี้ผู้ที่เป็นคนตั้งให้ยังเป็นหัวหน้าใหญ่เองอีกต่างหาก!
แม้ว่าชื่อนี้จะยกย่องความกล้าหาญและรูปแบบในการสู้รบของผู้เฒ่าถังเป็นหลักเหมือนกับเสือโคร่งที่ลงมาจากภูเขาตราบใดที่อยู่ในสงครามเขาจะไม่มีวันถอยหนี แต่ในทางกลับกันมันก็แฝงความหมายที่ว่าผู้เฒ่าถังนั้นดุร้ายเหมือนเสือ เขาเลือกที่จะใช้กำลังและสัญชาตญาณมากกว่าสมอง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้รับฉายาว่า จิ้งจอกถัง!
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ถังเจี้ยนกั๋วเพียงแค่คิดในใจเท่านั้นเขาไม่กล้าพูดออกไป ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าผู้เฒ่าถังไม่ถลกหนังของเขาออก!
ผู้เฒ่าถังไม่ได้สนใจสีหน้าของลูกชายเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ในฐานะทหารไม่เพียงแต่ต้องมีคุณสมบัติที่เก่งกาจทางการสู้รบเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจกับข้อมูลทุกด้าน โดยเฉพาะข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับท่านหัวหน้าใหญ่ เจ้ายังต้องให้ความสนใจมากกว่านี้ เพราะเรื่องนี้มันก็เป็นการแบ่งเบาความกังวลให้กับหัวหน้าใหญ่ด้วยเหมือนกัน!”
“ครับพ่อคำสอนของพ่อถังเจี้ยนกั๋วคนนี้จะจำไว้ให้แม่น!” ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าอย่างจริงจัง แม้ว่าเขาจะถูกพ่อตำหนิในวัยกลางคน แต่ถังเจี้ยนกั๋วก็รับฟังคำสอนของผู้เป็นพ่ออย่างตั้งใจ
“ข้าขอถามเจ้าหน่อยในช่วงที่ผ่านมาในบ้านของหัวหน้าใหญ่มีเรื่องอะไรที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นบ้าง” เมื่อผู้เฒ่าถังเห็นว่ามีผู้คนโดยรอบไม่มากนัก เขาจึงวางแผนจะสั่งสอนลูกชายให้ดี เพราะการเดินทางมาหยานจิงในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วถ้าหากเขาไม่อธิบายให้ถังเจี้ยนกั๋วเข้าใจให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นถังเจี้ยนกั๋วอาจจะลงมือทำอะไรโดยที่ไม่รู้แล้วจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านของหัวหน้าใหญ่”ถังเจี้ยนกั๋วคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วพูดว่า “เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้… นอกจากเรื่องที่หัวหน้าใหญ่ป่วยแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”
“นั่นก็ใช่แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งตั้งแต่ที่หัวหน้าป่วยหนักก็มีปัญหาขัดแย้งภายในตระกูลจี้ที่เกี่ยวข้องกับรุ่นที่สาม” ผู้เฒ่าถังกล่าว “เป็นการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำระหว่างสายเลือดหลักและสายเลือดรอง!”
“ผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเมื่อเร็วๆนี้พี่เจิ้นหัวกับน้องเจิ้นผิงก็ดูเหมือนจะถูกโจมตีอยู่บ้าง ส่วนพี่เจิ้นกั๋วก็ปกป้องเจียงโจว เพื่อไว้เป็นกำลังเสริมให้กับพี่เจิ้นหัว…” ถังเจี้ยนกั๋วพูดขึ้นทันที “แต่พ่อครับ พ่อไม่ได้บอกเองเหรอว่าถ้าสายเลือดหลักกับสายเลือดรองของตระกูลจี้มีปัญหาขัดแย้งกัน พวกเราจะไม่แสดงท่าทีใดๆ จนกว่าพวกเราได้พบท่านหัวหน้าใหญ่แล้วค่อยว่ากัน”
“ใช่แล้วเราจะไม่เข้าข้างหรือสนับสนุนฝ่ายใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีใครพูดอะไรก็ตาม ข้าไม่อยากโดนเด็กรุ่นหลานถอนหงอกหรอกนะ ดังนั้นรอฟังจากปากท่านหัวหน้าดีที่สุด!” ผู้เฒ่าถังแค่นเสียงอย่างเย็นชา “คนในตระกูลจี้หลายคนล้วนเป็นพวกเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก แม้จะเป็นผละประโยชน์เพียงเล็กน้อย ตั้งแต่ที่หัวหน้าป่วยหนักคนในตระกูลจี้หลายคนก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวหน้าฉันคงจะฆ่าพวกเขาทีละคน!”
