ถึงแม้จะบอกว่าไปทานข้าวเย็นที่ซื่อเหอหยวนบ้านของผู้อาวุโสเฒ่าด้วยกันแต่พอใกล้ถึงเวลาเข้าจริงๆ จี้เจิ้นหัวก็โทรมาบอกกับเซียวซูเหม่ยว่า ให้เธอกับคนอื่นๆล่วงหน้าไปก่อน เขายังมีงานที่ยังต้องเคลียให้เสร็จก่อนถึงจะไปได้
เซียวซูเหม่ยเหมือนจะชินกับงานด่วนที่เข้ามาอย่างกะทันหันของสามีแล้วเธอกำชับจี้เจิ้นหัวไม่ให้เขาหักโหมงานจนมากเกินไปอีกครั้งก่อนจะวางสายไป จากนั้นเธอกับจี้เฟิงและคนอื่นๆ ก็นั่งรถเพื่อไปซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสเฒ่า
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยนั่งรถไปคันเดียวกันส่วนเซียวซูเหม่ยและคนที่เหลือเดินทางโดยรถโฟล์คสวาเกนที่ไม่เด่นสะดุดตามากนัก
จี้เฟิงแอบประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อตอนที่เขาอยู่ที่ชั้นล่าง เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีสองคนนี้อยู่ด้วย เขาคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยดูแลบริเวณโดยรอบอย่างลับๆ
แต่เอาเข้าจริงถ้าคิดพิจารณาอย่างรอบคอบมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ในฐานะอย่างพ่อของเขา ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่ที่บ้านสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
ไม่อย่างนั้นถ้าวันดีคืนดีเกิดมีโจรโง่เง่าคนไหนบุกเข้าไปในบ้านแล้วมาทำร้ายแม่ของเขาเข้าล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องที่เอาไปพูดกันสนุกปากจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตแน่ๆ เป็นผู้บริหารระดับสูงแท้ๆกลับละเลยในเรื่องของความปลอดภัย จนแม้แต่โจรกระจอกยังบุกเข้าไปในบ้านของตัวเองได้ ดังนั้นในแง่ของความปลอดภัยแล้ว สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มากเกินไปเลย
ถ้ามีอะไรที่สามารถคุกคามแม่ของเขาได้ก็คงเป็นคนจากญาติสายรองเท่านั้น
ไม่ต้องยกตัวอย่างที่ไหนไกลจากเหตุการณ์เมื่อเช้าที่จางหยุนเอ๋อบุกเข้ามาหาเรื่องแม่ของเขาถึงที่บ้าน เรื่องนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่สบายใจมาก เพราะถ้ามีครั้งแรก จะมีอะไรมารับประกันได้ว่าจะไม่มีครั้งที่สอง ดังนั้นเขาต้องจัดการความเป็นไปได้นี้ออกไปให้ได้มากที่สุด ถ้ามันกล้าก็ตบหน้ามันดังๆแล้วโยนออกไป ทำให้มันจำจนเวลานอนก็ต้องฝันถึง ตอกย้ำให้ฝังลึกไปยังจิตใจว่าถ้าใครที่มันกล้ามาหาเรื่องบ้านนี้ผลสรุปจะเป็นยังไง!
