ผู้อาวุโสอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“ฮ่าฮ่าฮ่า~!”
เมื่ออดีตในช่วงสงครามผู้อาวุโสเฒ่าได้รอดพ้นมาจากความตายจนแทบนับครั้งไม่ถ้วนผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ต้องต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่ามันจะไม่มีวันจบ และในท้ายที่สุดก็มีผู้เหลือรอดชีวิตกลับมาเพียง 200 คนเท่านั้น แต่ในตอนนั้นผู้อาวุโสเฒ่าไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึกมากนัก
แต่มาตอนนี้ผู้อาวุโสเฒ่ากลับรู้สึกทั้งโกรธทั้งเสียใจ
มีกี่คนที่คาดหวังให้เขารอดและมีกี่คนที่หวังว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกและหลับไปตลอดกาล!
แต่ทว่า…
ผู้อาวุโสเฒ่าหันหน้าไปมองจี้เฟิงที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่มคนนี้ หลานชายของเขาได้คว้าตัวเขากลับมาจากประตูผี และถึงกับตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะปกป้องเขาให้อยู่โดยไร้ความกังวลภายในสิบปี!
หัวใจของผู้อาวุโสเฒ่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจความต้องการของชายชราคนหนึ่งคงไม่มีอะไรไปมากกว่าการที่ได้เห็นลูกๆหลานๆของเขาเติบโตจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน!
เขาภาคภูมิใจในหลานชายคนนี้มากจริงๆ!
ผู้อาวุโสเฒ่าทอดถอนใจออกมาอีกครั้งในตอนที่เขาแข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุด เขาไม่มีโอกาสได้ดูแลหลานชายของเขาอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีปีกที่คอยปกป้องเขาจากลมและฝน และไม่มีใครสนับสนุนเขา!
เด็กชายผู้ดื้อรั้นที่เกิดและเติบโตมาจากชนชั้นรากหญ้าในสายตาคนอื่นได้ต่อสู้ดิ้นรนจนรอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยบ่าที่ยังอ่อนแอแต่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเพื่อที่จะทำให้หัวของเขาโผล่พ้นขึ้นมาจากโคลนตมแห่งความยากลำบาก เลือดอันเข้มข้นในร่างกายและจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาฟ้าลิขิตเพราะหวังว่าชีวิตของตนเองและแม่จะดีขึ้น เขายอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องแม่ของเขา!
และตอนนี้หลานชายตัวน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ใช้มือดึงตาแก่อย่างเขาให้รอดพ้นจากปากประตูผีและไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้ไปทำลายความฝันของใครบ้าง!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ผู้อาวุโสเฒ่าก็รู้สึกผิดไปพร้อมๆกับความภาคภูมิใจ!
เขาแก่มากแล้วได้อยู่จนเห็นลูกหลานเติบโตมาเป็นอย่างดีจะมีอะไรที่ทำให้ชายชราคนหนึ่งมีความสุขไปได้มากกว่านี้อีก
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจที่เอ่อล้นออกมาจากอกของผู้อาวุโสเฒ่าพลันทำให้เขายิ้มตามไปด้วย คุณปู่ภูมิใจที่หลานชายเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ปู่และหลานชายต่างมีออร่าจางๆของการผ่านโลกอันโหดร้าย มันทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความทะเยอทะยานอันสูงส่ง!
หลังจากนั้นไม่นานผู้อาวุโสเฒ่าก็ถามขึ้นว่า“ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอมไม่ใช่หรือ ทำไมเสี่ยวหยูถึงไปเจียวโจวเวลานี้”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“เสี่ยวหยูอยากไปเที่ยวหาผมน่ะครับ”
“ตอนนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วแฟนตัวน้อยทั้งสองของเจ้าได้กลับมาพร้อมกับเสี่ยวหยูด้วยหรือเปล่าล่ะ” ผู้อาวุโสจี้ถามอีกครั้ง
จี้เฟิงหน้าแดงทันทีช่างเป็นสีหน้าที่หาได้ยากยิ่งจากจี้เฟิงดูท่าว่าเรื่องส่วนตัวของเขาจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป เพราะแม้แต่คุณปู่ก็ยังรู้เรื่องที่เขามีแฟนสาวสองคน… แม้จะละอายอยู่บ้าง แต่จี้เฟิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจด้วยเช่นกัน คุณปู่รู้เรื่องเขาดีขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณปู่ห่วงใยเขามากขนาดไหน
“ตั้งแต่ที่ตาแก่อย่างข้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยวหยูไม่มีความสุขเมื่ออยู่หยานจิง!” ผู้อาวุโสเฒ่าพูดด้วยเสียงต่ำ หัวใจของจี้เฟิงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเขาประเมินสายตาคุณปู่ของเขาต่ำเกินไป เขาคิดไม่ถึงว่าคุณปู่ที่อยู่ในโรงพยาบาลมานานขนาดนี้ แต่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าทำไมเสี่ยวหยูถึงออกจากหยานจิงไป
และในขณะเดียวกันเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของคุณปู่ถึงแม้ใบหน้าและน้ำเสียงของคุณปู่จะไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด แต่จี้เฟิงกลับสัมผัสได้โดยง่าย บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกแปลกๆที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“คุณปู่เสี่ยวหยูจะต้องดีใจมากแน่ๆที่ได้เจอคุณปู่ เธอยังน่ารักมาก!” จี้เฟิงไม่รู้จะตอบบทสนทนาไปว่าอย่างไรดีเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
แต่จากความรู้สึกของคุณปู่ที่จี้เฟิงสัมผัสได้มันทำให้เขาเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง การที่คุณปู่ต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันกับความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ในใจของคุณปู่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมันก็จะไม่หายไปจี้เฟิงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ตัวเองสงบลง แต่ในแววตาของเขากลับมีประกายเย็นยะเยือกออกมาแวบหนึ่ง
เถี่ยจุนที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้าพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แหลมคมสัญชาตญาณการป้องกันตัวทำให้กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของเขาตึงเครียดโดยอัตโนมัติ เขามองจี้เฟิงผ่านกระจกมองหลังในรถโดยไม่รู้ตัวและเห็นประกายเย็นยะเยือกฉายผ่านออกมาจากแววตาคู่นั้น
จู่ๆเถี่ยจุนก็รู้สึกหวาดกลัวทำไมจู่ๆเจ้าเด็กนี้ถึงได้แผ่จิตสังหารรุนแรงขนาดนี้
ผู้อาวุโสจี้ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ผ่อนคลายลง เขาพูดขึ้นช้าๆว่า “เจ้าลิงน้อยฟังคำพูดของปู่ให้ดี ญาติพี่น้องก็เหมือนมือและเท้า อย่าฆ่าฟันกันเอง!”
จี้เฟิงรู้สึกหนาวสั่นเขาพยักหน้าเล็กน้อย“ครับคุณปู่ ผมจะจำไว้ให้ดี!” เขาถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าคุณปู่จะไม่ได้โกรธอะไรมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่กล่าวเตือนแบบนี้
ถ้าไม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมให้จำแล้วจะจัดการพวกคนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงได้ยังไง.. จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย เรื่องนี้คงจัดการได้ลำบากกว่าที่คิด
“ลิงน้อยเจ้าชอบฟังเรื่องเล่าของปู่หรือไม่”ทันใดนั้นผู้อาวุโสเฒ่าก็ถามขึ้น
จี้เฟิงยิ้ม“แน่นอนครับ ผมชอบฟัง”
ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานี้นอกจากจี้เฟิงจะทำการรักษาคุณปู่ของเขาแล้วเขายังได้ฟังคุณปู่เล่าเรื่องราวสมัยก่อนในช่วงสงครามให้ฟัง เป็นช่วงที่มีแต่ความดุเดือดเลือดพล่าน ความปรารถนาของชีวิตในวัยหนุ่มคือการเอาชนะไปทั่วใต้หล้า!
ผู้อาวุโสเฒ่าพูดช้าๆแต่มันทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนปู่เคยสู้กับชาวเกาะ กลยุทธ์ที่พวกเขาชอบใช้มากที่สุดคือใช้คนจีนเพื่อต่อสู้กับคนจีนด้วยกันเอง! นี่คือ*กองทัพหุ่นเชิด!”