ถังเจี้ยนกั๋วยิ้มอย่างขมขื่นในใจและรีบพูดเกลี้ยกล่อมผู้เฒ่าถัง“ใจเย็นๆก่อนพ่อไว้เราได้เจอกับหัวหน้า ถึงตอนนั้นจะเอายังไงก็ค่อยว่ากัน!”
ผู้เฒ่าถังสูดลมหายใจอย่างช้าๆอีกสองสามครั้งถึงจะช่วยระงับโทสะลงได้ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจี้ยนกั๋วเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่สายเลือดรองของตระกูลจี้กล้าแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นที่สามกับสายตรงก็เพราะภรรยาของจี้เจิ้นหัวกลับมาแล้ว อีกทั้งยังพาลูกชายกลับมาด้วย!”
“อะไรนะ!”
ถังเจี้ยนกั๋วตกใจทันทีปกติเขาอยู่แต่ในเขตทหาร ไม่ค่อยรู้เรื่องของคนอื่นๆภายในตระกูลจี้ อีกทั้งเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องโลกภายนอกอยู่แล้ว เพราะแค่เรื่องการจัดการกองทัพก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวที่น่าตกใจนี้
“เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่เจิ้นหัวใช่มั้ยครับ”ถังเจี้ยนกั๋วถามทันที
ผู้เฒ่าถังพยักหน้า“อืม ได้รับการยืนยันแล้วอย่างไรก็ตามทางสายรองก็เห็นว่าเด็กคนนี้ เกิดและเติบโตมาจากชนชั้นรากหญ้าไม่เหมาะที่จะมาเป็น ผู้นำตระกูลจี้ในอนาคตดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องยากสำหรับสายตรง” “ตลกดี!”ถังเจี้ยนกั๋วแค่นเสียงอย่างเหยียดหยาม “ถ้าไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านหัวหน้าใหญ่ ที่ได้ติดตามจักรพรรดิไท่ซู ไปสู้รบจนได้ชัยชนะตั้งแต่เหนือจรดใต้จนได้รับการแต่งตั้ง นอกจากท่านหัวหน้าแล้ว มีลูกหลานตระกูลจี้คนไหนบ้างที่ไม่ใช่รากหญ้า ไร้สาระสิ้นดี!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า“ใช่แล้วน่าขันยิ่งนักแต่ตัวตนของพวกเขาในเวลานี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจี้! ดังนั้นเราจึงทำได้แค่รอฟังหัวหน้าเท่านั้น และเราจะไม่แสดงท่าทีใดๆจนกว่าหัวหน้าจะพูดชี้ชัดในเรื่องนี้!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสามพี่น้องจี้เจิ้นหัว แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรนำความรู้สึกส่วนตัวมามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นอาจมีผลกระทบที่คาดไม่ถึงตามมา
“พ่อครับงั้นก็หมายความว่าสหายน้อยจี้เป็นลูกชายของพี่เจิ้นหัวใช่มั้ยครับ”ถังเจี้ยนกั๋วถาม
“น่าจะเป็นเช่นนั้น!”ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเด็กแบบนี้โผล่มาในรุ่นที่สาม หึหึ…”
ถังเจี้ยนกั๋วรู้สึกใจชื้นขึ้นมากเมื่อเห็นว่าพ่อของเขายิ้มอย่างมีความสุขแน่นอนว่าเขารู้ว่าการที่พ่อของเขายิ้มเช่นนี้นั่นก็หมายความว่าเขาพึงพอใจกับลูกชายของพี่เจิ้นหัวมาก นี่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดี!
