จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติคำขอของอาสามนั้นไม่ได้มากเกินไปเลย ฝีมือของเขาก็ไม่เลว ย่อมสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมเพื่อช่วยฝึกฝนทหารเหล่านั้นได้
หากเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้คนอื่นๆก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ประเด็นคือจี้เฟิงแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง!
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้แทบไม่มีวิชากังฟูที่ดูปกติในสายตาคนอื่นเลยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้และนำมาใช้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ความช่วยเหลือจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสิ้น และยังไม่มีวิชากังฟูที่สมบูรณ์เลย
หากเป็นวิชากังฟูแบบดั้งเดิมของประเทศจีนก็จะมีรูปแบบที่เรียกว่าวิชาหมัดเช่น หมัดหงฉวน หมัดหย่งชุน หรือวิชาอื่นๆที่คนทั่วไปรู้จัก จะมีลำดับขั้นตอนในการฝึกฝนและมีรูปแบบบางอย่าง
แต่วิชาที่จี้เฟิงเรียนรู้มีเพียงเป้าหมายเดียวนั่นก็คือ การฆ่าคน!
ตราบใดที่คุณสามารถฆ่าคนได้คุณก็สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ใดๆก็ได้ และสิ่งที่เขาต้องการเวลาที่จะต้องฆ่าคนมันก็ชัดเจนและเรียบง่ายมาก จะต้องฆ่าศัตรูอย่างรวดเร็วที่สุดโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
ดังนั้นรูปแบบของวิชาการต่อสู้ที่จี้เฟิงเคยเรียนมาจึงมีเป็นแค่การโจมตีต่อเนื่องกันห้าครั้งเท่านั้น
มันเป็นการโจมตีครั้งเดียวติดต่อกันถึง5 ครั้ง และต้องพยายามสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด นี่คือสกิลคอมโบที่จี้เฟิงเรียกว่า คอมโบมรณะห้าชุด!
แต่นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้มาคือจุดตายที่อยู่บนร่างกายของมนุษย์ล้วนๆ
ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรและจะต้องเลือกใช้วิธีการใดถึงจะสามารถสังหารศัตรูได้… สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้คือทักษะการต่อสู้ประเภทนี้
ยกตัวอย่างเช่นจู่ๆศัตรูเกิดความหวาดกลัว และปฏิกิริยาที่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เมื่อเกิดความหวาดกลัวก็คือการหนี การหนีของมนุษย์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการถอยหนี หมุนตัวหันหลังหนี หรือวิ่งหนีไปแบบดื้อๆ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวแบบใด นี่คือสิ่งที่จี้เฟิงต้องวิเคราะห์และเรียนรู้ที่จะต้องเลือกว่าจะใช้วิธีการโจมตีการเคลื่อนไหวเหล่านี้ของอีกฝ่ายอย่างไรจึงจะเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วว่องไวที่สุด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบอกเลยว่าจี้เฟิงนั้นมีความชำนาญมาก เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดปัญหาใดๆแทบจะเป็นศูนย์ เพราะร่างกายของเขาถูกกระตุ้นโดยกระแสไฟฟ้าชีวภาพ ร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันเป็นอะไรที่เหนือกว่าร่างกายของคนทั่วไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ยากแค่ไหน เขาก็สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
….แต่ทหารพวกนั้นคงจะทำได้ไม่ได้!
เมื่อเห็นจี้เฟิงนั่งเงียบจี้เจิ้นผิงก็ถลึงตาใส่ทันที “เจ้าเด็กเหลือขอ นายกลัวว่าคนอื่นจะขโมยวิชากังฟูของนายงั้นเหรอ!”
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่ายังไงดี
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า“อาสามครับ ผมขอบอกแบบนี้แล้วกัน วิชาต่อสู้ที่ผมเรียนมามันไม่เหมาะกับทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอาสามหรอก เพราะถ้าหากไม่มีเงื่อนไขบางอย่าง มันจะไม่สามารถเรียนรู้วิชาต่อสู้ของผมได้”
“ถ้าไม่มีเราก็สร้างเงื่อนไขขึ้นมาแล้วเรียนรู้มันซะสิ!”จี้เจิ้นผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “เจ้าเด็กเหลือขอ อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระอ้อมไปอ้อมมาอยู่เลย ยังไงซะอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ ทหารหน่วยพิเศษของฉันจะคว้าแชมป์การประลองของเขตทหารแห่งชาติได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!” จี้เฟิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้“อาสามว่าแต่ผมพูดจาอ้อมค้อม อานั่นแหละที่บอกว่าแค่จะยืมมือผมสั่งสอนทหารของอานิดๆหน่อยๆ… แต่ดูยังไงๆอาสามก็ตั้งใจจะให้ผมสอนวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเขาแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ!”
