หากจี้เฟิงอยู่ที่นี่ตอนนี้เขาจะจำได้ทันทีว่าหญิงสาวหน้าตาดีที่สวมเสื้อโค้ทสีแดงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเพื่อนเก่าที่เขาไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน ฉินซูเจี๋ย!
แน่นอนว่าถ้ามองจากมุมของจี้เฟิงแล้วเขากับฉินซูเจี๋ยก็เรียกว่าเป็นเพื่อนกันอย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เงินหลายสิบล้านหยวนที่จี้เฟิงมีก็ได้มาจากฉินซูเจี๋ย
แต่ก็เพราะหยกที่จี้เฟิงให้มาทำให้บริษัทของเธอไม่ต้องประสบปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนอย่างต่ำๆก็ไม่น้อยกว่า 1 ปี พูดกันตามตรงพวกเขาน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันครึ่งหนึ่ง เป็นเพื่อนกันครึ่งหนึ่ง!
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้ฉินซูเจี๋ยก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า พี่สะใภ้ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย ถ้าเกิดว่าพี่ใหญ่ถูกทำร้ายอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ว่ายังไงก็ต้องดำเนินการเรื่องนี้ตามขั้นตอนทางกฎหมายและขอให้ตำรวจเอาเรื่องคนทำให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่สะใภ้ก็พูดเองไม่ใช่เหรอคะว่าพี่ใหญ่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ ฉันเลยคิดว่าการที่ปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร!
ซูเจี๋ยเธอจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ! พี่สะใภ้ของฉินซูเจี๋ยพูดด้วยความร้อนรน เธอไม่รู้หรอกว่าพี่ใหญ่ของเธอไม่ใช่แค่โดนทำร้ายเท่านั้น แต่เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย หากจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ทางมหาวิทยาลัยจะต้องไล่เขาออกอย่างแน่นอน เธอก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเธอไต่เต้าจนได้มาเป็นหัวหน้าแล้ว ว่ากันว่าอีกไม่นานผู้อำนวยการสำนักวิชาการก็กำลังจะเกษียณอายุแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพี่ใหญ่ของเธอก็อาจจะได้ขึ้นแท่นผู้อำนวยการสำนักวิชาการแทนก็ได้ หน้าที่การงานของเขากำลังก้าวขึ้นไปอีกระดับ แล้วสมมติว่าในอนาคตถ้าพี่ใหญ่ของเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยไปทำงานในสายงานข้าราชการโดยตรง อย่างน้อยเขาก็จะได้ตำแหน่งที่สูงกว่าตอนนี้….
เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน! ฉินซูเจี๋ยตัดบทอย่างเย็นชา อนาคตของเขาจะเป็นยังไง มันก็ถือว่าเป็นทางที่เขาได้เลือกแล้ว ฉันไม่สนใจหรอกนะ อ้อแล้วอีกอย่างนะคะพี่สะใภ้ ฉันหวังว่าพี่คงยังไม่ลืม ในตอนที่พวกคุณขอตัดขาดกับฉัน ฉันไม่เคยอ้อนวอนแม้แต่นิดเดียว และตอนนั้นพวกคุณก็พูดชัดเจนมากว่าต่อไปพวกเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แล้วที่ตอนนี้ฉันมาเยี่ยมพี่ใหญ่ก็เพราะอย่างน้อยเราก็มีสายเลือดเดียวกัน แต่เรื่องอื่นๆที่เป็นเรื่องส่วนตัวของครอบครัวพวกคุณฉันคงไม่สามารถช่วยอะไรได้!
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งฉินซูเจี๋ยก็อดที่จะพูดอีกไม่ได้ว่า อีกอย่างในตอนที่เราตกลงตัดขาดกัน พวกคุณก็แบ่งเงินกันไปไม่น้อย ถ้าไม่ได้ใช้แบบฟุ่มเฟือยจนเกินตัว ใช้ไปสองชีวิตก็ยังไม่หมด แล้วตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานวิชาการของมหาวิทยาลัยมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ
ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าๆได้แต่ยืนตกตะลึงใบหน้าของเธอซีดเผือดเมื่อได้ยินคำพูดของฉินซูเจี๋ย แต่เธอก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย เพราะตอนที่พวกเธอตัดขาดแยกทางกัน คำพูดของเธอและสามีที่พูดกับฉินซูเจี๋ยก็ไม่เบาเลย
แต่ใครจะคิดล่ะว่าฉินซูเจี๋ยจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยจำนวนเงินเล็กน้อยที่แบ่งไปจากตระกูลแถมตอนนี้เธอยังสามารถสร้างบริษัทจนใหญ่โตมาได้ขนาดนี้อีก!