เมื่อนึกถึงอาการป่วยของผู้อาวุโสจี้ถังเจี้ยนกั๋วก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นกังวล“พ่อ ถ้าหัวหน้า… ผมหมายถึง… ผมอยากรู้ว่าพ่อจะสนับสนุนใคร”
“อย่าพูดจาเพ้อเจ้อ!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ลูกชายทันที “ท่านหัวหน้าจะไม่เป็นไร สหายน้อยจี้มาถึงหยานจิงแล้ว ถ้าเขาสามารถช่วยตาแก่ใกล้ฝั่งอย่างข้าได้ ทำไมเขาถึงจะช่วยชีวิตของหัวหน้าไม่ได้!”
ถังเจี้ยนกั๋วตกใจจนหัวหดและพึมพำเสียงเบา“ผมแค่พูดว่า ถ้า…” เขาได้แต่บ่นอยู่ในใจว่า ‘ก็พ่อเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยู่มาจนอายุปูนนี้ได้ก็กำไรชีวิตมากแล้ว ไม่เคยสนใจความเป็นความตายของตัวเองเลย แต่ทำไมพอพูดถึงความเป็นความตายของท่านหัวหน้าใหญ่แล้วถึงได้โมโหขนาดนี้ล่ะ’
แต่ถังเจี้ยนกั๋วก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขากับท่านหัวหน้าใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สหายร่วมรบธรรมดาๆพ่อของเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสจี้ตั้งแต่พวกเขายังเป็นวัยรุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหัวหน้าเคยให้ที่ดิน บ้านและวัวกับพ่อของเขาในตอนนั้นก็เกรงว่าพ่อของเขาคงจะอดตายไปนานแล้ว เขาก็คงจะไม่ได้เกิดด้วยซ้ำ และหลังจากนั้นพ่อของเขาก็ได้ช่วยชีวิตท่านหัวหน้าใหญ่ไว้หลายครั้ง ความสัมพันธ์ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินกว่าบุคคลภายนอกจะเข้าใจได้
“แต่ถ้าหัวหน้าใหญ่ไม่สามารถบอกได้ด้วยตัวเองจริงๆ….”ริมฝีปากของผู้เฒ่าถังสั่นเล็กน้อย
ถังเจี้ยนกั๋วตั้งใจฟังทันทีคำพูดต่อจากนี้ไม่ต่างจากเป็นคำสั่งอย่างเป็นทางการจากพ่อของเขา เขาย่อมต้องจริงจังกับเรื่องนี้
“สหายน้อยจี้ได้ช่วยชีวิตของข้าไว้!”ผู้เฒ่าถังกล่าวเสียงดัง!
หัวใจของถังเจี้ยนกั๋วสั่นสะท้านในทันทีและทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา “เจี้ยนกั๋วเข้าใจแล้ว!”
……………
แต่จี้เฟิงในขณะนี้ไม่รู้ว่าการทำความดีโดยไม่ตั้งใจของเขาทำให้เขาได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมากขนาดไหนนี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ตอนนี้จี้เฟิงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้เพราะเขาได้เห็นอาที่ไม่ได้เจอหน้ากันมากกว่าครึ่งปีอีกครั้งอาจี้เจิ้นผิง!
