หลังจากที่ฟังอาสะใภ้สามเหลียงหงตันและเซียวซูเหม่ยแม่ของเขาอธิบายจบจี้เฟิงก็เข้าใจที่แท้การไปทานมื้อค่ำกับคุณปู่ในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะคุณปู่เป็นคนริเริ่ม แต่เป็นเพราะพ่อกับอาของเขาได้ยินมาว่าคุณปู่ออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่ซื่อเหอหยวนแล้ว พวกเขาเลยอยากจะไปเยี่ยมคุณปู่จึงวางแผนชวนไปทานมื้อค่ำที่นั่นด้วยกันเสียเลย
อันที่จริงจี้เฟิงก็พอจะรู้ว่าการไปทานอาหารค่ำกับคุณปู่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนการไปเยี่ยมเพราะการไปทานอาหารที่นั่นต้องแจ้งพนักงานดูแลความเรียบร้อยในบ้านไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตามเหล่าพนักงานในบ้านของผู้อาวุโสจี้ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนดูแลความเรียบร้อย หรือพนักงานทำความสะอาด พวกเขาไม่ได้เข้ามาเป็นกันง่ายๆ พวกเขาต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างเป็นทางการและระดับของพวกเขาก็ไม่ใช่ต่ำๆ
ดังนั้นถ้าต้องการจะทานข้าวกับผู้อาวุโสเฒ่าหากไปกันเพียงแค่สองสามคนก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้ามากกว่านั้นก็ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
จี้เฟิงได้ยินเรื่องนี้มาจากปู่ของเขาหลังจากที่เขามาที่หยานจิง
โดยปกติแล้วผู้อาวุโสเฒ่าจะไม่ค่อยมีงานเลี้ยงอาหารค่ำร่วมกับคนเยอะๆเท่าไหร่นักเพราะจะส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของผู้อาวุโสเฒ่า และถ้าจะจัดก็ต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ดูแลพิเศษ
และตอนนี้ดูเหมือนว่าพ่อและอาของจี้เฟิงจะต้องดีใจมากแน่ๆถึงได้เสนอเรื่องการไปทานอาหารค่ำร่วมกับผู้อาวุโสเฒ่าเช่นนี้
อันที่จริงจี้เฟิงยังรู้ด้วยว่าการฟื้นตัวของผู้อาวุโสเฒ่านั้นส่งผลกระทบและมีความหมายกับตระกูลจี้ทั้งหมด ดังนั้นความรู้สึกของพ่อและอาของเขาจึงเป็นที่เข้าใจได้ จี้เฟิงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกตราบใดที่คุณปู่ยังสุขภาพแข็งแรงดี พ่อของเขาก็จะมีเวลาเตรียมการเรื่องต่างๆได้มากพอ และไม่ต้องเป็นกังวลเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา
อาหารกลางวันถูกจัดเตรียมโดยเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิงและเหลียงหงตันอาสะใภ้สาม
ลูกชายมาหาทั้งทีไม่แปลกเลยที่เซียวซูเหม่ยจะมีความสุขมากเธอไม่ได้พบกับลูกชายของเธอมาครึ่งปีแล้ว บางครั้งเซียวซูเหม่ยฝันถึงลูกชาย แต่เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก เธอจึงไม่สามารถเดินทางไปเจียงโจวเพื่อพบลูกชายของเธอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เธอมีเรื่องไม่สบายใจ เธอจึงยิ่งคิดถึงลูกชายของเธอมากเหลือเกิน
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ลูกชายจะมาหาเธอแล้วแต่เขายังดูเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนมากถึงขนาดทำให้จางหยุนเอ๋อและคนอื่นๆ ที่ชอบมาหาเรื่องและทำตัวอวดดีใส่ ต้องหนีกลับไปอย่างน่าสมเพช แล้วจะไม่ให้เซียวซูเหม่ยดีใจได้อย่างไร
พอเห็นแม่กับอาสะใภ้สามกำลังยุ่งอยู่ในครัวจี้เฟิงก็อยากจะไปช่วย แต่กลับถูกไล่ออกมา
ไม่ได้เจอลูกชายมานานแล้วเซียวซูเหม่ยจึงอยากเตรียมอาหารกลางวันมื้อใหญ่ให้กับลูกชาย
เห็นแบบนี้แต่ชีวิตของคุณป้าใหญ่กับอาสะใภ้สามมันไม่ง่ายเลย! จู่ๆจี้ช่าวเหลยก็พูดขึ้น
จี้เฟิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
มันไม่ง่ายเลย!
