หลายวันต่อมาอาจเป็นเพราะจี้เฟิงอยู่ที่บ้านด้วย จี้เจิ้นหัวจึงพยายามกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน และแทบจะไม่ทำงานล่วงเวลาเลย สิ่งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกดีใจมาก
จี้เฟิงเริ่มแนะนำให้พ่อกับแม่ของเขาฝึกยิมนาสติกชุดแรกเขาใช้การนวดเป็นข้ออ้างเพื่อกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพ เพียงแค่การนวดเบาๆ มันก็ทำให้จี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยรู้สึกเหมือนมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาทันที จี้เจิ้นหัวสัมผัสได้ว่าจี้เฟิงมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ เขามองไปที่ลูกชายอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้นเขาก็ช่วยจี้เฟิงเกลี้ยกล่อมเซียวซูเหม่ยเพื่อให้เธอยอมเริ่มฝึกยิมนาสติกด้วยกัน
จี้เฟิงตระหนักได้ทันทีว่าพ่อของเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่าง
ที่จริงพอมาคิดๆดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรจู่ๆอาการบาดเจ็บของคุณปู่ก็หายไป ร่างกายก็ดูแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแทบจะดูไม่เหมือนคนแก่สูงอายุเลย ถ้าขนาดนี้แล้วพ่อเขายังไม่สงสัยอันนี้สิถึงจะแปลก!
แม้ว่าปู่ของจี้เฟิงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้จากพ่อของจี้เฟิงได้อยู่ดี ดังนั้นจี้เฟิงจึงเข้าใจว่าพ่อของเขาต้องรู้ว่าเขานั้นมีทักษะพิเศษบางอย่าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พ่อรู้นั้นคงไม่ชัดเจนนักเพราะจี้เฟิงไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับความลับของเขาและพ่อเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากด้วย
แต่จี้เฟิงไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยถ้าแม้แต่พ่อแม่ของเขายังไว้ใจไม่ได้ ชีวิตของเขาก็คงจะน่าเศร้าเกินไปแล้ว
อันที่จริงจี้เฟิงก็ตั้งใจที่จะหาโอกาสบอกพ่อของเขาอยู่เหมือนกันแต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้ยังไงดี
เขาคงไม่สามารถบอกพ่อของเขาไปตรงๆได้ว่าในสมองของเขานั้นมีสมองอัจฉริยะจากต่างดาวมาอยู่! แม้พ่อจะไม่คิดว่าเขาเป็นคนขี้โกหกแต่พ่ออาจจะคิดว่าเขาเป็นบ้า!
ตามการคาดเดาของจี้เฟิงคุณปู่กับพ่อของเขาน่าจะคิดว่าเขามีวิชากำลังภายในอะไรบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าการคาดเดาไปในทิศทางนี้ค่อนข้างดีและสมเหตุสมผลที่สุดแล้วและจี้เฟิงก็ไม่ต้องพยาบาลอธิบายอะไรมาก เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเริ่มแนะนำพ่อกับแม่ของเขาให้ฝึกยิมนาสติกเพื่อสุขภาพ
แต่เพราะจี้เฟิงเป็นกังวลว่าพ่อกับแม่ของเขาจะทำไม่ได้และอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดเกินไปดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะเริ่มฝึก จี้เฟิงจึงใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อเสริมพลังและบำรุงร่างกายของพวกเขาก่อนที่จะสอนยิมนาสติกให้กับพวกเขา
ตั้งแต่วันแรกที่จี้เจิ้นหัวได้ฝึกก็มีผลให้เห็นอย่างชัดเจนเซียวซูเหม่ยพบว่าทุกครั้งที่สามีกลับมาจากที่ทำงาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยบ่นเหนื่อยแต่ใบหน้าของเขาก็แสดงความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่วันนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขามีสีแดงระเรื่อจากเลือดฝาดและดูกระปรี้กระเปร่า
สองสามีภรรยาจึงเข้าใจในทันทีว่ายิมนาสติกที่ลูกชายสอนนั้นมีผลลัพธ์ที่วิเศษ!