ตอนนี้ก็ห้าโมงเย็นกว่าๆแล้วแน่นอนว่าเวลาเช่นนี้บนท้องถนนนั้นเรียกได้ว่าเป็นชั่วโมงเร่งด่วน ถนนทั้งเส้นแทบจะเป็นอัมพาต
จี้เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปเส้นวงแหวนรอบนอกตามคำแนะนำของจี้ช่าวเหลยเมื่อหลุดออกมาได้ สภาพการจราจรก็ดีขึ้นมาก
สภาพการจราจรในหยานจิงนี่มันสุดยอดจริงๆ… ขนาดทักษะการขับรถระดับจี้เฟิงยังอดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกพลั่ก กว่าที่จะหลุดไปยังถนนวงแหวนรอบนอก รถบนถนนเมื่อครู่นี้หนาแน่นเกินไปจริงๆ รถที่อยู่ข้างหน้าเพิ่งจะขยับไปได้นิดเดียว คันหลังก็ขยับตามไปติดๆ ติดจนแม้แต่คนเดินเท้าก็ยังไม่สามารถผ่านไปได้
จี้ช่าวเหลยหัวเราะ ช่วยไม่ได้หยานจิงเป็นเมืองใหญ่ คนเยอะรถก็เยอะเป็นธรรมดา แต่ถ้าเป็นวงแหวนรอบนอกรถก็จะน้อยหน่อย สาเหตุหลักๆเป็นเพราะถนนในเมืองสามารถไปทะลุได้หลายสาย แต่รอบนอกมีเพียงไม่กี่สายเท่านั้น พวกเขายังไม่มีแผนทำถนนตัดใหม่เร็วๆนี้ รถก็เลยเข้ามาแออัดกันในเมือง
พอพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ก็เท่ากับพูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับอาชีพเก่าของจี้ช่าวเหลย จี้ช่าวเหลยเป็นประธานบริษัทเจียนอันกรุ๊ปซึ่งแต่เดิมเคยประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทางก่อสร้างอยู่แล้ว ความรู้ความเข้าใจในด้านนี้จึงลึกซึ้งกว่าจี้เฟิงมาก
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่จี้เฟิงก็ดูรถผ่านกระจกมองหลัง เมื่อเห็นว่ารถคันที่แม่นั่งอยู่ตามมาติดๆ จี้เฟิงก็เร่งความเร็วขึ้นทันที
พี่รองบริษัทเจียนอันของพี่อยู่ในระดับไหนเหรอ จี้เฟิงถามด้วยความสงสัย
เขารู้แค่ว่าเจียนอันกรุ๊ปเป็นรัฐวิสาหกิจและตัวพี่รองเองก็ดูเหมือนจะมีระดับไม่ต่ำ แต่ระดับที่แน่นอนเกี่ยวกับตัวเขาและบริษัทจี้เฟิงไม่ค่อยแน่ใจนัก
ตอนนี้ฉันอยู่ระดับกองแล้ว! จี้ช่าวเหลยโบกมือ ยังไงก็ตามมันก็แค่เรื่องน่าปวดหัว ฉันไม่มีความทะเยอทะยานเกี่ยวกับเรื่องระดับอะไรนี่มากนัก!
จี้เฟิงพูดไม่ออกระดับกองเลยเหรอ
พี่รองของเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้นแต่เขาก็อยู่ในระดับกองแล้ว มีผู้นำท้องถิ่นบางคนต้องการจะอยู่ในระดับกอง เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีภูมิหลังที่ดีพอ ไม่เช่นนั้นมีใครบ้างที่ได้อยู่ในระดับนี้แล้วจะมีอายุต่ำกว่าสี่สิบปี
ราวกับรู้ว่าจี้เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่จี้ช่าวเหลยจึงกล่าวต่อว่า น้องสาม อย่าเพิ่งคิดว่าฉันมีอิทธิพลมาก ในระดับกองของสายงานนี้ จริงๆแล้วไม่ต่างจากระดับล่างๆ ในสายงานราชการโดยตรงเลย เมื่อเทียบกันแล้ว ระดับกองอย่างฉันนี่ก็แทบจะไม่มีพลังอำนาจอะไรเลย
เท่านี้ก็สุดยอดแล้ว จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ
จี้เฟิงขับรถเร็วมากตลอดระยะทางพวกเขาพูดคุยและหัวเราะกัน เวลาได้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และตอนนี้ซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสเฒ่าก็เริ่มปรากฏขึ้นให้เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว
Rrrrrr~~!
ในเวลานี้โทรศัพท์ของจี้ช่าวเหลยก็ดังขึ้นเขามองที่หน้าจอโทรศัพท์และพูดขึ้นมาว่า อาสามโทรมาน่ะ
น่าจะเกี่ยวกับมื้อค่ำคืนนี้ จี้เฟิงยิ้ม
จี้ช่าวเหลยรับโทรศัพท์พลางคิดอะไรบางอย่าง ครับอาสาม ผมช่าวเหลย…
เสียงของจี้เจิ้นผิงดังออกมาจากโทรศัพท์เบาๆแต่จี้เฟิงโฟกัสกับการขับรถมากกว่าจะตั้งใจฟัง แต่หลังจากที่จี้ช่าวเหลยวางสายไป จี้เฟิงก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย
มีปัญหาอะไรหรือเปล่า จี้เฟิงถาม
จี้ช่าวเหลยแค่นเสียงอยู่ในลำคอและพูดด้วยเสียงต่ำ มี! และดูท่าว่าจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆซะด้วย!
เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ! จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้อาสามไปถึงแล้วคุณปู่เล็กกับลูกหลานทางฝั่งสายรองอีกสองสามคนก็ไปถึงแล้วเช่นกันแถมพาลูกน้องไปอีกเป็นสิบ มีความเยาะเย้ยเหยียดหยันอยู่บนริมฝีปากของจี้ช่าวเหลย อาสามโทรมาเตือน บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี จะทำอะไรก็อย่าหุนหันพลันแล่น
โอ้ว! จี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้น พวกเขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเหรอ?
จี้ช่าวเหลยแบมือและยักไหล่ ใครจะไปรู้ ยังไงมันก็เป็นแค่การทานอาหารค่ำรวมกันของคนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าอาสามโทรมาเตือนขนาดนี้ พวกเราก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยละกัน!
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆพลางครุ่นคิดจากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า ผมว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นนะ ถ้าจะต้องระวังเวลากินข้าว ก็ควรจะเป็นแค่เรื่องความสะอาดของอาหารและมารยาทบนโต๊ะอาหาร ไม่อย่างนั้นถ้าเรากินข้าวไประแวงไป มันจะไม่ตลกไปหน่อยเหรอ แล้วมีใครที่ไหนบ้างต้องมาคอยระวังตัวเวลาไปเยี่ยมคุณปู่ของตัวเอง…
ดูพูดเข้า! จี้ช่าวเหลยหัวเราะทันที
ไปทานอาหารเย็นกับคุณปู่ของตัวเองแล้วต้องมาคอยระแวงนั่นระแวงนี่ ก็คงจะอึดอัดจนหายใจไม่ออกจริงๆ ทัศนคติที่ไม่แยแสของจี้เฟิง มันทำให้จี้ช่าวเหลยรู้สึกทึ่งกับน้องสามคนนี้มากจริงๆ
พี่รองแต่อาสามก็พูดถูกอยู่นะ เมื่อเราไปถึง เราก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดี ต้องใส่ใจกับรายละเอียดต่างๆ จี้เฟิงยิ้ม สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครที่ไปที่นั่น พวกเขาต่างก็เป็นแขก ส่วนพวกเราในฐานะเจ้าบ้าน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง ดูแลแขกให้ดีอย่าให้ขาดตกบกพร่อง
เจ้าเด็กนี่… จี้ช่าวเหลยถึงกับอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะและยกนิ้วโป้งให้ ถ้านายพูดแบบนี้ต่อหน้าพวกเขานะ ฉันว่าพวกเขาคงได้ลงไปนอนชักดิ้นชักงอกันอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ฮ่าฮ่า ~!
คนทางนั้นเต็มใจและยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้นำตระกูลแต่คำพูดของจี้เฟิงแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่แขกที่มาบ้านของคนอื่นไม่ใช่บ้านของพวกเขาเอง ถ้าคนพวกนั้นยอมรับแต่โดยดีก็คงจะแปลกน่าดู!
แต่หลังจากมาคิดๆดูจี้ช่าวเหลยก็ต้องยอมรับเลยว่าคำพูดของจี้เฟิงช่างน่าทึ่งจริงๆ
ผู้อาวุโสเฒ่าเป็นปู่ของเขาและจี้เฟิงไม่ใช่ปู่ของคนทางนั้น ดังนั้นคนที่มาที่บ้านของคุณปู่ก็เท่ากับว่าพวกเขาเป็นแขก สิ่งที่จี้เฟิงพูดจึงมีเหตุและผลตามหลักการของมันอย่างถูกต้อง ไม่มีอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว!
จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า น้องสามฉันมั่นใจว่าคนทางนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านี้ที่เขากล้าสู้ เพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าพวกเขาอยู่ในฐานะแขกเลยสักครั้ง พวกเขาคิดเสมอว่าพวกเขาก็เป็นผู้นำของตระกูลจี้เช่นกัน ไม่เคยมีใครคิดเรื่องนี้อย่างมีสติแบบนาย ส่วนคนทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาไม่เคยได้สติกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงไม่คู่ควรที่จะนำมาเปรียบเทียบกับนายอีกต่อไป!