จี้เฟิงเข้าใจก็ตอนนี้เองเหตุผลที่อาสามทำเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะให้เขามาสอนวิชาต่อสู้กับเหล่าทหาร โดยตั้งใจให้เหล่าทหารมาท้าประลองกับเขา แล้วหลังจากนั้นการสอนของเขาจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก
จี้เจิ้นผิงได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาหัวเราะหึหึ “ใครใช้ให้นายเก่งขนาดนั้น ถ้าฉันยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คงโง่มากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนายมีฝีมือที่ดีขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องออกแรงเพื่อประเทศชาติบ้างสิ!”
“ก็ได้ครับ…”จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้แล้วว่าเขาไม่สามารถหลบเลี่ยงเรื่องนี้ได้แล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “อาสาม ผมต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่มีวิธีเร่งรัดที่จะทำให้ทหารของอาสามเก่งได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว วิชาของผมจะเรียกว่าเป็นวิชาการต่อสู้แขนงใดแขนงหนึ่งก็ไม่เชิง มันเป็นเหมือนกับการเสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของร่างกาย แต่ถ้าทหารในสังกัดของอาสามทำตามวิธีของผมจนครบขั้นตอนได้ภายใน 1 ปี สภาพร่างกายของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างมาก แล้วเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เขาใช้ทักษะการต่อสู้ทางการทหารที่พวกเขามีอยู่ก่อนแล้ว แต่พลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายเท่า แต่ประเด็นคือพวกเขาจะสามารถยืนหยัดอดทนฝึกฝนแบบนี้ได้ตลอดไปหรือเปล่าเท่านั้น!”
“คำว่าทหารก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความอดทนอยู่แล้วไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทนไม่ได้!” จี้เจิ้นผิงพูดเสียงหนักแน่น “ถ้าพวกเขาทนไม่ไหว ฉันจะเป็นผู้นำในการฝึกกับพวกเขา แล้วถ้าใครที่ยืนหยัดอดทนไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นทหาร!”
จี้เฟิงตะลึงเขารู้สึกเคารพนับถืออาสามของเขาจากใจจริง
แม้ว่าในบางครั้งอาสามของเขาจะมีนิสัยเหมือนเด็กหนุ่มใจร้อนแต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นชายชาติทหารที่แท้จริง ฝังลึกไปยันกระดูกเลยก็ว่าได้ จี้เฟิงกล้าพูดเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ดุดันและเข้มแข็งจากอาสามของเขา
คนประเภทนี้ต่อให้ไม่ใช่อาสามของเขาก็ยังควรค่าแก่การให้ความเคารพนับถือ!
จี้เฟิงก้มมองไปที่นาฬิกาข้อมือเขาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อาสาม ผมคิดว่าร่างกายของครูฝึกเหล่านั้นน่าจะฟื้นตัวแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรารีบตามไปตอนนี้ ผมจะสอนวิธีการฝึกฝนเบื้องต้นให้กับพวกเขาเอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไร อาสามก็โทรหาผมได้ตลอด!”
จี้เจิ้นผิงถลึงตาใส่เขาทันที“แล้วทำไมนายไม่บอกแบบนี้ตั้งแต่แรก จะให้เดินทางกลับไปกลับมาทำไม!”
จี้เฟิงเปิดปากของเขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ทำไมอาสามถึงได้มาเหวี่ยงใส่เขากันล่ะเนี่ย… เขาไม่ได้เป็นคนผิดสักหน่อย
จี้เจิ้นผิงก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าเขาเองต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจกลับมาที่สำนักงานแต่ต่อหน้าเด็กๆอย่างจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลย จะให้เขายอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ยังไง เขาพ่นลมหายใจอย่างแรงและเดินกลับออกไปทันที ทิ้งให้จี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยยืนงง จากนั้นพวกเขาก็หันมามองหน้ากันและกันและยิ้มออกมา
เมื่อเห็นจี้เจิ้นผิงและอีกสองคนเดินลงบันไดมาดวงตาของฮุ่ยอี้ที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ฉายแววกระตือรือร้นออกมาทันที ความแข็งแกร่งของจี้เฟิงนั้นเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
ถ้าเขามีความสามารถแบบนี้…
แน่นอนว่าจี้เจิ้นผิงนั้นสังเกตเห็นแววตาของฮุ่ยอี้ได้ในทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและบ่น “ดูสีหน้าของนายตอนนี้สิ กำลังมีความรักหรือยังไง รีบๆไปเอารถมาสิ!”
ฮุ่ยอี้ยิ้มออกมาอย่างอายๆและรีบวิ่งไปทันที และกลับมาพร้อมกับรถจี๊ปคันเดิม
จี้ช่าวเหลยฉวยโอกาสนี้กระซิบกับจี้เฟิงเบาๆว่า“น้องสาม ไม่มีทางเร่งให้เร็วขึ้นกว่านี้แล้วเหรอ หนึ่งปี… ฉันว่ามันนานไปหน่อย!”