และที่สำคัญกว่านั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างฉินซูเจี๋ยกับจี้ช่าวเหลยลูกชายของจี้เจิ้นกั๋วเลขาธิการพรรคนั้นไม่เลวเลย และตอนที่เธอเข้ามหาวิทยาลัยพวกเขายังเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
และคนตระกูลฉินเพิ่งรู้ข่าวนี้ในภายหลัง
ด้วยความสัมพันธ์นี้ความสำคัญของฉินซูเจี๋ยจึงเด่นชัดขึ้นในทันที และการที่พวกเขาจะแก้ไขความเลวร้ายที่ทำไว้กับเธอเมื่อในอดีตมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และนอกจากนี้ในตอนนั้นยังไม่มีใครในตระกูลฉินต้องการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างฉินซูเจี๋ยกับจี้ช่าวเหลย เพราะอิทธิพลของตระกูลฉินแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับสูงแต่ก็ไม่ใช่ระดับล่างๆอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาและฉินซูเจี๋ยจึงไม่ได้ติดต่อกันมาสองสามปีแล้ว
แต่ตอนนี้ความสำคัญของฉินซูเจี๋ยนั้นสำคัญขึ้นมาทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยภรรยาของหัวหน้าฉินจึงต้องขอร้องอ้อนวอนให้ฉินซูเจี๋ยช่วยเหลือ
ซูเจี๋ยฉันขอพูดตรงๆกับเธอเลยแล้วกันนะ ที่เธอพูดมานั้นถูกทุกอย่าง หากเป็นเรื่องเงินในตอนนั้นก็เพียงพอแล้วจริงๆที่จะเอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วๆไป แต่ยังไงก็ตามตั้งแต่หลายปีก่อน พี่ชายของเธอได้ติดการพนันจนสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก แล้วไหนจะเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานอีก เรื่องนี้ก็ต้องใช้เงินไปไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้เงินที่มีอยู่จึงเหลือไม่มากแล้ว! ภรรยาของหัวหน้าฉินพูดอย่างกระอักกระอ่วนอันที่จริงแล้วเธอเองก็ใช้เงินไปไม่น้อยเหมือนกัน ตั้งแต่แบ่งเงินกัน ทางครอบครัวเธอได้เงินไปก้อนโต เธอจึงหมดไปกับการช้อบปิ้ง ซื้อเสื้อผ้าหรูๆ กระเป๋าแบรนด์เนม รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็จับจ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งสวนทางกับรายได้ที่เข้ามาในแต่ละเดือนนั้นน้อยนิด *ดีแต่นั่งกิน ต่อให้เป็นภูเขาก็หมดลงได้
แต่ที่แย่ที่สุดคือพี่ใหญ่ของเธอจะไม่ได้แค่ถูกไล่ออกจากมหาลัยเท่านั้น… เธอกัดฟันกรอด โดยไม่สนใจผู้อำนวยการฉินที่นอนอยู่บนเตียงที่กำลังพยายามโบกมือห้ามอย่างยากลำบาก สุดท้ายเธอก็พูดขึ้นว่า พี่ชายใหญ่ของเธอทำงานหลายอย่างที่ไม่ควรทำในมหาลัย แล้วถ้าเรื่องเหล่านี้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาตรวจสอบล่ะก็ ถึงเวลานั้นพี่ใหญ่ของเธอจะต้องติดคุกแน่!
อะไรนะ! เมื่อฉินซูเจี๋ยได้ยินแบบนั้น คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากัน เธอหันไปมองหน้าหัวหน้าฉินที่นอนอยู่บนเตียงอย่างโกรธเคืองและตำหนิเขาด้วยความโกรธ ทำไมพี่ถึงได้ทำอะไรโง่ๆแบบนี้ ไปทำเรื่องผิดกฎหมายได้ยังไง?!
แต่เมื่อเธอเห็นดวงตาเพียงข้างเดียวของหัวหน้าฉินฉายแววละอายใจ ฉินซูเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน เธอจึงหันไปถามผู้หญิงวัยสามสิบกว่าๆว่า พี่สะใภ้พี่ใหญ่เขาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยกันแน่
เมื่อภรรยาของหัวหน้าฉินได้ยินคำพูดนี้ดวงตาของเธอก็เป็นประกาย เธอรู้ว่าฉินซูเจี๋ยเริ่มใจอ่อนแล้วและเธอจะไม่ยืนดูพี่ชายของเธอติดคุกอย่างแน่นอน
ซูเจี๋ยพี่ใหญ่ของเธอเขา… เอ่อ เขาขายประกาศนียบัตรของทางมหาลัยแล้วก็จดหมายตอบรับเข้าศึกษาต่อ และอาจจะมี… ภรรยาของหัวหน้าฉินเริ่มพูดไม่ออก
มีอะไรอีก! ฉินซูเจี๋ยถาม
ทุกๆปีทางมหาลัยจะมีการตรวจค้นหนังสือตอบรับและทะเบียนบ้านของนักศึกษาใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบอ้างพี่ชายของเธอกับคนอื่นๆ จะเรียกเอาผลประโยชน์จากนักศึกษาปลอมเหล่านั้นและปกปิดข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้กับพวกเขา พี่ชายของเธอกับคนอื่นๆทำเรื่องนี้อยู่หลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา… ยิ่งพูดเสียงของภรรยาของหัวหน้าฉินก็ยิ่งเบาลงด้วยความรู้สึกผิด
เหอะ!ช่างมีความสามารถจริงๆ! ฉินซูเจี๋ยถลึงตาใส่หัวหน้าฉินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยความโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในตระกูลฉิน! แถมคนที่ทำงามหน้าก็ดันเป็นพี่ใหญ่ของเธออีกต่างหาก!