“กองทัพหุ่นเชิดนั้นเป็นอะไรที่น่ารังเกียจมากการที่คนจีนต้องฆ่าฟันกันเอง มันเป็นเรื่องที่ทั้งเจ็บปวด น่าขยะแขยงและน่าเศร้า เจ้าพอจะนึกภาพออกใช่ไหม” ผู้อาวุโสเฒ่าถาม
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเขาพอจะเข้าใจความหมายของคุณปู่
“ไม่ว่ากองทัพหุ่นเชิดจะน่ารังเกียจขนาดไหนพวกเขาก็เป็นคนจีน บางคนอาจต่อสู้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่บางคนก็ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นคนจีนอยู่ดี แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรกับพวกเขาเหล่านั้นดี” ผู้อาวุโสเฒ่าถามอีกครั้ง
“เท่าที่ผมพอจะคิดได้เราอาจจะต้องควบคุมความประพฤติและปรับทัศนคติของพวกเขา ถ้ามีคนที่ยินยอมเราก็อาจจะได้กองกำลังเพิ่ม แต่ถ้ามีส่วนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วย ก็คงต้องกำจัดให้สิ้นซาก….” จี้เฟิงตอบอย่างลังเล
“อืม!สำหรับคนที่เต็มใจจะกลับใจ เราจะให้โอกาสพวกเขา ส่วนผู้ที่เต็มใจจะกลับใจแต่ไม่เต็มใจที่จะร่วมมือเราก็สามารถขับไล่พวกเขาออกไปได้ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเขายังดื้อรั้น ก็ค่อยฆ่าพวกเขาทีหลัง!” ผู้อาวุโสพูดออกมาอย่างช้าๆ แต่ทุกคำที่พูด ดวงตาของเขานั้นจับจ้องไปที่จี้เฟิง
จี้เฟิงเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสเฒ่าทันทีเมื่อเขาเห็นความคาดหวังในแววตาของคุณปู่ของเขา จี้เฟิงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่ลังเลเลย “คุณปู่ครับ ผมจะจำคำพูดของคุณปู่ขึ้นใจ ถ้าไม่จำเป็นการฆ่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย!”
“อืม!ข้าหวังว่าเจ้าจะจำสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ได้ตลอดไป แค่นี้ข้าก็นอนตายตาหลับแล้ว!” ในที่สุดผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ก็เผยรอยยิ้มที่โล่งใจ เขาหลับตาลงช้าๆ เอนหลังไปที่พนักพิงเพื่อพักผ่อนและไม่ได้พูดอะไรอีก
จี้เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเช่นกันเขากำลังซึมซับทุกคำพูดของคุณปู่และทบทวนมันอยู่ในใจ ถึงแม้สีหน้าของเถี่ยจุนที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้าจะดูเฉยเมยราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของสองคนปู่หลานคู่นี้เลยแม้แต่น้อยแต่แท้จริงแล้วเขาก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้อาวุโสเฒ่าขอให้เขาปฏิบัติตามคำสั่งของจี้เฟิงเถี่ยจุนก็มีความรู้สึกสงสัยอยู่แล้วว่าผู้อาวุโสจี้อาจจะกำลังเลือกผู้สืบทอดรุ่นที่สามอยู่หรือเปล่า!
และตอนนี้คำพูดเหล่านี้ได้ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าผู้อาวุโสจี้ได้เลือกจี้เฟิงเป็นผู้สืบทอดตระกูลในอนาคตจริงๆ!
เถี่ยจุนรู้ดีว่าถ้าบทสนทนาระหว่างหัวหน้าของเขากับจี้เฟิงแพร่ออกไปมันจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะลืมสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นข้อควรระวังขั้นพื้นฐานที่สุดในฐานะองครักษ์
อย่างไรก็ตามเถี่ยจุนไม่สามารถปฏิบัติต่อจี้เฟิงด้วยทัศนคติแบบเดียวกับเด็กคนอื่นๆของตระกูลจี้ได้อีกต่อไป
ทายาทที่ได้รับการคัดเลือกจากท่านหัวหน้าใหญ่เถี่ยจุนจะภักดีต่อเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข!
………………
รถสีดำสองคันจอดอยู่ในซอยกว้างที่ด้านหน้าของ*ซื่อเหอหยวนหลังหนึ่งจี้เสี่ยวหยูและคนอื่นๆเดินลงมาจากรถ
เมื่อมองไปรอบๆบริเวณซื่อเหอหยวนก็พบว่ามีทหารยามรักษาการณ์ยืนถือปืนอยู่ไม่ไกล แน่นอนว่ามันคือปืนจริงและสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นก็เป็นกระสุนจริง! หัวใจของเว่ยซินพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที มือและเท้าของเธอก็เย็นเฉียบ
แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มามากกว่าหนึ่งครั้งแต่เมื่อเธอมาที่นี่จริงๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดและหายใจถี่ขึ้น
เว่ยซินรู้ดีว่าใครคือผู้ที่อยู่ซื่อเหอหยวนแห่งนี้!