ถ้าหากมีวิธีที่จะทำให้เขาชนะเซียงยี่โหรวได้เร็วขึ้นแม้แต่วันเดียวจี้ช่าวเหลยก็เต็มใจที่จะทำ! พอคิดว่าเขาจะได้พลิกบทบาทกลายเป็นผู้นำ และเซียงยี่โหรวก็จะกลายเป็นภรรยาตัวน้อยๆที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่ม
จี้เฟิงตอบอย่างอารมณ์เสีย“ผมว่าผมบอกพี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าต้องการอะไรเร็วๆก็มีวิธีอยู่ แค่นาทีเดียวเท่านั้น ใช้วิธีนั้นไปแล้วกัน!”
จี้ช่าวเหลยพูดไม่ออกถ้าเขากล้าใช้ปืนพกบีบบังคับเซียงยี่โหรว เกรงว่าวันรุ่งขึ้นพี่ชายของเซียงยี่โหรวคงจะพาทหารมาฆ่าเขาถึงในบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซียงยี่โหรวจะเปลี่ยนไป มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างชายหญิงถ้าเขาจะเอาชนะ เขาต้องเอาชนะเธอด้วยความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น!
เมื่อทั้งสี่คนมาถึงห้องฝึกซ้อมอีกครั้งจี้เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าในห้องโถงนี้เหมือนจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยคน ห้องโถงที่เดิมทีกว้างขวางและดูโล่งในระดับหนึ่งตอนนี้กลับดูแออัดขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าคนหลายร้อยคนที่ถูกคัดออกจากการแข่งขันก่อนหน้านี้ทำให้ผู้ชนะเหล่านั้นถูกตัดสิทธิ์ ดังนั้นทหารคนอื่นๆจึงได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองในกองทัพแทน
ครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่เข้าร่วมประลองกับจี้เฟิงก่อนหน้านี้กำลังตะโกนเสียงดัง
“ในฐานะครูฝึกการที่ผมไม่สามารถนำพวกคุณไปเอาชนะศัตรูได้ถือเป็นการละเลยของผม ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะถูกลงโทษกับพวกคุณด้วย หน่วยแรกทั้งหมด พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารกลางวัน และใช้เวลานั้นแบกอาวุธไปวิ่งเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตรทันที จากนั้นมาเริ่มฝึกการต่อสู้จริงภายในเวลาที่กำหนด แต่ถ้าหากไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด พวกคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารเย็น!”
“หน่วยที่สองทั้งหมดฝึกการต่อสู้จริงเป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นไปวิ่งรอบเขตทหาร ปฏิบัติ!”
“หน่วยที่สาม…”
ครู่ฝึกทั้งเจ็ดคนตะโกนด้วยใบหน้าที่คร่ำเครียดแววตาเต็มไปด้วยความดุดัน น้ำเสียงก็เย็นชาราวกับมันเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันที่ขบกันแน่นด้วยความโกรธแค้นก็ไม่ปาน
เหล่าทหารที่อยู่ภายใต้สังกัดของพวกทั้งหมดต่างดูเหมือนจะสิ้นหวังทำให้ผู้ที่มาใหม่ได้แต่พากันตกตะลึงและถามกันอย่างลับๆว่า “พวกเขาไปหงุดหงิดอะไรกันมา”
เหล่าครูฝึกที่ถูกคัดออกก่อนหน้านี้กลับรู้สึกเศร้าสลดใจพวกเขาได้ยินเรื่องที่เพื่อนร่วมรบทั้งเจ็ดคนล้อมโจมตีผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนหนึ่ง แต่ทุกคนกลับถูกเตะจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง จนไม่เหลือเค้าเดิมของทหารผู้แข็งแกร่งเลย พวกเขาต่างพูดไม่ออก หลักๆแล้วพวกเขาเองรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของสหายทั้งเจ็ดคนนี้ดี เมื่อเทียบกันพวกเขาแล้ว ครูฝึกเจ็ดคนนั้น แข็งแกร่งกว่าพวกเขาแทบจะครึ่งต่อครึ่ง แต่เจ็ดคนนั้นที่เป็นฝ่ายปิดล้อมคนคนเดียว กลับถูกซัดกลับซะจนกระเด็น ว่ากันว่าพวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นจากพื้นได้
น่าขายหน้าจริงๆ!