ฮุ่ยอี้พาจี้เฟิงไปที่ค่ายทหารแน่นอนว่าระหว่างทางเขาได้พบกับยามมากมาย แม้ว่าเขาจะเดินทางมาด้วยรถทหารแต่เขาก็ต้องมีบัตรผ่านและนำบัตรประจำตัวออกมาเพื่อลงทะเบียนที่จุดตรวจทุกจุด
“สมแล้วที่เป็นสถานที่ของทหารเข้มงวดจริงๆ!” จี้เฟิงแอบรู้สึกทึ่ง เขาเหลือบมองอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยพวกนั้นและอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับๆ การป้องกันของที่นี่หนาแน่นเกินไปแถมยามรักษาการณ์ทุกคนก็ติดอาวุธที่มีกระสุนจริง
จี้เฟิงแอบคิดว่าถ้าเขาตัดสินใจที่จะบุกเข้ามา…เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาคงเทียบกับความแข็งแกร่งในการป้องกันของที่นี่ไม่ได้แม้แต่สามในสิบส่วน
“พอมาเห็นแบบนี้แล้วระบบการป้องกันของผู้อาวุโสจี้นั้นแข็งแกร่งมากโชคดีที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้เลือกที่จะแอบเข้ามา!” จี้เฟิงอดดีใจไม่ได้เขารู้สึกดีที่ตัวเองตัดสินใจถูก “หากไม่มีความมั่นใจก็อย่างตัดสินใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องรักษาสติไว้ตลอดเวลายังไงก็ไม่มีทางพลาด!”
ที่ด้านหน้าอาคารสำนักงานจี้เจิ้นผิงยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอทักทายจี้เฟิง
พอเห็นอาของเขาอีกครั้งจี้เฟิงก็รู้สึกดีใจมาก เขารีบลงจากรถ มาหยุดอยู่ตรงหน้าของจี้เจิ้นผิง “อาสาม!”
จี้เจิ้นผิงก็มองจี้เฟิงด้วยความรู้สึกรักใคร่เช่นกันเขาไม่มีลูกชายส่วนหลานชายคนนี้ก็ถูกชะตากับเขามากดังนั้นจี้เจิ้นผิงจึงมองจี้เฟิงไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ
จี้เจิ้นผิงยื่นมือไปจับบ่าทั้งสองข้างของจี้เฟิงสองสามครั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “เจ้าเด็กตัวแสบ! แข็งแรงขึ้นไม่น้อยเลย ดีมากๆ!”
“จี้เฟิง…เขาสกุลจี้!” ถังเจี้ยนกั๋วโพล่งออกมาทันที
“แล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบทหารในสังกัดกองพลเรดแอร์โรว์”ผู้เฒ่าถังถามอีกครั้ง
“ก็เจิ้นผิง…แล้วทำไมจู่ๆพ่อถึงถามเรื่องนี้” ถังเจี้ยนกั๋วงงมากพ่อของเขาจะถามเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วไปทำไม? หรือเขาต้องการจะส่งคนไปบุกกองพลเรดแอร์โรว์?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ถังเจี้ยนกั๋วก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ด้วยนิสัยที่ใจร้อนของพ่อ บางทีเขาอาจจะออกคำสั่งให้ทำแบบนั้นจริงๆก็ได้!
เขารีบพูดทันทีว่า“พ่อครับ กองพลเรดแอร์โรว์ไม่ใช่กองพลที่เราจะฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆนะครับ นั่นคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในหยานจิง แถมจี้เจิ้นผิงยังเป็นคนรับผิดชอบอยู่….”
เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “…. พ่อ หรือพ่อกำลังจะบอกว่าสหายน้อยจี้คนนี้เป็นคนของตระกูลจี้แห่งหยานจิงนี้เหมือนกัน…”
“เจ้าไม่ได้ฟังตอนที่สหายน้อยจี้พูดหรอกรึ!ตอนที่ฉันขอให้เขาไปรักษาท่านหัวหน้า เขาบอกว่าปู่ของเขาก็ป่วยอยู่เช่นกัน เดิมทีฉันคิดว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…” ผู้เฒ่าถังยิ้มออกมาอย่างมีความหมาย “แล้วตอนนี้รถที่มารับเขาก็เป็นรถทหารที่มาจากกองเรดแอร์โรว์ที่นำโดยจี้เจิ้นผิงอีก เจ้าคิดว่าในโลกนี้มันจะมีความบังเอิญได้ขนาดนี้เลยเชียวหรือ” ผู้เฒ่าถังถามโดยไม่รอให้ถังเจี้ยนกั๋วได้ตอบ เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายน้อยจี้เป็นหลานชายของท่านหัวหน้า!”