ชื่อของท่านผู้นั้นต่อให้เอ่ยถึงเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออกและอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองผู้ที่พูดถึงแม้แต่ผู้อาวุโสเฒ่าในตระกูลของเธอถ้าจะเอ่ยถึงชื่อนี้ก็ยังต้องเอ่ยด้วยความเคารพ
และตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเองมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“ซินซินเข้าไปข้างในกันเถอะ!”จี้เสี่ยวหยูยิ้มหวานและจูงมือของเหวินเว่ยซิน “ดูเหมือนว่าพี่สามจะยังมาไม่ถึงนะ เราเข้าไปรอข้างในกันดีกว่า!”
“เสี่ยวหยูนี่…เอ่อ จะเข้าไปเลยเหรอ พี่สามของเธอก็ยังไม่มานี่นา ระ..เรา เรารอในรถกันดีกว่ามั้ย?!” เวลานี้เว่ยซินรู้สึกประหม่ามาก เธอจึงพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
ปกติแล้วเธอคิดว่าจี้เสี่ยวหยูนั้นเกิดและเติบโตมาเป็นอย่างดีจากตระกูลใหญ่แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นแต่ตอนนี้เธอนั้นได้รู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับจี้เสี่ยวหยูได้อย่างชัดเจนแล้ว ไม่เพียงแต่ความร่ำรวยทางด้านเงินทองและทรัพย์สินเท่านั้นที่แตกต่าง แต่ความยิ่งใหญ่และอิทธิพลที่แอบแฝงนั้นช่างห่างไกลกันจนไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย!
เมื่อเห็นว่าเว่ยซินนั้นประหม่ามากแค่ไหนจี้เสี่ยวหยูจึงไม่ได้ยืนกรานที่จะเข้าไปอีก เธอพยักหน้าและพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน! คุณปู่ก็ไม่อยู่ เข้าไปฉันก็ไม่มีเพื่อนเล่นอยู่ดี งั้นเราก็รอพี่สามอยู่ที่นี่เถอะ!”
จี้เสี่ยวหยูบ่นพึมพำกับตัวเองต่อ“คุณพ่อนี่ก็จริงๆเล้ย ไม่ยอมให้ฉันไปหาคุณปู่ที่โรงพยาบาลเลย…”
เว่ยซินรีบหันหน้าของเธอไปทางอื่นและแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ทันทีเธอรู้ว่าเรื่องบางเรื่องการที่ไม่รู้อาจจะมีผลดีกับชีวิตของเธอมากกว่า
“เอี๊ยดดดดด—!!”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเบรกอย่างกะทันหันดังขึ้นจากนั้น Mercedes BenzS600 สีดำก็หยุดลงและจอดอยู่ไม่ไกลนัก
สายตาของทุกคนหันไปมองทันทีและเมื่อพวกเขาเห็นรถคันนี้ คนแรกที่มีปฏิกิริยาก็คือจี้เสี่ยวหยู ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอดูโกรธมาก “เป็นเขาอีกแล้ว! ช่างน่ารำคาญจริงๆ!”
ปึง!ปึง!
ประตูรถเมอร์เซเดสเบนซ์เปิดออกชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเดินลงมาจากฝั่งคนขับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่มันทำให้เขาดูแปลกๆ
ประตูรถอีกฝั่งหนึ่งก็ถูกเปิดออกเช่นกันสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสายตาของสามสี่คนที่ยืนมองอยู่ เป็นเส้นผมสีน้ำตาลแดง จากนั้นพวกเขาก็เห็นผู้หญิงที่มีรูปร่างดีเดินลงมาจากรถ
เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ทันสมัยและสวยงามมาก
แต่เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถมองเห็นจี้เสี่ยวหยูและคนอื่นๆพวกเขาก็แสดงรอยยิ้มแปลกๆออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็เดินตรงไปทางจี้เสี่ยวหยู
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยแต่ที่มากไปกว่านั้นมันคือความโกรธ!