ที่บอกว่าไม่ง่ายไม่ใช่เพราะพวกเธอต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆแต่มันเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของพวกเธอ เลิกคิดไปได้เลยว่าพวกเธอจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ ที่มีอิสรเสรีเหมือนอย่างคนธรรมดาทั่วไป
ด้วยสถานะของพวกเธอไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมความบันเทิงหรือสมาคมใดๆที่พวกเธอต้องการจะเข้าร่วม จะต้องผ่านการพิจารณาก่อนว่ามันจะทำให้เกิดผลเสียหรือไม่ เพราะคำพูดและการกระทำของพวกเธอจะถูกเฝ้าดูแทบจะตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่การงานของสามี
และเมื่อพูดถึงการเดินทางมันจึงเป็นอะไรที่ไม่สะดวกเอามากๆ
ยามและบอดี้การ์ดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แม้จะไม่ได้ถึงขนาดมีเป็นสิบๆคนคอยล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ทุกๆที่ที่พวกเธอไป อย่างน้อยจะต้องมีคนคอยคุ้มกันดูแลความปลอดภัย ดังนั้นเวลาที่พวกเธอจะไปไหน มันเลยจะดูเอิกเกริกราวกับเป็นผู้ทรงอิทธิพลและดูเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก
นี่คือเหตุที่แม้ว่าเซียวซูเหม่ยจะคิดถึงลูกชายของเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่สะดวกที่จะไปเจียงโจวเพื่อพบลูกชายของเธอ
การเดินทางแบบสบายๆอย่างเช่นเฉียวหรงไม่เหมาะสำหรับเซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตัน เพราะสถานะของพวกเธอแตกต่างกัน
น้องสามคืนนี้ไปกินข้าวที่บ้านคุณปู่ฉันคาดว่ามันคงมีอะไรยุ่งยากกว่าที่คิด จี้ช่าวเหลยพูดขึ้นหลังจากยกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ
พี่รองหมายความว่าไง จี้เฟิงไม่เข้าใจการไปกินข้าวเย็นที่บ้านคุณปู่ นอกจากจะรบกวนเหล่าพนักงานที่ดูแลบ้านแล้ว ยังจะมีอะไรที่ยุ่งยากอีกล่ะ?
หรือจะเป็นเรื่องที่จางหยุนเอ๋อมาสร้างปัญหาในวันนี้มันรู้ไปถึงหูของคุณปู่ จี้เฟิงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกและอดไม่ได้ที่จะถาม
ถ้าเรื่องนี้มันถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย! จี้ช่าวเหลยส่ายหัวและยิ้ม คุณปู่แก่มากแล้ว แต่ปกติแล้วเขาไม่ได้ดูแลทุกอย่างในตระกูลขนาดนั้นหรอก ดังนั้นต่อให้เราจะมีปัญหากับจางหยุนเอ๋อ แล้วคุณปู่รู้เข้าเขาก็จะไม่พูดถึงมัน ยังไงมันก็เป็นเรื่องของลูกๆหลานๆ*ขุนนางที่เที่ยงธรรม ยังยากที่จะหักงานบ้านได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณปู่ที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล!