“แต่..แต่ผมเคยเห็นหน้าหลานชายของท่านหัวหน้าใหญ่มาหมดทุกคนแล้ว แม้กระทั่งคนจากสายรองของตระกูลจี้ การนัดรวมตัวครั้งใหญ่ก่อนที่ท่านหัวหน้าจะป่วยหนัก คนของตระกูลจี้มากันครบทุกคนและผมก็ไม่เคยเห็นหน้าสหายน้อยจี้มาก่อนเลย!” ถังเจี้ยนกั๋วดูงุนงงมาก เขามั่นใจมากว่าเขาไม่เคยพบกับสหายน้อยจี้มาก่อน แต่รถที่มารับสหายน้อยจี้นั้นมาจากกองพลเรดแอร์โรว์ที่รับผิดชอบโดยจี้เจิ้นผิง ลูกชายคนสุดท้ายของหัวหน้าใหญ่ แล้วตอนนี้หัวหน้าใหญ่ก็ป่วยหนักตรงกับที่สหายน้อยจี้บอกว่าปู่ของเขาก็ป่วยหนักเช่นกัน….
ไม่ว่ายังไงหัวหน้าใหญ่ก็ไม่มีหลานชายคนนี้จริงๆ!ถังเจี้ยนกั๋วยังคงมั่นใจในจุดนี้
“ฮึ่ม!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ลูกชายของเขาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคนสมองหมู! ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ได้ใช้สมองบ้างรึเปล่า!”
ถังเจี้ยนกั๋วถูกด่าจนได้แต่ก้มหน้างุดเขาได้แต่พึมพำอยู่ในใจ ‘พ่อยังจะกล้าว่าฉันแบบนี้จริงๆเหรอ สมัยตัวเองหนุ่มๆ ก็ไม่ต่างจากฉันตอนนี้นักหรอกหน่า! เผลอๆอาจจะหนักกว่าฉันซะอีก ใช้อารมณ์มากกว่าสมอง!’
ถังเจี้ยนกั๋วยังไม่ลืมฉายาของผู้เป็นพ่อเสือถังผู้โด่งดัง!
แถมฉายานี้ผู้ที่เป็นคนตั้งให้ยังเป็นหัวหน้าใหญ่เองอีกต่างหาก!
แม้ว่าชื่อนี้จะยกย่องความกล้าหาญและรูปแบบในการสู้รบของผู้เฒ่าถังเป็นหลักเหมือนกับเสือโคร่งที่ลงมาจากภูเขาตราบใดที่อยู่ในสงครามเขาจะไม่มีวันถอยหนี แต่ในทางกลับกันมันก็แฝงความหมายที่ว่าผู้เฒ่าถังนั้นดุร้ายเหมือนเสือ เขาเลือกที่จะใช้กำลังและสัญชาตญาณมากกว่าสมอง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้รับฉายาว่า จิ้งจอกถัง!
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ถังเจี้ยนกั๋วเพียงแค่คิดในใจเท่านั้นเขาไม่กล้าพูดออกไป ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าผู้เฒ่าถังไม่ถลกหนังของเขาออก!
ผู้เฒ่าถังไม่ได้สนใจสีหน้าของลูกชายเขายังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ในฐานะทหารไม่เพียงแต่ต้องมีคุณสมบัติที่เก่งกาจทางการสู้รบเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจกับข้อมูลทุกด้าน โดยเฉพาะข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับท่านหัวหน้าใหญ่ เจ้ายังต้องให้ความสนใจมากกว่านี้ เพราะเรื่องนี้มันก็เป็นการแบ่งเบาความกังวลให้กับหัวหน้าใหญ่ด้วยเหมือนกัน!”