เมื่ออดีตในช่วงสงครามผู้อาวุโสเฒ่าได้รอดพ้นมาจากความตายจนแทบนับครั้งไม่ถ้วนผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ต้องต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่ามันจะไม่มีวันจบ และในท้ายที่สุดก็มีผู้เหลือรอดชีวิตกลับมาเพียง 200 คนเท่านั้น แต่ในตอนนั้นผู้อาวุโสเฒ่าไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึกมากนัก
แต่มาตอนนี้ผู้อาวุโสเฒ่ากลับรู้สึกทั้งโกรธทั้งเสียใจ
มีกี่คนที่คาดหวังให้เขารอดและมีกี่คนที่หวังว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกและหลับไปตลอดกาล!
แต่ทว่า…
ผู้อาวุโสเฒ่าหันหน้าไปมองจี้เฟิงที่อยู่ข้างๆเด็กหนุ่มคนนี้ หลานชายของเขาได้คว้าตัวเขากลับมาจากประตูผี และถึงกับตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะปกป้องเขาให้อยู่โดยไร้ความกังวลภายในสิบปี!
หัวใจของผู้อาวุโสเฒ่าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจความต้องการของชายชราคนหนึ่งคงไม่มีอะไรไปมากกว่าการที่ได้เห็นลูกๆหลานๆของเขาเติบโตจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน!
เขาภาคภูมิใจในหลานชายคนนี้มากจริงๆ!
ผู้อาวุโสเฒ่าทอดถอนใจออกมาอีกครั้งในตอนที่เขาแข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุด เขาไม่มีโอกาสได้ดูแลหลานชายของเขาอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีปีกที่คอยปกป้องเขาจากลมและฝน และไม่มีใครสนับสนุนเขา!
เด็กชายผู้ดื้อรั้นที่เกิดและเติบโตมาจากชนชั้นรากหญ้าในสายตาคนอื่นได้ต่อสู้ดิ้นรนจนรอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยบ่าที่ยังอ่อนแอแต่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเพื่อที่จะทำให้หัวของเขาโผล่พ้นขึ้นมาจากโคลนตมแห่งความยากลำบาก เลือดอันเข้มข้นในร่างกายและจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาฟ้าลิขิตเพราะหวังว่าชีวิตของตนเองและแม่จะดีขึ้น เขายอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องแม่ของเขา!
และตอนนี้หลานชายตัวน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ใช้มือดึงตาแก่อย่างเขาให้รอดพ้นจากปากประตูผีและไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้ไปทำลายความฝันของใครบ้าง!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ผู้อาวุโสเฒ่าก็รู้สึกผิดไปพร้อมๆกับความภาคภูมิใจ!
เขาแก่มากแล้วได้อยู่จนเห็นลูกหลานเติบโตมาเป็นอย่างดีจะมีอะไรที่ทำให้ชายชราคนหนึ่งมีความสุขไปได้มากกว่านี้อีก
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจที่เอ่อล้นออกมาจากอกของผู้อาวุโสเฒ่าพลันทำให้เขายิ้มตามไปด้วย คุณปู่ภูมิใจที่หลานชายเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ปู่และหลานชายต่างมีออร่าจางๆของการผ่านโลกอันโหดร้าย มันทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความทะเยอทะยานอันสูงส่ง!
หลังจากนั้นไม่นานผู้อาวุโสเฒ่าก็ถามขึ้นว่า“ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอมไม่ใช่หรือ ทำไมเสี่ยวหยูถึงไปเจียวโจวเวลานี้”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“เสี่ยวหยูอยากไปเที่ยวหาผมน่ะครับ”
“ตอนนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วแฟนตัวน้อยทั้งสองของเจ้าได้กลับมาพร้อมกับเสี่ยวหยูด้วยหรือเปล่าล่ะ” ผู้อาวุโสจี้ถามอีกครั้ง
จี้เฟิงหน้าแดงทันทีช่างเป็นสีหน้าที่หาได้ยากยิ่งจากจี้เฟิงดูท่าว่าเรื่องส่วนตัวของเขาจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป เพราะแม้แต่คุณปู่ก็ยังรู้เรื่องที่เขามีแฟนสาวสองคน… แม้จะละอายอยู่บ้าง แต่จี้เฟิงก็รู้สึกซาบซึ้งใจด้วยเช่นกัน คุณปู่รู้เรื่องเขาดีขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณปู่ห่วงใยเขามากขนาดไหน
“ตั้งแต่ที่ตาแก่อย่างข้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยวหยูไม่มีความสุขเมื่ออยู่หยานจิง!” ผู้อาวุโสเฒ่าพูดด้วยเสียงต่ำ หัวใจของจี้เฟิงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเขาประเมินสายตาคุณปู่ของเขาต่ำเกินไป เขาคิดไม่ถึงว่าคุณปู่ที่อยู่ในโรงพยาบาลมานานขนาดนี้ แต่แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าทำไมเสี่ยวหยูถึงออกจากหยานจิงไป
และในขณะเดียวกันเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในหัวใจของคุณปู่ถึงแม้ใบหน้าและน้ำเสียงของคุณปู่จะไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด แต่จี้เฟิงกลับสัมผัสได้โดยง่าย บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกแปลกๆที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“คุณปู่เสี่ยวหยูจะต้องดีใจมากแน่ๆที่ได้เจอคุณปู่ เธอยังน่ารักมาก!” จี้เฟิงไม่รู้จะตอบบทสนทนาไปว่าอย่างไรดีเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
แต่จากความรู้สึกของคุณปู่ที่จี้เฟิงสัมผัสได้มันทำให้เขาเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง การที่คุณปู่ต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันกับความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ในใจของคุณปู่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมันก็จะไม่หายไปจี้เฟิงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ตัวเองสงบลง แต่ในแววตาของเขากลับมีประกายเย็นยะเยือกออกมาแวบหนึ่ง
เถี่ยจุนที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้าพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แหลมคมสัญชาตญาณการป้องกันตัวทำให้กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของเขาตึงเครียดโดยอัตโนมัติ เขามองจี้เฟิงผ่านกระจกมองหลังในรถโดยไม่รู้ตัวและเห็นประกายเย็นยะเยือกฉายผ่านออกมาจากแววตาคู่นั้น
จู่ๆเถี่ยจุนก็รู้สึกหวาดกลัวทำไมจู่ๆเจ้าเด็กนี้ถึงได้แผ่จิตสังหารรุนแรงขนาดนี้
ผู้อาวุโสจี้ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ผ่อนคลายลง เขาพูดขึ้นช้าๆว่า “เจ้าลิงน้อยฟังคำพูดของปู่ให้ดี ญาติพี่น้องก็เหมือนมือและเท้า อย่าฆ่าฟันกันเอง!”
จี้เฟิงรู้สึกหนาวสั่นเขาพยักหน้าเล็กน้อย“ครับคุณปู่ ผมจะจำไว้ให้ดี!” เขาถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าคุณปู่จะไม่ได้โกรธอะไรมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่กล่าวเตือนแบบนี้
ถ้าไม่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมให้จำแล้วจะจัดการพวกคนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงได้ยังไง.. จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย เรื่องนี้คงจัดการได้ลำบากกว่าที่คิด
“ลิงน้อยเจ้าชอบฟังเรื่องเล่าของปู่หรือไม่”ทันใดนั้นผู้อาวุโสเฒ่าก็ถามขึ้น
จี้เฟิงยิ้ม“แน่นอนครับ ผมชอบฟัง”
ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานี้นอกจากจี้เฟิงจะทำการรักษาคุณปู่ของเขาแล้วเขายังได้ฟังคุณปู่เล่าเรื่องราวสมัยก่อนในช่วงสงครามให้ฟัง เป็นช่วงที่มีแต่ความดุเดือดเลือดพล่าน ความปรารถนาของชีวิตในวัยหนุ่มคือการเอาชนะไปทั่วใต้หล้า!
ผู้อาวุโสเฒ่าพูดช้าๆแต่มันทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไป “เมื่อก่อนปู่เคยสู้กับชาวเกาะ กลยุทธ์ที่พวกเขาชอบใช้มากที่สุดคือใช้คนจีนเพื่อต่อสู้กับคนจีนด้วยกันเอง! นี่คือ*กองทัพหุ่นเชิด!”