ในเวลานี้จี้เจิ้นหัวเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสเฒ่าพูดนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้สูงมาก
จี้เฟิงอาศัยอยู่กับเซียวซูเหม่ยในหมางซือมาตั้งแต่เด็กๆและไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจี้เฟิงนั้นค่อนข้างอ่อนด้อยกว่าวัยรุ่นคนอื่นๆทั่วไป และเขาก็ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนนอก แม้แต่เพื่อนก็ยังมีเพียงเด็กจากตระกูลถงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นอีก
แล้วเขาไปเอาทักษะอันแข็งแกร่งนี้มาจากไหน
ตามการคาดเดาของผู้อาวุโสเฒ่าการเปลี่ยนแปลงของจี้เฟิงน่าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงม.ปลายปี 3 ซึ่งหมายความว่าในปีนั้นจี้เฟิงจะต้องได้พบเจอกับช่วงเวลาอันแปลกประหลาดหรืออาจจะเจอกับบุคคลที่มีฝีมืออันแข็งแกร่งและได้รับการถ่ายทอดวิชามาในช่วงเวลานั้น
มีเพียงการคาดเดานี้เท่านั้นที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดจี้เจิ้นหัวเองก็คิดทบทวนอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามีแต่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีปรมาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือระดับสูงอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนเช่นนี้หลบซ่อนตัวอยู่ในเขตเล็กๆอย่างหมางซือก็ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสเฒ่าหรือจี้เจิ้นหัวก็ตามก็ต้องคิดไม่ถึงแน่ๆว่าสิ่งที่จี้เฟิงเจอนั้นจะแปลกประหลาดมากขนาดนี้ เขาไม่ได้พบเจอกับปรมาจารย์ยอดฝีมือคนไหน แต่เป็นปัญญาประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาอยู่ในหัวและจิตสำนึกของเขาเลยต่างหาก!
ด้วยความช่วยเหลืออย่างพิถีพิถันของจี้เฟิงแม้ว่าจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยเพิ่งจะเริ่มฝึกได้ไม่นาน แต่เพียงแค่สองวันพวกเขาก็สามารถทำการเคลื่อนไหวท่าแรกได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขาใช้ดีวีดีที่บ้านเพื่อบันทึกการเคลื่อนไหวชุดแรกทั้งหมดและถ่ายทำจากมุมที่แตกต่างกันหลายๆมุมเพื่อให้พ่อกับแม่ของเขาเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
ความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะพลังของเขาลดลงอย่างมากในช่วงนี้จี้เฟิงจะไม่ปล่อยให้พ่อของเขาต้องฝึกยิมนาสติกในช่วงเวลาที่พ่อของเขาไม่ค่อยมีเวลาว่างแบบนี้ เพราะแค่การควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพของเขาเข้าไปกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่อยู่ในเซลล์ในร่างกายของพ่อแม่ของเขาเพื่อสร้างเรโซแนนซ์ให้เกิดความสมดุลก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่เขาใช้วิธีการนี้เพื่อช่วยเหลือปู่ของเขา จี้เฟิงก็ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอ นอกจากนี้การที่เขาได้กระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของพ่อแม่เขาก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดี เพราะปกติแม่ของเขาไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก ดังนั้นการฝึกยิมนาสติกก็ถือว่าเป็นกิจกรรมฆ่าเวลาที่ดีมากและทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย
เมื่อจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยเข้าใจการเคลื่อนไหวยิมนาสติกขั้นพื้นฐานและทำท่าแรกได้แล้วจี้เฟิงก็ตัดสินใจกลับเจียงโจว
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วเขาก็อยู่ที่หยานจิงมาเกือบ 40 วันเลยทีเดียว เหมือนกับเวลาได้ผ่านไปในพริบตา ตอนนี้ก็มาถึงเดือนธันวาคมแล้ว ปีเก่ากำลังจะจากไป
เซียวซูเหม่ยรู้สึกผิดหวังมากอันที่จริงหลายวันที่ผ่านมานี้เธอเคยชินกับการที่มีลูกชายอยู่ข้างกาย แต่ตอนนี้จี้เฟิงกำลังจะจากไปอย่างกะทันหัน มันทำให้เธอรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างปลอบโยน แม่ครับ เดี๋ยวก็ถึงวันหยุดฤดูหนาวแล้ว ผมจะมาหาแม่ใหม่นะ เผลอแป็บๆก็ถึงแล้ว!