แต่ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนั้นก็ทำให้ทหารและครูฝึกใหม่เหล่านี้เกิดความระแวดระวังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
“กริ๊งงงงงงงงงงง———!!!”เสียงกริ่งในห้องโถงดังขึ้น
ในห้องโถงที่เดิมทีมีเสียงพูดคุยและเสียงฝึกซ้อมที่ดังมากอยู่แล้วพลันเงียบลงทันทีพวกเขาทุกคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จี้เฟิงที่เฝ้ามองอยู่ตั้งใจจับเวลาอยู่เงียบๆ
6วินาที! เหล่าทหารเกือบหนึ่งพันคนได้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ไม่มีความยุ่งเหยิงหรือแม้แต่เสียงใดๆ
จี้เฟิงอดที่จะชื่นชมไม่ได้แค่คุณภาพระดับนี้ก็น่ายกย่องแล้ว!
จี้เจิ้นผิงกวาดสายตามองไปรอบหนึ่งสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงดังว่า “วันนี้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนี้มีฝีมือเป็นเช่นไรพวกคุณก็น่าจะรู้กันดีแล้วใช่มั้ย
“ทราบแล้วครับ!”ทุกคนตอบเสียงดัง
จี้เจิ้นผิงพยักหน้าแล้วพูดต่อ“งั้นก็ดี ต่อไปครูฝึกคนนี้จะเป็นคนคอยแนะนำพวกคุณ จำเอาไว้ โอกาสที่ดีไม่ใช่จะมาอยู่ตรงหน้าได้ง่ายๆ พวกคุณจะสามารถเรียนรู้อะไรจากครูฝึกคนนี้ได้บ้างก็อยู่ที่พวกเธอจะจริงจังแค่ไหน!” ดวงตาของเหล่าทหารเปล่งประกายทันทีพวกเขาสามารถเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนี้ได้จริงๆเหรอ
จี้เฟิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลมากเกินไป สิ่งที่ผมอยากจะสอนพวกคุณไม่ได้มีอะไรมากนัก มันเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวเท่านั้น อืม… พวกคุณสามารถเรียกมันว่ายิมนาสติกก็ได้ ยิมนาสติกแบบฉบับของผมนั้นสามารถปรับสมดุลร่างกายของพวกคุณ และเป็นประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไว้ลองทำดูแล้วพวกคุณจะค่อยๆเข้าใจเอง พวกคุณทุกคนที่อยู่ด้านล่างสามารถทำตามผมได้เลย!”
ทุกคนจ้องมองจี้เฟิงอย่างตั้งใจไม่มีใครหัวเราะหรือแม้แต่เผยรอยยิ้มเลย แม้จี้เฟิงจะพูดว่าเป็นยิมนาสติกก็ตาม หรือต่อให้เป็นยิมนาสติกที่เคยฉายตามทีวี ตราบใดที่มันทำให้พวกเขาสามารถกลายเป็นยอดฝีมือและแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็คือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
จี้เฟิงนั่งลงบนพื้นแยกขาสองข้างออกจากกันจนขนานกับพื้น ร่างกายท่อนบนตรง สองมือกางออก และค่อยๆก้มลงไป…
ยิมนาสติกชุดแรกแต่ละท่าดูแปลกมากมันดูเหมือนโยคะ แต่ก็ไม่ได้มีท่วงท่าที่เกินจริงแบบโยคะ แต่อย่างไรก็ตามทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เรียกว่ายิมนาสติกนี้ทำได้ยากกว่าโยคะเสียอีก
เมื่อครูฝึกเห็นการกระทำนี้สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที ด้วยสายตาของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นถึงความยากของการเคลื่อนไหวนี้ หากแบบนี้เรียกว่ายิมนาสติก การบริหารร่างกายแบบยิมนาสติกที่พวกเขาเคยทำก่อนหน้านี้คงจะเรียกว่ายิมนาสติกไม่ได้อีกต่อไป มันคงเป็นแค่การรำไทเก๊กของผู้สูงวัยเท่านั้น
หลังจากทำเสร็จใบหน้าของจี้เฟิงยังคงสงบนิ่ง อัตราการเต้นของหัวใจยังคงที่ ไม่มีอาการหอบหายใจให้เห็นเลย เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ผมต้องการให้พวกคุณทำการเคลื่อนไหวนี้ได้อย่างคล่องแคล่วภายในระยะเวลา 1 ปี ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยร่างกายของพวกคุณก็จะแข็งแรงขึ้นกว่าตอนนี้ถึงสองเท่า… หรืออาจจะมากกว่านั้น เอาล่ะ เริ่มได้!”
ก่อนหน้านี้ได้มีทหารบันทึกการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของจี้เฟิงเอาไว้แล้วพวกเขาฉายการบันทึกนั้นบนจอภาพขนาดใหญ่บนผนัง และทุกคนก็เริ่มทำท่าตาม
แต่แค่ท่าแรกก็เหมือนว่าพวกเขาหลายคนจะทำมันอย่างยากลำบาก!
หากเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้คนอื่นๆก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ประเด็นคือจี้เฟิงแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปอย่างสิ้นเชิง!