“ครับพ่อคำสอนของพ่อถังเจี้ยนกั๋วคนนี้จะจำไว้ให้แม่น!” ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าอย่างจริงจัง แม้ว่าเขาจะถูกพ่อตำหนิในวัยกลางคน แต่ถังเจี้ยนกั๋วก็รับฟังคำสอนของผู้เป็นพ่ออย่างตั้งใจ
“ข้าขอถามเจ้าหน่อยในช่วงที่ผ่านมาในบ้านของหัวหน้าใหญ่มีเรื่องอะไรที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นบ้าง” เมื่อผู้เฒ่าถังเห็นว่ามีผู้คนโดยรอบไม่มากนัก เขาจึงวางแผนจะสั่งสอนลูกชายให้ดี เพราะการเดินทางมาหยานจิงในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วถ้าหากเขาไม่อธิบายให้ถังเจี้ยนกั๋วเข้าใจให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นถังเจี้ยนกั๋วอาจจะลงมือทำอะไรโดยที่ไม่รู้แล้วจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านของหัวหน้าใหญ่”ถังเจี้ยนกั๋วคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วพูดว่า “เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้… นอกจากเรื่องที่หัวหน้าใหญ่ป่วยแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”
“นั่นก็ใช่แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งตั้งแต่ที่หัวหน้าป่วยหนักก็มีปัญหาขัดแย้งภายในตระกูลจี้ที่เกี่ยวข้องกับรุ่นที่สาม” ผู้เฒ่าถังกล่าว “เป็นการแย่งชิงตำแหน่งผู้นำระหว่างสายเลือดหลักและสายเลือดรอง!”
“ผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเมื่อเร็วๆนี้พี่เจิ้นหัวกับน้องเจิ้นผิงก็ดูเหมือนจะถูกโจมตีอยู่บ้าง ส่วนพี่เจิ้นกั๋วก็ปกป้องเจียงโจว เพื่อไว้เป็นกำลังเสริมให้กับพี่เจิ้นหัว…” ถังเจี้ยนกั๋วพูดขึ้นทันที “แต่พ่อครับ พ่อไม่ได้บอกเองเหรอว่าถ้าสายเลือดหลักกับสายเลือดรองของตระกูลจี้มีปัญหาขัดแย้งกัน พวกเราจะไม่แสดงท่าทีใดๆ จนกว่าพวกเราได้พบท่านหัวหน้าใหญ่แล้วค่อยว่ากัน”
“ใช่แล้วเราจะไม่เข้าข้างหรือสนับสนุนฝ่ายใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีใครพูดอะไรก็ตาม ข้าไม่อยากโดนเด็กรุ่นหลานถอนหงอกหรอกนะ ดังนั้นรอฟังจากปากท่านหัวหน้าดีที่สุด!” ผู้เฒ่าถังแค่นเสียงอย่างเย็นชา “คนในตระกูลจี้หลายคนล้วนเป็นพวกเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก แม้จะเป็นผละประโยชน์เพียงเล็กน้อย ตั้งแต่ที่หัวหน้าป่วยหนักคนในตระกูลจี้หลายคนก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวหน้าฉันคงจะฆ่าพวกเขาทีละคน!”
ถังเจี้ยนกั๋วยิ้มอย่างขมขื่นในใจและรีบพูดเกลี้ยกล่อมผู้เฒ่าถัง“ใจเย็นๆก่อนพ่อไว้เราได้เจอกับหัวหน้า ถึงตอนนั้นจะเอายังไงก็ค่อยว่ากัน!”
ผู้เฒ่าถังสูดลมหายใจอย่างช้าๆอีกสองสามครั้งถึงจะช่วยระงับโทสะลงได้ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจี้ยนกั๋วเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่สายเลือดรองของตระกูลจี้กล้าแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นที่สามกับสายตรงก็เพราะภรรยาของจี้เจิ้นหัวกลับมาแล้ว อีกทั้งยังพาลูกชายกลับมาด้วย!”
“อะไรนะ!”