จี้เจิ้นหัวเองก็หาเวลาอยู่บ้านได้ยากเขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า เสี่ยวเฟิง อยู่ที่เจียงโจวก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ก่อนไปก็อย่าลืมแวะไปหาคุณปู่ก่อนด้วยนะ!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่แม่ของเขาที่มีสีหน้าไม่เต็มใจนักเมื่อรู้ว่าลูกชายกำลังจะจากไปจี้เฟิงก็รู้สึกใจหายไม่แพ้กัน แต่เขาพยายามที่จะไม่แสดงสีหน้าออกมา
คุณป้าสบายใจได้เลยถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมกับน้องสามจะมาเยี่ยมคุณป้าอีกอย่างแน่นอน หรือต่อให้เจ้าตัวดีนี้ยุ่งแค่ไหน ผมก็จะลากเขามาด้วยให้ได้! จี้ช่าวเหลยหัวเราะเบาๆพร้อมกับตบไหล่จี้เฟิง
เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่จี้ช่าวเหลยมาที่หยานจิงครั้งนี้เขาเลยตัดสินใจที่จะกลับไปเจียงโจวพร้อมกับจี้เฟิง เพราะยังไงเขาก็ถือว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ของบริษัท แล้วที่บริษัทก็มีงานมากมายรอเขาอยู่
ถ้าจะพูดถึงคนที่ดูไม่เต็มใจกับการจากลามากที่สุดในครั้งนี้ก็คงจะเป็นจี้เสี่ยวหยู
ในสายตาของสาวน้อยจี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยคือพี่ชายที่รักเธอมากที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังจะจากเธอไป เธอเคยสัญญากับจี้เฟิงไว้ว่าเธอจะไม่ร้องไห้ง่ายๆอีก ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยไม่กล้าแม้แต่จะมาส่ง เธอรีบตรงไปโรงเรียนทันที เพราะกลัวว่าน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง
พี่รองไปกันเถอะ! เมื่อนั่งอยู่ในรถ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองอีกครั้ง แม่ของเขากำลังยืนอยู่บนระเบียงและมองลงมาข้างล่าง แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่จี้เฟิงเห็นราวกับว่าแม่ของเขาเช็ดน้ำตา
เขาอดทอดถอนใจไม่ได้เขารู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
จี้ช่าวเหลยรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของจี้เฟิงไม่ค่อยดีนักเขาจึงไม่ได้พูดอะไร เขาสตาร์ทรถและค่อยๆขับออกมาจากหมู่บ้าน
สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงประหลาดใจก็คือเมื่อเขากับจี้ช่าวเหลยเพิ่งออกมา เขาก็เห็นรถสปอร์ตสีชมพูจอดอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ จี้เฟิงมองไปแต่จำยี่ห้อรถไม่ได้ แม้ว่าจะมีรถจำนวนนับไม่ถ้วนที่เขาเคยขับผ่านระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาแทบไม่ค่อยได้เห็นรถดีๆสักเท่าไหร่ และการที่เขาจะจำยี่ห้อของรถสปอร์ตคันนี้ไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่สิ่งที่จี้เฟิงให้ความสนใจมากที่สุดไม่ใช่ยี่ห้อของรถสปอร์ตคันนี้แต่เป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่หน้ารถ เธอคือเหวินเว่ยซิน!