สิ่งที่เขาได้เรียนรู้แทบไม่มีวิชากังฟูที่ดูปกติในสายตาคนอื่นเลยตลอด 1 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้และนำมาใช้เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ความช่วยเหลือจากกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสิ้น และยังไม่มีวิชากังฟูที่สมบูรณ์เลย
หากเป็นวิชากังฟูแบบดั้งเดิมของประเทศจีนก็จะมีรูปแบบที่เรียกว่าวิชาหมัดเช่น หมัดหงฉวน หมัดหย่งชุน หรือวิชาอื่นๆที่คนทั่วไปรู้จัก จะมีลำดับขั้นตอนในการฝึกฝนและมีรูปแบบบางอย่าง
แต่วิชาที่จี้เฟิงเรียนรู้มีเพียงเป้าหมายเดียวนั่นก็คือ การฆ่าคน!
ตราบใดที่คุณสามารถฆ่าคนได้คุณก็สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ใดๆก็ได้ และสิ่งที่เขาต้องการเวลาที่จะต้องฆ่าคนมันก็ชัดเจนและเรียบง่ายมาก จะต้องฆ่าศัตรูอย่างรวดเร็วที่สุดโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
ดังนั้นรูปแบบของวิชาการต่อสู้ที่จี้เฟิงเคยเรียนมาจึงมีเป็นแค่การโจมตีต่อเนื่องกันห้าครั้งเท่านั้น
มันเป็นการโจมตีครั้งเดียวติดต่อกันถึง5 ครั้ง และต้องพยายามสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด นี่คือสกิลคอมโบที่จี้เฟิงเรียกว่า คอมโบมรณะห้าชุด!
แต่นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้มาคือจุดตายที่อยู่บนร่างกายของมนุษย์ล้วนๆ
ต้องดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรและจะต้องเลือกใช้วิธีการใดถึงจะสามารถสังหารศัตรูได้… สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้คือทักษะการต่อสู้ประเภทนี้
ยกตัวอย่างเช่นจู่ๆศัตรูเกิดความหวาดกลัว และปฏิกิริยาที่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เมื่อเกิดความหวาดกลัวก็คือการหนี การหนีของมนุษย์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการถอยหนี หมุนตัวหันหลังหนี หรือวิ่งหนีไปแบบดื้อๆ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวแบบใด นี่คือสิ่งที่จี้เฟิงต้องวิเคราะห์และเรียนรู้ที่จะต้องเลือกว่าจะใช้วิธีการโจมตีการเคลื่อนไหวเหล่านี้ของอีกฝ่ายอย่างไรจึงจะเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วว่องไวที่สุด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ต้องขอบอกเลยว่าจี้เฟิงนั้นมีความชำนาญมาก เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดปัญหาใดๆแทบจะเป็นศูนย์ เพราะร่างกายของเขาถูกกระตุ้นโดยกระแสไฟฟ้าชีวภาพ ร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันเป็นอะไรที่เหนือกว่าร่างกายของคนทั่วไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ยากแค่ไหน เขาก็สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
….แต่ทหารพวกนั้นคงจะทำได้ไม่ได้!
เมื่อเห็นจี้เฟิงนั่งเงียบจี้เจิ้นผิงก็ถลึงตาใส่ทันที “เจ้าเด็กเหลือขอ นายกลัวว่าคนอื่นจะขโมยวิชากังฟูของนายงั้นเหรอ!”
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่ายังไงดี
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า“อาสามครับ ผมขอบอกแบบนี้แล้วกัน วิชาต่อสู้ที่ผมเรียนมามันไม่เหมาะกับทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอาสามหรอก เพราะถ้าหากไม่มีเงื่อนไขบางอย่าง มันจะไม่สามารถเรียนรู้วิชาต่อสู้ของผมได้”
“ถ้าไม่มีเราก็สร้างเงื่อนไขขึ้นมาแล้วเรียนรู้มันซะสิ!”จี้เจิ้นผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “เจ้าเด็กเหลือขอ อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระอ้อมไปอ้อมมาอยู่เลย ยังไงซะอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ ทหารหน่วยพิเศษของฉันจะคว้าแชมป์การประลองของเขตทหารแห่งชาติได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!” จี้เฟิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้“อาสามว่าแต่ผมพูดจาอ้อมค้อม อานั่นแหละที่บอกว่าแค่จะยืมมือผมสั่งสอนทหารของอานิดๆหน่อยๆ… แต่ดูยังไงๆอาสามก็ตั้งใจจะให้ผมสอนวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเขาแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ!”