แล้วพี่รองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร… จี้เฟิงสับสนเล็กน้อย
จี้ช่าวเหลยเลิกคิ้วและยิ้ม คนที่ห่วงใยคุณปู่ไม่ได้มีแค่พวกเราหรอกนะ หึหึ คนอื่นๆก็สนใจเหมือนกัน และถ้าพวกเขาไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็คงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ!
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าจี้ช่าวเหลยหมายถึงอะไรเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ก็เพราะแบบนั้นฉันเลยเกรงว่าคืนนี้จะคึกคักเป็นพิเศษนายต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม! จี้ช่าวเหลยเตือน
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า อยากให้เตรียม แล้วจะเตรียมยังไงดีล่ะ ช่วยบอกหน่อยสิครับคุณพี่รอง เราแค่ไปทานข้าวเย็นที่บ้านคุณปู่!
นาย… จี้ช่าวเหลยได้แต่ส่ายหัวและยิ้มอย่างจนใจ เขาไม่เชื่อว่าจี้เฟิงจะไม่เข้าใจ แต่พอเห็นท่าทางที่ไม่สนใจใยดีของจี้เฟิง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่รู้ดีกว่าใครๆ เพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น
เด็กๆมาทานข้าวได้แล้วลูก! เสียงของเซียวซูเหม่ยดังขึ้น
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า พี่รองเราไปกินข้าวกันเถอะ!
จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นบอดี้การ์ดหญิงที่แม่เรียกว่าเสี่ยวอิงมานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย ระหว่างมื้ออาหารเธอเหลือบมองจี้เฟิงด้วยสายตาอาฆาตอยู่สองสามครั้ง
เอ่อ… จี้เฟิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เธอไม่ทำตามหน้าที่แต่กลับมาโกรธฉันเนี่ยนะ
เสี่ยวอิงไม่ต้องไปสนใจเขากินเยอะๆ เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่ลูกชายอย่างดุดันแล้วคีบอาหารให้บอดี้การ์ดหญิงคนนั้น พวกเธอดูสนิทสนมกันมาก จี้เฟิงอ้าปากหวอสุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มเพียงแต่ในใจของเขารู้สึกแปลกๆ ท่าทีของแม่ที่มีต่อเสี่ยวอิงดูเหมือนจะสนิทสนมกันมากเกินไป
แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากที่จริงแล้วการที่แม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เพราะตั้งแต่แม่มาอยู่ที่หยานจิง ถ้านอกจากพ่อแล้วมีเพียงเสี่ยวอิงอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเธอจะสนิทสนมกัน
เมื่อพวกเขาทานอาหารกลางวันกันเสร็จหลังจากที่เซียวซูเหม่ยกับเหลียงหงตันล้างจานเรียบร้อยแล้ว เซียวซูเหม่ยก็จ้องไปที่ลูกชายของเขาและพูดด้วยเสียงต่ำว่า เจ้าเด็กตัวเหม็น ตามแม่มานี่ซิ!