น้องสามฉันว่าเธอมารอนายนะ! จี้ช่าวเหลยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาไม่รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างเหวินเว่ยซินกับจี้เฟิง แต่เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะชอบจี้เฟิงเข้าแล้ว!
ขับไปเลย!
จี้เฟิงพูดเสียงเรียบระหว่างเขากับเหวินเว่ยซินไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว ความประทับใจแรกที่ผู้หญิงคนนี้ทิ้งไว้ให้เขามันแย่มาก
จี้ช่าวเหลยผงะ จะให้ขับผ่านไปเลยงั้นเหรอ งั้นพี่ก็ลงมาเดี๋ยวผมขับเอง! จี้เฟิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
โอเคๆไปก็ไป! จี้ช่าวเหลยพยักหน้าทันที
จี้ช่าวเหลยเข้าเกียร์และขับรถออกไปทันที
สีหน้าของเว่ยซินที่ยืนอยู่หน้ารถสปอร์ตก็เปลี่ยนไปทันทีเธอรีบก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วโบกมือให้จี้ช่าวเหลยเพื่อส่งสัญญาณให้เขาจอด หลังจากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปยังฝั่งที่นั่งข้างคนขับที่จี้เฟิงนั่งอยู่และเคาะที่หน้าต่าง
จี้เฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลดกระจกลงสีหน้าของเขาไม่ได้ดูเป็นมิตรนัก เขาเพียงแค่ถามอย่างเฉยเมยว่า คุณเว่ยซิน มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ
เหวินเว่ยซินรู้สึกอึดอัดจนกลายเป็นหายใจไม่ออกเธอพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าใกล้จี้เฟิง แต่จี้เฟิงกลับไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย ดังนั้นเธอจึงไม่มีโอกาส แต่จู่ๆวันนี้จี้เสี่ยวหยูก็โทรหาเธอ แล้วบ่นให้ฟังว่าพี่รองกับพี่สามกำลังจะกลับเจียงโจว เมื่อได้ยินแบบนั้นเหวินเว่ยซินก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลับกันเร็วขนาดนี้
เธอจึงคิดขึ้นได้ว่าการหาเหตุผลเพื่อมาส่งพวกเขาในวันนี้น่าจะเป็นความคิดที่ดี
เธอพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานว่า ฉันได้ยินเสี่ยวหยูบอกว่าพวกคุณทั้งสองกำลังจะกลับไปเจียงโจวแล้วงั้นเหรอ
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและถามว่า อืม มีอะไรหรือเปล่า
เหวินเว่ยซินแทบจะสำลักออกมาอีกครั้งไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถูกปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะเป็นดารา แต่คนจากตระกูลใหญ่บางคนก็ไม่เห็นเธออยู่ในสายตา และมีบางคนที่มองเธอด้วยสายตามที่เต็มไปด้วยความโลภและความปรารถนาในตัวเธอ
ส่วนคนอื่นๆที่ปฏิเสธเธอล้วนต้องการให้เธออยู่ภายใต้อาณัติ และบังคับให้เธอยอมเป็นคนรักลับๆอย่างเต็มใจ หรือไม่ก็เป็นคนประเภทที่หยิ่งยโสจนไม่เคยก้มหน้ามองพื้น และไม่มองเธอแม้แต่หางตา
แต่ว่าเหวินเว่ยซินก็ดูแคลนคนเหล่านั้นเช่นกันแต่ละคนล้วนแต่คิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานผู้ดีมีครบทุกอย่าง แต่แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเองเลย
แต่จี้เฟิงแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเหวินเว่ยซินรู้สึกว่าจี้เฟิงนั้นไม่ได้แยแสเธอไม่ใช่เพียงแค่เพราะความหยิ่งยโส เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า ความรู้สึกนี้ทำให้เหวินเว่ยซินรู้สึกอึดอัดมาก แต่ในใจลึกๆของเธอกลับรู้สึกได้ถึงการวางตัวที่เท่าเทียมกันจากจี้เฟิง