“กองทัพหุ่นเชิดนั้นเป็นอะไรที่น่ารังเกียจมากการที่คนจีนต้องฆ่าฟันกันเอง มันเป็นเรื่องที่ทั้งเจ็บปวด น่าขยะแขยงและน่าเศร้า เจ้าพอจะนึกภาพออกใช่ไหม” ผู้อาวุโสเฒ่าถาม
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเขาพอจะเข้าใจความหมายของคุณปู่
“ไม่ว่ากองทัพหุ่นเชิดจะน่ารังเกียจขนาดไหนพวกเขาก็เป็นคนจีน บางคนอาจต่อสู้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่บางคนก็ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังเป็นคนจีนอยู่ดี แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรกับพวกเขาเหล่านั้นดี” ผู้อาวุโสเฒ่าถามอีกครั้ง
“เท่าที่ผมพอจะคิดได้เราอาจจะต้องควบคุมความประพฤติและปรับทัศนคติของพวกเขา ถ้ามีคนที่ยินยอมเราก็อาจจะได้กองกำลังเพิ่ม แต่ถ้ามีส่วนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วย ก็คงต้องกำจัดให้สิ้นซาก….” จี้เฟิงตอบอย่างลังเล
“อืม!สำหรับคนที่เต็มใจจะกลับใจ เราจะให้โอกาสพวกเขา ส่วนผู้ที่เต็มใจจะกลับใจแต่ไม่เต็มใจที่จะร่วมมือเราก็สามารถขับไล่พวกเขาออกไปได้ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเขายังดื้อรั้น ก็ค่อยฆ่าพวกเขาทีหลัง!” ผู้อาวุโสพูดออกมาอย่างช้าๆ แต่ทุกคำที่พูด ดวงตาของเขานั้นจับจ้องไปที่จี้เฟิง
จี้เฟิงเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสเฒ่าทันทีเมื่อเขาเห็นความคาดหวังในแววตาของคุณปู่ของเขา จี้เฟิงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่ลังเลเลย “คุณปู่ครับ ผมจะจำคำพูดของคุณปู่ขึ้นใจ ถ้าไม่จำเป็นการฆ่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย!”
“อืม!ข้าหวังว่าเจ้าจะจำสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ได้ตลอดไป แค่นี้ข้าก็นอนตายตาหลับแล้ว!” ในที่สุดผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ก็เผยรอยยิ้มที่โล่งใจ เขาหลับตาลงช้าๆ เอนหลังไปที่พนักพิงเพื่อพักผ่อนและไม่ได้พูดอะไรอีก
จี้เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเช่นกันเขากำลังซึมซับทุกคำพูดของคุณปู่และทบทวนมันอยู่ในใจ ถึงแม้สีหน้าของเถี่ยจุนที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้าจะดูเฉยเมยราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของสองคนปู่หลานคู่นี้เลยแม้แต่น้อยแต่แท้จริงแล้วเขาก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้อาวุโสเฒ่าขอให้เขาปฏิบัติตามคำสั่งของจี้เฟิงเถี่ยจุนก็มีความรู้สึกสงสัยอยู่แล้วว่าผู้อาวุโสจี้อาจจะกำลังเลือกผู้สืบทอดรุ่นที่สามอยู่หรือเปล่า!
และตอนนี้คำพูดเหล่านี้ได้ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าผู้อาวุโสจี้ได้เลือกจี้เฟิงเป็นผู้สืบทอดตระกูลในอนาคตจริงๆ!
เถี่ยจุนรู้ดีว่าถ้าบทสนทนาระหว่างหัวหน้าของเขากับจี้เฟิงแพร่ออกไปมันจะทำให้เกิดความวุ่นวายมากขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะลืมสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นข้อควรระวังขั้นพื้นฐานที่สุดในฐานะองครักษ์
อย่างไรก็ตามเถี่ยจุนไม่สามารถปฏิบัติต่อจี้เฟิงด้วยทัศนคติแบบเดียวกับเด็กคนอื่นๆของตระกูลจี้ได้อีกต่อไป
ทายาทที่ได้รับการคัดเลือกจากท่านหัวหน้าใหญ่เถี่ยจุนจะภักดีต่อเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข!
………………
รถสีดำสองคันจอดอยู่ในซอยกว้างที่ด้านหน้าของ*ซื่อเหอหยวนหลังหนึ่งจี้เสี่ยวหยูและคนอื่นๆเดินลงมาจากรถ
เมื่อมองไปรอบๆบริเวณซื่อเหอหยวนก็พบว่ามีทหารยามรักษาการณ์ยืนถือปืนอยู่ไม่ไกล แน่นอนว่ามันคือปืนจริงและสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นก็เป็นกระสุนจริง! หัวใจของเว่ยซินพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที มือและเท้าของเธอก็เย็นเฉียบ
แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มามากกว่าหนึ่งครั้งแต่เมื่อเธอมาที่นี่จริงๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดและหายใจถี่ขึ้น
เว่ยซินรู้ดีว่าใครคือผู้ที่อยู่ซื่อเหอหยวนแห่งนี้!