จี้เฟิงชำเลืองมองเขา พี่รอง.. ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพี่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะไม่กล้าพูดต่อหน้าพวกเขาตรงๆหรอกเหรอ!
ไอ้เด็กนี่! จี้ช่าวเหลยยิ้มอย่างขมขื่น เรื่องแบบนี้ใครเขาจะไปพูดใส่หน้าคนอื่นได้ง่ายๆกัน
จะคิดอะไรมากผมเป็นคนบ้านนอก การพูดตรงๆไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว! จี้เฟิงหัวเราะ อันที่จริงจี้เฟิงก็เข้าใจดีว่าสิ่งที่จี้ช่าวเหลยพูดนั้นถูกต้อง
เมื่อก่อนจี้ช่าวเหลยไม่ได้คิดจะชิงดีชิงเด่นกับสายรองเพราะเขารู้ตัวว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะนั้น และในตอนนั้นเขาก็ยังไม่มีอะไรที่จะไปต่อสู้กับสายรองได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เลือกเส้นทางอาชีพราชการ เขาเลือกที่จะเดินเส้นทางการทำธุรกิจแทน และในขณะเดียวกันเขาก็ใช้วิธีอื่นเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับจี้ช่าวตง พี่ชายของเขา เพื่อให้เขามีอิทธิพลจากหลายๆทาง ทำให้จี้ช่าวตงโดดเด่นมากที่สุดในตระกูลจี้ และกลายเป็นผู้นำรุ่นที่สามอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ!
วิธีนี้ฉลาดมากอย่างไม่ต้องสงสัยในบรรดาพี่น้องไม่กี่คน ตราบใดที่มีคนคนหนึ่งสามารถลุกขึ้นสู้ได้ ดังนั้นไม่ว่าสายเลือดรองของตระกูลจี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีสิทธิพูดอะไรได้ เพราะสุดท้ายแล้ว จี้ช่าวตงก็เป็นทายาทสายตรงที่แท้จริงของตระกูลจี้! และจี้ช่าวตงก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังเขาแสดงความสามารถและพรสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เขามีความสามารถทางด้านการเมืองที่โดดเด่น มีความเฉลียวฉลาดสุขุม และถ้าไม่ใช่เพราะว่าพ่อของเขาทรุดหนักลงอย่างกะทันหันจากอาการป่วย สายเลือดรองคงได้แต่เฝ้าดูจี้ช่าวตงเติบโตขึ้นไปทีละขั้นอยู่ข้างสนาม แต่เมื่อเห็นว่าจี้ช่าวตงต้องหยุดชะงัก ความหวังที่ริบหรี่ของพวกเขาก็เกิดขึ้น
แต่การปรากฏตัวของจี้เฟิงทำให้ความหวังของพวกเขาต้องดับลงเสาหลักอันแข็งแรงของสายตรงที่เริ่มจะสั่นคลอนกลับมีจี้เฟิงมาทำให้มันแน่นหนาขึ้นไปกว่าก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ เลือดสายรองจึงรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นตัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เดิมทีมีจี้ช่าวตงอยู่ในสายตรงก็กดดันหนักมากพออยู่แล้วแต่จู่ๆก็มีหลานชายคนโตผู้ซึ่งมีสิทธิทางสายเลือดอย่างถูกต้องโผล่ขึ้นมา ไม่ว่าจะทางไหนก็ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลรุ่นที่สามจะไม่ตกใส่หัวพวกเขาอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนี้เองตำแหน่งของผู้นำตระกูลรุ่นที่สามจึงตกไปอยู่กับจี้เฟิง และจี้เฟิงก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งของสายเลือดรองในทันที!
ในเมื่อไม่สามารถสู้กับจี้ช่าวตงได้ง่ายๆแต่กับเด็กยากจนที่มาจากชนชั้นรากหญ้าคนหนึ่งก็น่าจะไม่เป็นปัญหา
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเมื่อจี้เฟิงกลายเป็นทายาทรุ่นที่สามของผู้นำตระกูลจี้ดังนั้นจี้ช่าวตงจึงหมดสิทธิ์ไปโดยปริยาย และเขาก็ไม่สามารถแข่งขันกับจี้เฟิงได้
และหลังจากนั้นพวกเขาได้สืบเสาะหาความสามารถและต้นกำเนิดของจี้เฟิงและเมื่อรู้ว่าเขามาจากชนชั้นรากหญ้าเป็นเพียงแต่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง และใช้เรื่องนี้ในการปฏิเสธจี้เฟิงไปอย่างช้าๆ และเป็นผลให้ไม่มีใครในสายตรงสามารถเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของตระกูลจี้ได้อีก!