ถังเจี้ยนกั๋วตกใจทันทีปกติเขาอยู่แต่ในเขตทหาร ไม่ค่อยรู้เรื่องของคนอื่นๆภายในตระกูลจี้ อีกทั้งเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องโลกภายนอกอยู่แล้ว เพราะแค่เรื่องการจัดการกองทัพก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวที่น่าตกใจนี้
“เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่เจิ้นหัวใช่มั้ยครับ”ถังเจี้ยนกั๋วถามทันที
ผู้เฒ่าถังพยักหน้า“อืม ได้รับการยืนยันแล้วอย่างไรก็ตามทางสายรองก็เห็นว่าเด็กคนนี้ เกิดและเติบโตมาจากชนชั้นรากหญ้าไม่เหมาะที่จะมาเป็น ผู้นำตระกูลจี้ในอนาคตดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องยากสำหรับสายตรง” “ตลกดี!”ถังเจี้ยนกั๋วแค่นเสียงอย่างเหยียดหยาม “ถ้าไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านหัวหน้าใหญ่ ที่ได้ติดตามจักรพรรดิไท่ซู ไปสู้รบจนได้ชัยชนะตั้งแต่เหนือจรดใต้จนได้รับการแต่งตั้ง นอกจากท่านหัวหน้าแล้ว มีลูกหลานตระกูลจี้คนไหนบ้างที่ไม่ใช่รากหญ้า ไร้สาระสิ้นดี!”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า“ใช่แล้วน่าขันยิ่งนักแต่ตัวตนของพวกเขาในเวลานี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจี้! ดังนั้นเราจึงทำได้แค่รอฟังหัวหน้าเท่านั้น และเราจะไม่แสดงท่าทีใดๆจนกว่าหัวหน้าจะพูดชี้ชัดในเรื่องนี้!”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสามพี่น้องจี้เจิ้นหัว แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรนำความรู้สึกส่วนตัวมามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นอาจมีผลกระทบที่คาดไม่ถึงตามมา
“พ่อครับงั้นก็หมายความว่าสหายน้อยจี้เป็นลูกชายของพี่เจิ้นหัวใช่มั้ยครับ”ถังเจี้ยนกั๋วถาม
“น่าจะเป็นเช่นนั้น!”ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเด็กแบบนี้โผล่มาในรุ่นที่สาม หึหึ…”
ถังเจี้ยนกั๋วรู้สึกใจชื้นขึ้นมากเมื่อเห็นว่าพ่อของเขายิ้มอย่างมีความสุขแน่นอนว่าเขารู้ว่าการที่พ่อของเขายิ้มเช่นนี้นั่นก็หมายความว่าเขาพึงพอใจกับลูกชายของพี่เจิ้นหัวมาก นี่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดี!
เมื่อนึกถึงอาการป่วยของผู้อาวุโสจี้ถังเจี้ยนกั๋วก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นกังวล“พ่อ ถ้าหัวหน้า… ผมหมายถึง… ผมอยากรู้ว่าพ่อจะสนับสนุนใคร”
“อย่าพูดจาเพ้อเจ้อ!”ผู้เฒ่าถังถลึงตาใส่ลูกชายทันที “ท่านหัวหน้าจะไม่เป็นไร สหายน้อยจี้มาถึงหยานจิงแล้ว ถ้าเขาสามารถช่วยตาแก่ใกล้ฝั่งอย่างข้าได้ ทำไมเขาถึงจะช่วยชีวิตของหัวหน้าไม่ได้!”
ถังเจี้ยนกั๋วตกใจจนหัวหดและพึมพำเสียงเบา“ผมแค่พูดว่า ถ้า…” เขาได้แต่บ่นอยู่ในใจว่า ‘ก็พ่อเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยู่มาจนอายุปูนนี้ได้ก็กำไรชีวิตมากแล้ว ไม่เคยสนใจความเป็นความตายของตัวเองเลย แต่ทำไมพอพูดถึงความเป็นความตายของท่านหัวหน้าใหญ่แล้วถึงได้โมโหขนาดนี้ล่ะ’
แต่ถังเจี้ยนกั๋วก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขากับท่านหัวหน้าใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สหายร่วมรบธรรมดาๆพ่อของเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสจี้ตั้งแต่พวกเขายังเป็นวัยรุ่น ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหัวหน้าเคยให้ที่ดิน บ้านและวัวกับพ่อของเขาในตอนนั้นก็เกรงว่าพ่อของเขาคงจะอดตายไปนานแล้ว เขาก็คงจะไม่ได้เกิดด้วยซ้ำ และหลังจากนั้นพ่อของเขาก็ได้ช่วยชีวิตท่านหัวหน้าใหญ่ไว้หลายครั้ง ความสัมพันธ์ที่มีค่ามากกว่าชีวิตของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินกว่าบุคคลภายนอกจะเข้าใจได้
“แต่ถ้าหัวหน้าใหญ่ไม่สามารถบอกได้ด้วยตัวเองจริงๆ….”ริมฝีปากของผู้เฒ่าถังสั่นเล็กน้อย
ถังเจี้ยนกั๋วตั้งใจฟังทันทีคำพูดต่อจากนี้ไม่ต่างจากเป็นคำสั่งอย่างเป็นทางการจากพ่อของเขา เขาย่อมต้องจริงจังกับเรื่องนี้
“สหายน้อยจี้ได้ช่วยชีวิตของข้าไว้!”ผู้เฒ่าถังกล่าวเสียงดัง!