จี้เฟิงตกใจและรีบลุกขึ้นทันทีเขาเดินตามแม่ไปที่ห้องนอน
มีอะไรเหรอครับแม่ จี้เฟิงถาม
เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่เขาและพ่นลมออกจมูก ต่อจากนี้ไปห้ามดุเสี่ยวอิงรุนแรงแบบเมื่อกี้นี้อีกเข้าใจมั้ย! จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและยิ้ม คร้าบคุณแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมจะตามที่แม่บอกแน่นอนแต่ว่า…
เหมือนว่าเซียวซูเหม่ยจะมองออกว่าลูกชายกำลังสงสัยอะไรอยู่ เฟิงเอ๋อ เสี่ยวอิงเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก เธอกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก เธอทำงานเป็นบอดี้การ์ดอยู่กับสายรองของตระกูลจี้ แต่เป็นเพราะเสี่ยวอิงเป็นคนที่หน้าตาดี เธอเลยเกือบถูกผู้ชายเลวๆบางคนทำมิดีมิร้ายกับเธอ… แล้วที่สำคัญแม่เองก็รู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวอิงด้วย แม่เลยขอเสี่ยวอิงมาเป็นคนคอยดูแลแม่
จี้เฟิงเข้าใจทันทีเขาคาดว่าแม่คงเห็นเสี่ยวอิงแล้วนึกถึงเรื่องที่เขาเคยถูกเพื่อนรังแกเมื่อตอนเด็กๆ ถึงได้ใจอ่อนขนาดนี้จึงได้เอาตัวเสี่ยวอิงมาจากทางนั้น
ไม่อย่างนั้นต่อให้แม่สงสารเสี่ยวอิงมากแค่ไหนก็คงไม่แย่งตัวเธอมาจากทางนั้นทันทีแบบนี้หรอก
ครับแม่ผมจะจำคำพูดของแม่ให้ขึ้นใจ จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
เฮ้อเฟิงเอ๋อเรื่องนี้ลูกจะโทษเสี่ยวอิงไม่ได้จริงๆนะ ที่แม่พูดไม่ใช่เพราะว่าแม่เข้าข้างหรือสงสารเธอ เซียวซูเหม่ยส่ายหน้าเล็กน้อยและพูดว่า เหตุผลที่เสี่ยวอิงไม่ได้ลงมือทำอะไรในวันนี้ เป็นเพราะแม่สั่งเธอเอาไว้แบบนั้นเอง
อะไรนะครับ จี้เฟิงผงะ
ก่อนหน้านี้มีเด็กคนหนึ่งทำตัวไร้มารยาทกับแม่เสี่ยวอิงจึงทุบตีเขาหลังจากนั้นแม่เลยออกคำสั่งกับเธอไว้ว่า เว้นเสียแต่ว่าแม่กำลังตกอยู่ในอันตราย นอกจากนั้นถ้าแม่ไม่ได้ออกคำสั่งก็ห้ามเสี่ยวอิงลงมือทำร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจอีก! เซียวซูเหม่ยอธิบาย
ดวงตาของจี้เฟิงฉายแสงเย็นๆออกมาแวบหนึ่งจากนั้นเขาก็พยักหน้าทันที ผมเข้าใจแล้วครับแม่ ผมจะไปขอโทษเธออย่างจริงใจ
ต้องแบบนี้สิ! เซียวซูเหม่ยอดยิ้มไม่ได้ แต่ในใจของจี้เฟิงกลับแค่นเสียงอย่างเย็นชาดูท่าว่าครั้งนี้ที่เขาเอาบทของคุณชายจี้ผู้น่าเกรงขามมาใช้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว จากคำพูดของแม่ เขาสามารถรู้ได้ว่าตั้งแต่แม่มาอยู่ที่หยานจิงแม่ต้องอยู่อย่างอึดอัดทุกข์ใจมากขนาดไหน เพราะเมื่อก่อนแม่ไม่เคยต้องมาทอดถอนใจแบบนี้เลย!
แต่สำหรับเรื่องของเสี่ยวอิง…จี้เฟิงเองก็รู้สึกผิดกับเธออยู่บ้าง เพราะเมื่อรู้อย่างนี้แล้วการโทษเธอก็เป็นสิ่งที่เขาทำผิดไป
น้องสามไปเดินเล่นกัน!