จี้เฟิงเข้าใจก็ตอนนี้เองเหตุผลที่อาสามทำเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะให้เขามาสอนวิชาต่อสู้กับเหล่าทหาร โดยตั้งใจให้เหล่าทหารมาท้าประลองกับเขา แล้วหลังจากนั้นการสอนของเขาจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก
จี้เจิ้นผิงได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาหัวเราะหึหึ “ใครใช้ให้นายเก่งขนาดนั้น ถ้าฉันยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คงโง่มากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนายมีฝีมือที่ดีขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องออกแรงเพื่อประเทศชาติบ้างสิ!”
“ก็ได้ครับ…”จี้เฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้แล้วว่าเขาไม่สามารถหลบเลี่ยงเรื่องนี้ได้แล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “อาสาม ผมต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่มีวิธีเร่งรัดที่จะทำให้ทหารของอาสามเก่งได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว วิชาของผมจะเรียกว่าเป็นวิชาการต่อสู้แขนงใดแขนงหนึ่งก็ไม่เชิง มันเป็นเหมือนกับการเสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของร่างกาย แต่ถ้าทหารในสังกัดของอาสามทำตามวิธีของผมจนครบขั้นตอนได้ภายใน 1 ปี สภาพร่างกายของพวกเขาจะดีขึ้นอย่างมาก แล้วเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เขาใช้ทักษะการต่อสู้ทางการทหารที่พวกเขามีอยู่ก่อนแล้ว แต่พลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายเท่า แต่ประเด็นคือพวกเขาจะสามารถยืนหยัดอดทนฝึกฝนแบบนี้ได้ตลอดไปหรือเปล่าเท่านั้น!”
“คำว่าทหารก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความอดทนอยู่แล้วไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทนไม่ได้!” จี้เจิ้นผิงพูดเสียงหนักแน่น “ถ้าพวกเขาทนไม่ไหว ฉันจะเป็นผู้นำในการฝึกกับพวกเขา แล้วถ้าใครที่ยืนหยัดอดทนไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นทหาร!”
จี้เฟิงตะลึงเขารู้สึกเคารพนับถืออาสามของเขาจากใจจริง
แม้ว่าในบางครั้งอาสามของเขาจะมีนิสัยเหมือนเด็กหนุ่มใจร้อนแต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นชายชาติทหารที่แท้จริง ฝังลึกไปยันกระดูกเลยก็ว่าได้ จี้เฟิงกล้าพูดเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ดุดันและเข้มแข็งจากอาสามของเขา
คนประเภทนี้ต่อให้ไม่ใช่อาสามของเขาก็ยังควรค่าแก่การให้ความเคารพนับถือ!
จี้เฟิงก้มมองไปที่นาฬิกาข้อมือเขาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อาสาม ผมคิดว่าร่างกายของครูฝึกเหล่านั้นน่าจะฟื้นตัวแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรารีบตามไปตอนนี้ ผมจะสอนวิธีการฝึกฝนเบื้องต้นให้กับพวกเขาเอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไร อาสามก็โทรหาผมได้ตลอด!”
จี้เจิ้นผิงถลึงตาใส่เขาทันที“แล้วทำไมนายไม่บอกแบบนี้ตั้งแต่แรก จะให้เดินทางกลับไปกลับมาทำไม!”
จี้เฟิงเปิดปากของเขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ทำไมอาสามถึงได้มาเหวี่ยงใส่เขากันล่ะเนี่ย… เขาไม่ได้เป็นคนผิดสักหน่อย
จี้เจิ้นผิงก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าเขาเองต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจกลับมาที่สำนักงานแต่ต่อหน้าเด็กๆอย่างจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลย จะให้เขายอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ยังไง เขาพ่นลมหายใจอย่างแรงและเดินกลับออกไปทันที ทิ้งให้จี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยยืนงง จากนั้นพวกเขาก็หันมามองหน้ากันและกันและยิ้มออกมา
เมื่อเห็นจี้เจิ้นผิงและอีกสองคนเดินลงบันไดมาดวงตาของฮุ่ยอี้ที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ฉายแววกระตือรือร้นออกมาทันที ความแข็งแกร่งของจี้เฟิงนั้นเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
ถ้าเขามีความสามารถแบบนี้…
แน่นอนว่าจี้เจิ้นผิงนั้นสังเกตเห็นแววตาของฮุ่ยอี้ได้ในทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและบ่น “ดูสีหน้าของนายตอนนี้สิ กำลังมีความรักหรือยังไง รีบๆไปเอารถมาสิ!”
ฮุ่ยอี้ยิ้มออกมาอย่างอายๆและรีบวิ่งไปทันที และกลับมาพร้อมกับรถจี๊ปคันเดิม
จี้ช่าวเหลยฉวยโอกาสนี้กระซิบกับจี้เฟิงเบาๆว่า“น้องสาม ไม่มีทางเร่งให้เร็วขึ้นกว่านี้แล้วเหรอ หนึ่งปี… ฉันว่ามันนานไปหน่อย!”