หัวใจของถังเจี้ยนกั๋วสั่นสะท้านในทันทีและทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา “เจี้ยนกั๋วเข้าใจแล้ว!”
……………
แต่จี้เฟิงในขณะนี้ไม่รู้ว่าการทำความดีโดยไม่ตั้งใจของเขาทำให้เขาได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมากขนาดไหนนี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ตอนนี้จี้เฟิงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้เพราะเขาได้เห็นอาที่ไม่ได้เจอหน้ากันมากกว่าครึ่งปีอีกครั้งอาจี้เจิ้นผิง!
ฮุ่ยอี้พาจี้เฟิงไปที่ค่ายทหารแน่นอนว่าระหว่างทางเขาได้พบกับยามมากมาย แม้ว่าเขาจะเดินทางมาด้วยรถทหารแต่เขาก็ต้องมีบัตรผ่านและนำบัตรประจำตัวออกมาเพื่อลงทะเบียนที่จุดตรวจทุกจุด
“สมแล้วที่เป็นสถานที่ของทหารเข้มงวดจริงๆ!” จี้เฟิงแอบรู้สึกทึ่ง เขาเหลือบมองอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยพวกนั้นและอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับๆ การป้องกันของที่นี่หนาแน่นเกินไปแถมยามรักษาการณ์ทุกคนก็ติดอาวุธที่มีกระสุนจริง
จี้เฟิงแอบคิดว่าถ้าเขาตัดสินใจที่จะบุกเข้ามา…เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาคงเทียบกับความแข็งแกร่งในการป้องกันของที่นี่ไม่ได้แม้แต่สามในสิบส่วน
“พอมาเห็นแบบนี้แล้วระบบการป้องกันของผู้อาวุโสจี้นั้นแข็งแกร่งมากโชคดีที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้เลือกที่จะแอบเข้ามา!” จี้เฟิงอดดีใจไม่ได้เขารู้สึกดีที่ตัวเองตัดสินใจถูก “หากไม่มีความมั่นใจก็อย่างตัดสินใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องรักษาสติไว้ตลอดเวลายังไงก็ไม่มีทางพลาด!”
ที่ด้านหน้าอาคารสำนักงานจี้เจิ้นผิงยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอทักทายจี้เฟิง
พอเห็นอาของเขาอีกครั้งจี้เฟิงก็รู้สึกดีใจมาก เขารีบลงจากรถ มาหยุดอยู่ตรงหน้าของจี้เจิ้นผิง “อาสาม!”
จี้เจิ้นผิงก็มองจี้เฟิงด้วยความรู้สึกรักใคร่เช่นกันเขาไม่มีลูกชายส่วนหลานชายคนนี้ก็ถูกชะตากับเขามากดังนั้นจี้เจิ้นผิงจึงมองจี้เฟิงไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ
จี้เจิ้นผิงยื่นมือไปจับบ่าทั้งสองข้างของจี้เฟิงสองสามครั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ “เจ้าเด็กตัวแสบ! แข็งแรงขึ้นไม่น้อยเลย ดีมากๆ!”