จี้ช่าวเหลยพูดขึ้นทันทีที่จี้เฟิงเดินออกมาจากห้องแม้ว่าการพูดคุยกับป้าสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สามที่นี่จะไม่น่าเบื่อ แต่จี้ช่าวเหลยเป็นคนรักอิสระเขาไม่สามารถนั่งอยู่กับที่นิ่งๆได้เป็นเวลานานๆ
เอาสิ! จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ
จี้เฟิงหยุดคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็ทักทายเสี่ยวอิงที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยการพยักหน้าให้เล็กน้อย แต่ใครจะคิดเสี่ยวอิงแค่ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างดุเดือดและสะบัดหน้าหนีไม่สนใจเขาอีก
จี้เฟิงได้แต่กระแอมไอเบาๆและแกล้งทำเป็นไม่เห็นจากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับจี้ช่าวเหลย
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองคนดวงตาของเสี่ยวอิงก็ฉายแววลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นและเดินตามออกไป
พี่รองพี่มาอยู่หยานจิงนานขนาดนี้แล้วบริษัทที่เจียงโจวจะไม่เป็นอะไรเหรอ จี้เฟิงถาม
ถ้านับเวลาตั้งแต่วันที่จี้ช่าวเหลยมาหยานจิงจนถึงตอนนี้ก็น่าจะผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วเขาเป็นประธานบริษัทเจียนอันกรุ๊ป และการทำให้งานในบริษัทล่าช้าเพราะเขาคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จี้ช่าวเหลยส่ายหน้ายิ้มๆ ตำแหน่งประธานอย่างฉันจริงๆแล้วก็แค่นั่งว่างๆ หรือบางทีก็มีนัดทานข้าวกับคนใหญ่คนโตบริษัทอื่นๆเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ส่วนการทำงานจริงๆล้วนอยู่ที่พนักงานในบริษัททั้งนั้น เพียงแค่ว่าขั้นตอนสุดท้ายพวกเขาจะสรุปรายงานและส่งมาให้ฉันเซ็นรับทราบเท่านั้น!
การเซ็นชื่อก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน! จี้เฟิงยิ้ม
ลายเซ็นไม่ได้เป็นเพียงแค่การถือปากกาและขีดเขียนลงไปบนเอกสารเท่านั้นเพราะก่อนจะเซ็นคุณต้องรู้ก่อนว่าเอกสารที่อยู่ตรงหน้าคุณเป็นเอกสารเกี่ยวกับอะไร และจะส่งผลอย่างไรบ้างถ้าคุณเซ็นลงไปแล้ว
การเป็นประธานบริษัทไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงลานพักผ่อนของชุมชนนี้จี้เฟิงนั่งลงบนม้านั่ง เขาส่งบุหรี่ให้กับจี้ช่าวเหลยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า พี่รองผมมีโครงการบางอย่างอยากจะให้พี่ช่วย
โครงการเกี่ยวกับโรงงานผลิตยาของนายใช่มั้ย? จี้เฟิงเพิ่งจะเกริ่นไปได้ไม่กี่คำ จี้ช่าวเหลยก็รู้แล้วว่าจี้เฟิงจะพูดเรื่องอะไร ถ้านายอยากเดินเส้นทางสายพ่อค้าฉันช่วยนายได้นะ แต่ถ้านายอยากสู้ด้วยเองฉันก็คงช่วยอะไรนายไม่ได้ พี่รองของนายเป็นพ่อค้าทำธุรกิจ ส่วนพี่ใหญ่ของนายก็ไปทางราชการถ้าจะให้ช่วยก็คงมีแค่สองทางนี้เท่านั้น!
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นทันทีผู้ชายคนนี้พูดตรงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย…
อันที่จริงจี้เฟิงก็ไม่คิดที่จะเลือกเดินตามเส้นทางของสายราชการหรือทำธุรกิจในระยะเวลาอันสั้นอยู่แล้วแต่ตอนนี้ยังมีคนตั้งคำถามกับเขาไม่หยุด แล้วถ้าเขายังอาศัยอิทธิพลของตระกูลอีก เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน คนอื่นๆก็คงไม่ยอมรับอยู่ดี!
ดังนั้นจี้เฟิงต้องพึ่งพาตัวเอง!
ขณะที่สองหนุ่มกำลังพูดคุยกันอยู่จี้เฟิงก็สัมผัสถึงการจ้องมองจากใครบางคนได้ จากนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นร่างอันบอบบาง
เขาหันกลับไปมองทันทีและพบว่าเสี่ยวอิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังจ้องมองมาทางเขาอย่างแค้นเคือง