ชื่อของท่านผู้นั้นต่อให้เอ่ยถึงเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออกและอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองผู้ที่พูดถึงแม้แต่ผู้อาวุโสเฒ่าในตระกูลของเธอถ้าจะเอ่ยถึงชื่อนี้ก็ยังต้องเอ่ยด้วยความเคารพ
และตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเองมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“ซินซินเข้าไปข้างในกันเถอะ!”จี้เสี่ยวหยูยิ้มหวานและจูงมือของเหวินเว่ยซิน “ดูเหมือนว่าพี่สามจะยังมาไม่ถึงนะ เราเข้าไปรอข้างในกันดีกว่า!”
“เสี่ยวหยูนี่…เอ่อ จะเข้าไปเลยเหรอ พี่สามของเธอก็ยังไม่มานี่นา ระ..เรา เรารอในรถกันดีกว่ามั้ย?!” เวลานี้เว่ยซินรู้สึกประหม่ามาก เธอจึงพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
ปกติแล้วเธอคิดว่าจี้เสี่ยวหยูนั้นเกิดและเติบโตมาเป็นอย่างดีจากตระกูลใหญ่แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นแต่ตอนนี้เธอนั้นได้รู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับจี้เสี่ยวหยูได้อย่างชัดเจนแล้ว ไม่เพียงแต่ความร่ำรวยทางด้านเงินทองและทรัพย์สินเท่านั้นที่แตกต่าง แต่ความยิ่งใหญ่และอิทธิพลที่แอบแฝงนั้นช่างห่างไกลกันจนไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย!
เมื่อเห็นว่าเว่ยซินนั้นประหม่ามากแค่ไหนจี้เสี่ยวหยูจึงไม่ได้ยืนกรานที่จะเข้าไปอีก เธอพยักหน้าและพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน! คุณปู่ก็ไม่อยู่ เข้าไปฉันก็ไม่มีเพื่อนเล่นอยู่ดี งั้นเราก็รอพี่สามอยู่ที่นี่เถอะ!”
จี้เสี่ยวหยูบ่นพึมพำกับตัวเองต่อ“คุณพ่อนี่ก็จริงๆเล้ย ไม่ยอมให้ฉันไปหาคุณปู่ที่โรงพยาบาลเลย…”
เว่ยซินรีบหันหน้าของเธอไปทางอื่นและแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ทันทีเธอรู้ว่าเรื่องบางเรื่องการที่ไม่รู้อาจจะมีผลดีกับชีวิตของเธอมากกว่า
“เอี๊ยดดดดด—!!”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเบรกอย่างกะทันหันดังขึ้นจากนั้น Mercedes BenzS600 สีดำก็หยุดลงและจอดอยู่ไม่ไกลนัก
สายตาของทุกคนหันไปมองทันทีและเมื่อพวกเขาเห็นรถคันนี้ คนแรกที่มีปฏิกิริยาก็คือจี้เสี่ยวหยู ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอดูโกรธมาก “เป็นเขาอีกแล้ว! ช่างน่ารำคาญจริงๆ!”
ปึง!ปึง!
ประตูรถเมอร์เซเดสเบนซ์เปิดออกชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเดินลงมาจากฝั่งคนขับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส แต่มันทำให้เขาดูแปลกๆ
ประตูรถอีกฝั่งหนึ่งก็ถูกเปิดออกเช่นกันสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสายตาของสามสี่คนที่ยืนมองอยู่ เป็นเส้นผมสีน้ำตาลแดง จากนั้นพวกเขาก็เห็นผู้หญิงที่มีรูปร่างดีเดินลงมาจากรถ
เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ทันสมัยและสวยงามมาก
แต่เมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถมองเห็นจี้เสี่ยวหยูและคนอื่นๆพวกเขาก็แสดงรอยยิ้มแปลกๆออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็เดินตรงไปทางจี้เสี่ยวหยู
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยแต่ที่มากไปกว่านั้นมันคือความโกรธ!