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆรอยยิ้มบนใบหน้ายังคงงดงามเหมือนเดิม มีสิ เพราะพวกคุณกำลังจะจากไป เสี่ยวหยูเลยรู้สึกเศร้ามากจนไม่กล้ามาส่งพวกคุณ ไม่งั้นเธอคงได้ร้องไห้งอแงต่อหน้าพวกคุณอีกแน่ๆ ดังนั้นเธอก็เลยให้ฉันเป็นตัวแทนมาส่งพวกคุณ
เมื่อพูดถึงเสี่ยวหยูใบหน้าของจี้เฟิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า ขอบคุณมาก
เหวินเว่ยซินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังทัศนคติของจี้เฟิงที่มีต่อเธอยังคงเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่าทีของเขาจะดูอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพราะเธอพูดถึงเสี่ยวหยู
คุณชายจี้ฉันรู้ว่าการพบกันครั้งแรกของเราที่เจียงโจวมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าจดจำนัก… ฉันใจร้อนเกินไป เหวินเว่ยซินก้มหน้าลงและพูดเสียงเบา ถ้าฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ ฉันอยากรู้ว่าเราพอจะเป็นเพื่อนกันได้รึเปล่า เอ่อ… เป็นแค่เพื่อนห่างๆก็ยังดี!
โอ้โหแฮะ!จี้ช่าวเหลยที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างทันที พลางคิดในใจว่าเจ้าเด็กคนนี้นี่คาสโนว่าของจริง!
ในความคิดของเขาจี้เฟิงเป็นคนที่น่าจะอ่านนิสัยผู้หญิงออก และรู้ว่าเหวินเว่ยซินเป็นคนยังไง เขาจึงจงใจทำตัวเย็นชาใส่เธอ จึงทำให้ดาราอย่างเหวินเว่ยซินที่มักจะมีคนตามจีบรู้สึกสนใจจี้เฟิงเป็นพิเศษ มันคือแผนการที่แยบยลของเขา นี่สินะที่เรียกว่าคาสโนว่าของจริง!
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ได้รู้เลยว่าจี้ช่าวเหลยกำลังคิดอะไรอยู่แต่ถึงแม้เขาจะรู้เขาก็คงไม่สนใจ เพราะเขาไม่ได้มีความคิดอะไรเกี่ยวกับเหวินเว่ยซินเลย ถ้าเป็นไปไม่ได้เขาก็ไม่อยากจะเจอเธออีกในอนาคต
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
งั้นฉันจะคิดว่าคุณตกลง! ทันใดนั้นรอยยิ้มอันสดใสของเธอก็ปรากฏขึ้น มันเป็นความสวยงามที่ต่างออกไปจากเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะครั้งนี้เธอยิ้มออกมาจากใจของเธอจริงๆ มันทำให้จี้ช่าวเหลยมองจนตาค้าง
จี้เฟิงพยักหน้าอีกครั้ง คุณทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
เหวินเว่ยซินพยักหน้าอย่างแรง ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฉันจะแสดงให้คุณเห็น!
จี้เฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันไปพูดกับจี้ช่าวเหลย พี่รอง เราไปกันได้แล้ว!
เมื่อเห็นรถค่อยๆไกลออกไปมุมปากของเหวินเว่ยซินก็โค้งขึ้น เธอรู้ว่าการที่เธอยอมลดทิฐิของเธอลงต่อหน้าจี้เฟิงในครั้งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกรังเกียจเธอน้อยลง อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี จากนี้ต่อไป ถ้าเธอได้ไปเจียงโจวเธอก็จะมีข้ออ้างในการไปเยี่ยมหาจี้เฟิงได้! มันเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ!
การเอาชื่อของเสี่ยวหยูมาพูดถึงนี่มีประโยชน์มาก…. เหวินเว่ยซินยิ้มและหันไปทางรถสปอร์ตของเธอ