ถ้าหากมีวิธีที่จะทำให้เขาชนะเซียงยี่โหรวได้เร็วขึ้นแม้แต่วันเดียวจี้ช่าวเหลยก็เต็มใจที่จะทำ! พอคิดว่าเขาจะได้พลิกบทบาทกลายเป็นผู้นำ และเซียงยี่โหรวก็จะกลายเป็นภรรยาตัวน้อยๆที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่ม
จี้เฟิงตอบอย่างอารมณ์เสีย“ผมว่าผมบอกพี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าต้องการอะไรเร็วๆก็มีวิธีอยู่ แค่นาทีเดียวเท่านั้น ใช้วิธีนั้นไปแล้วกัน!”
จี้ช่าวเหลยพูดไม่ออกถ้าเขากล้าใช้ปืนพกบีบบังคับเซียงยี่โหรว เกรงว่าวันรุ่งขึ้นพี่ชายของเซียงยี่โหรวคงจะพาทหารมาฆ่าเขาถึงในบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเซียงยี่โหรวจะเปลี่ยนไป มันจะกลายเป็นสงครามระหว่างชายหญิงถ้าเขาจะเอาชนะ เขาต้องเอาชนะเธอด้วยความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น!
เมื่อทั้งสี่คนมาถึงห้องฝึกซ้อมอีกครั้งจี้เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าในห้องโถงนี้เหมือนจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยคน ห้องโถงที่เดิมทีกว้างขวางและดูโล่งในระดับหนึ่งตอนนี้กลับดูแออัดขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าคนหลายร้อยคนที่ถูกคัดออกจากการแข่งขันก่อนหน้านี้ทำให้ผู้ชนะเหล่านั้นถูกตัดสิทธิ์ ดังนั้นทหารคนอื่นๆจึงได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองในกองทัพแทน
ครูฝึกทั้งเจ็ดคนที่เข้าร่วมประลองกับจี้เฟิงก่อนหน้านี้กำลังตะโกนเสียงดัง
“ในฐานะครูฝึกการที่ผมไม่สามารถนำพวกคุณไปเอาชนะศัตรูได้ถือเป็นการละเลยของผม ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเลือกที่จะถูกลงโทษกับพวกคุณด้วย หน่วยแรกทั้งหมด พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารกลางวัน และใช้เวลานั้นแบกอาวุธไปวิ่งเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตรทันที จากนั้นมาเริ่มฝึกการต่อสู้จริงภายในเวลาที่กำหนด แต่ถ้าหากไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด พวกคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารเย็น!”
“หน่วยที่สองทั้งหมดฝึกการต่อสู้จริงเป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นไปวิ่งรอบเขตทหาร ปฏิบัติ!”
“หน่วยที่สาม…”
ครู่ฝึกทั้งเจ็ดคนตะโกนด้วยใบหน้าที่คร่ำเครียดแววตาเต็มไปด้วยความดุดัน น้ำเสียงก็เย็นชาราวกับมันเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันที่ขบกันแน่นด้วยความโกรธแค้นก็ไม่ปาน
เหล่าทหารที่อยู่ภายใต้สังกัดของพวกทั้งหมดต่างดูเหมือนจะสิ้นหวังทำให้ผู้ที่มาใหม่ได้แต่พากันตกตะลึงและถามกันอย่างลับๆว่า “พวกเขาไปหงุดหงิดอะไรกันมา”
เหล่าครูฝึกที่ถูกคัดออกก่อนหน้านี้กลับรู้สึกเศร้าสลดใจพวกเขาได้ยินเรื่องที่เพื่อนร่วมรบทั้งเจ็ดคนล้อมโจมตีผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนหนึ่ง แต่ทุกคนกลับถูกเตะจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง จนไม่เหลือเค้าเดิมของทหารผู้แข็งแกร่งเลย พวกเขาต่างพูดไม่ออก หลักๆแล้วพวกเขาเองรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของสหายทั้งเจ็ดคนนี้ดี เมื่อเทียบกันพวกเขาแล้ว ครูฝึกเจ็ดคนนั้น แข็งแกร่งกว่าพวกเขาแทบจะครึ่งต่อครึ่ง แต่เจ็ดคนนั้นที่เป็นฝ่ายปิดล้อมคนคนเดียว กลับถูกซัดกลับซะจนกระเด็น ว่ากันว่าพวกเขาใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นจากพื้นได้
น่าขายหน้าจริงๆ!