และตำแหน่งนี้จะตกอยู่กับสายเลือดรองโดยธรรมชาติ! แน่นอนจี้เฟิงรู้ดีว่านี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงถูกผลักให้เข้าสู่คลื่นมรสุมรวดเร็วนัก นับเป็นการคำนวณที่ดีจริงๆ
จี้ช่าวเหลยก็เข้าใจเรื่องนี้ดีดังนั้นเขาและจี้ช่าวตง พี่ชายของเขาจึงใช้วิธีการต่างๆเพื่อมาเป็นแรงสนับสนุนจี้เฟิงอย่างเต็มที่ ไม่สำคัญว่าพี่น้องคนไหนจะได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นที่สามไป สิ่งสำคัญคืออย่าให้ตำแหน่งนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น!
น้องสามยังไงนายก็ระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน ไม่ประมาทดีที่สุด จี้ช่าวเหลยกำชับอีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่าคราวนี้คนคนนั้นจะมาด้วยหรือเปล่า แต่เขาเป็นคนที่เราควรระวัง!
ใช่คนที่ชื่อจี้เส้าหงที่พี่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่า จี้เฟิงถาม
อืมเขานั่นแหละ! จี้ช่าวเหลยพยักหน้า พี่ใหญ่บอกว่าถ้าเขากับจี้เส้าหงเผชิญหน้ากัน ผลแพ้ชนะน่าจะครึ่งต่อครึ่ง แม้ว่าจี้เสาหงจะยังมีประสบการณ์ไม่มากนัก วิสัยทัศน์ก็ยังไม่ยาวไกลเท่ากับพี่ใหญ่ แต่เขาก็มีพลังสนับสนุนที่น่ากลัวและที่สำคัญ เขาเป็นคนฉลาด
แต่เรามีคุณปู่! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
จี้ช่าวเหลยตกใจจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา ใช่! ตราบใดที่ยังมีผู้อาวุโสเฒ่าอยู่ ไม่ว่าสายเลือดรองจะเล่นท่ายากมากแค่ไหน ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรกับเรา!
จี้ช่าวเหลยถอนหายใจอย่างลับๆไม่รู้ว่าสมองของจี้เฟิงเติบโตและทำงานยังไง ในขณะที่คนอื่นยังคงดิ้นรนหาวิธีที่จะจัดการกับเขา แต่เขากับตั้งเป้าไปที่ผู้อาวุโสเฒ่าแล้ว
ตราบใดที่ได้แรงสนับสนุนจากผู้อาวุโสเฒ่าและพ่อของพวกเขาไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไง มันจะมีประโยชน์อะไร
พวกคุณต้องทราบว่าเส้นสายต่างๆ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแน่นแฟ้นส่วนใหญ่ของตระกูลจี้ ล้วนอยู่ในมือของผู้อาวุโสจี้เกือบทั้งหมด และในส่วนเล็กๆที่เหลือนั้น ก็อยู่ในมือของคุณลุง คุณอาและพ่อของเขาด้วย หากสายเลือดรองละทิ้งผู้อาวุโสจี้ไป จะมีแรงสนับสนุนไหนที่ใหญ่ไปกว่านี้อีก
เมื่อเห็นท่าทางที่โล่งใจของจี้ช่าวเหลยจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ผมคิดว่าพวกเรามองคนทางนั้นสูงเกินไป ตราบใดที่เรามองให้ถึงแก่นแท้ของพวกเขา พวกเราก็จะเห็นว่าพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น!
โอ้!ขนาดนั้นเชียว ฮ่าฮ่า~! จี้ช่าวเหลยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งตารอคืนนี้ ดูซิว่านายจะหักหน้าพวกเขาได้รึเปล่า!
จี้เฟิงหัวเราะอย่างว่างเปล่า….
และตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นลานบ้านคุณปู่ของพวกเขาแล้ว….