แต่ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนั้นก็ทำให้ทหารและครูฝึกใหม่เหล่านี้เกิดความระแวดระวังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
“กริ๊งงงงงงงงงงง———!!!”เสียงกริ่งในห้องโถงดังขึ้น
ในห้องโถงที่เดิมทีมีเสียงพูดคุยและเสียงฝึกซ้อมที่ดังมากอยู่แล้วพลันเงียบลงทันทีพวกเขาทุกคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จี้เฟิงที่เฝ้ามองอยู่ตั้งใจจับเวลาอยู่เงียบๆ
6วินาที! เหล่าทหารเกือบหนึ่งพันคนได้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ไม่มีความยุ่งเหยิงหรือแม้แต่เสียงใดๆ
จี้เฟิงอดที่จะชื่นชมไม่ได้แค่คุณภาพระดับนี้ก็น่ายกย่องแล้ว!
จี้เจิ้นผิงกวาดสายตามองไปรอบหนึ่งสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วพูดเสียงดังว่า “วันนี้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนี้มีฝีมือเป็นเช่นไรพวกคุณก็น่าจะรู้กันดีแล้วใช่มั้ย
“ทราบแล้วครับ!”ทุกคนตอบเสียงดัง
จี้เจิ้นผิงพยักหน้าแล้วพูดต่อ“งั้นก็ดี ต่อไปครูฝึกคนนี้จะเป็นคนคอยแนะนำพวกคุณ จำเอาไว้ โอกาสที่ดีไม่ใช่จะมาอยู่ตรงหน้าได้ง่ายๆ พวกคุณจะสามารถเรียนรู้อะไรจากครูฝึกคนนี้ได้บ้างก็อยู่ที่พวกเธอจะจริงจังแค่ไหน!” ดวงตาของเหล่าทหารเปล่งประกายทันทีพวกเขาสามารถเรียนรู้จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้คนนี้ได้จริงๆเหรอ
จี้เฟิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลมากเกินไป สิ่งที่ผมอยากจะสอนพวกคุณไม่ได้มีอะไรมากนัก มันเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวเท่านั้น อืม… พวกคุณสามารถเรียกมันว่ายิมนาสติกก็ได้ ยิมนาสติกแบบฉบับของผมนั้นสามารถปรับสมดุลร่างกายของพวกคุณ และเป็นประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไว้ลองทำดูแล้วพวกคุณจะค่อยๆเข้าใจเอง พวกคุณทุกคนที่อยู่ด้านล่างสามารถทำตามผมได้เลย!”
ทุกคนจ้องมองจี้เฟิงอย่างตั้งใจไม่มีใครหัวเราะหรือแม้แต่เผยรอยยิ้มเลย แม้จี้เฟิงจะพูดว่าเป็นยิมนาสติกก็ตาม หรือต่อให้เป็นยิมนาสติกที่เคยฉายตามทีวี ตราบใดที่มันทำให้พวกเขาสามารถกลายเป็นยอดฝีมือและแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็คือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
จี้เฟิงนั่งลงบนพื้นแยกขาสองข้างออกจากกันจนขนานกับพื้น ร่างกายท่อนบนตรง สองมือกางออก และค่อยๆก้มลงไป…
ยิมนาสติกชุดแรกแต่ละท่าดูแปลกมากมันดูเหมือนโยคะ แต่ก็ไม่ได้มีท่วงท่าที่เกินจริงแบบโยคะ แต่อย่างไรก็ตามทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เรียกว่ายิมนาสติกนี้ทำได้ยากกว่าโยคะเสียอีก
เมื่อครูฝึกเห็นการกระทำนี้สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที ด้วยสายตาของพวกเขา พวกเขาย่อมเห็นถึงความยากของการเคลื่อนไหวนี้ หากแบบนี้เรียกว่ายิมนาสติก การบริหารร่างกายแบบยิมนาสติกที่พวกเขาเคยทำก่อนหน้านี้คงจะเรียกว่ายิมนาสติกไม่ได้อีกต่อไป มันคงเป็นแค่การรำไทเก๊กของผู้สูงวัยเท่านั้น
หลังจากทำเสร็จใบหน้าของจี้เฟิงยังคงสงบนิ่ง อัตราการเต้นของหัวใจยังคงที่ ไม่มีอาการหอบหายใจให้เห็นเลย เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ผมต้องการให้พวกคุณทำการเคลื่อนไหวนี้ได้อย่างคล่องแคล่วภายในระยะเวลา 1 ปี ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยร่างกายของพวกคุณก็จะแข็งแรงขึ้นกว่าตอนนี้ถึงสองเท่า… หรืออาจจะมากกว่านั้น เอาล่ะ เริ่มได้!”
ก่อนหน้านี้ได้มีทหารบันทึกการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ของจี้เฟิงเอาไว้แล้วพวกเขาฉายการบันทึกนั้นบนจอภาพขนาดใหญ่บนผนัง และทุกคนก็เริ่มทำท่าตาม
แต่แค่ท่าแรกก็เหมือนว่าพวกเขาหลายคนจะทำมันอย่างยากลำบาก!