ฉินซูเจี๋ยถอนหายใจเบาๆ พี่สะใภ้พูดมาตรงๆเลย คุณอยากให้ฉันทำยังไง!
ภรรยาของหัวหน้าฉินดีใจมากเธอรีบพูดขึ้นว่า ซูเจี๋ยฉันได้โทรหาคู่กรณีของพี่ชายเธอแล้ว ฉันนัดเจอกับเขาวันนี้ตอนเที่ยงตรง ฉันว่าจะให้เธอช่วยไปขอร้องเขาไม่ให้เอาเรื่องพี่ชายของเธอ แล้วถ้าเป็นไปได้ให้เขาช่วยอธิบายเรื่องนี้ที่สถานีตำรวจว่าพี่ชายของเธอไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆกับเรื่องนี้เลย เพียงแค่นี้พี่ชายของเธอก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว!
ฉินซูเจี๋ยขมวดคิ้วและยิ้มเยาะ พี่สะใภ้คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ หลอกฉันเหมือนฉันเป็นคนโง่! ถึงแม้วิธีที่คุณพูดมันจะมีความเป็นไปได้ แต่คุณคิดว่าฉันจะเชื่อจริงๆเหรอว่าที่มีคนมาทำร้ายร่างกายเขาหนักขนาดนี้เพียงเพราะเรื่องที่คุณเล่า ขายประกาศนียบัตรเพื่อแลกกับผลประโยชน์?
ภรรยาของหัวหน้าฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีเธอลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็กัดฟันพูด ครั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องช่วยนักเรียนคนหนึ่งเก็บเอกสารการลงทะเบียนรับรองที่พักของมหาลัย…
หลังจากฟังจบใบหน้าอันงดงามของฉินซูเจี๋ยก็มืดครึ้มลงทันทีเธอหันไปมองพี่ชายใหญ่ของเธอที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยความผิดหวัง เธอส่ายหัวเล็กน้อยและพูดถากถางว่า พี่นี่ก็ฉลาดนะ กับเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ทำไมถึงคิดไม่ได้ว่าการที่ต้องเอาศักดิ์ศรีและตำแหน่งหน้าที่การงานไปแลกกับเงินหมื่นสองหมื่นหยวนน่ะมันคุ้มกันรึเปล่า!
ซูเจี๋ยพอเถอะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาด่าเราควรคิดหาวิธีแก้ไขก่อน ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเธอคงจบสิ้นจริงๆแล้ว! ภรรยาของหัวหน้าฉินอ้อนวอนอย่างขมขื่น
ฉินซูเจี๋ยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาผ่านไปครู่หนึ่งจนเธอใจเย็นลงบ้างแล้ว เธอจึงพูดขึ้นว่า เรื่องนี้ฉันคงช่วยได้แค่ไปพบกับอีกฝ่ายให้ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นฉันไม่รับประกัน!
โอ้! ภรรยาของหัวหน้าฉินดีใจมาก เธอรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า ซูเจี๋ยขอแค่เธอไป ฉันมั่นใจว่ามันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!
อย่าเพิ่งมั่นใจอะไรขนาดนั้น! ฉินซูเจี๋ยพูดเสียงเข้ม อย่างไรก็ตามถ้าจะให้ฉันไป แล้วถ้าฉันคุยให้จนสำเร็จ ฉันมีสิ่งหนึ่งที่อยากให้พวกคุณทำโดยไม่มีข้อแม้ เรื่องอะไร ภรรยาของหัวหน้าฉินถามทันที
พี่ใหญ่จะต้องลาออกและห้ามไปเหยียบที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยอีกต่อไป! ฉินซูเจี๋ยกล่าวอย่างหนักแน่น
ห๊ะเธอว่าไงนะ?! ภรรยาของหัวหน้าฉินตกตะลึง
ทำไมไม่อยากทำ? ฉินซูเจี๋ยเหลือบมองเธออย่างดูถูกและพูดอย่างเฉยเมยว่า จากสิ่งที่เขาทำในมหาวิทยาลัย ถ้าเกิดถูกตรวจสอบเจอขึ้นมา ไม่ว่าใครก็คงจะช่วยอะไรเขาไม่ได้ แล้วคุณสามารถรับประกันได้หรือเปล่าล่ะว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต? การลาออกไปเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!
ภรรยาของหัวหน้าฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าสามีที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเธอไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้
หัวหน้าฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ ดี!ฉันจะถือว่าพวกคุณรับปากฉันแล้วนะ งั้นเที่ยงวันนี้ฉันจะไปกับคุณ! เมื่อฉินซูเจี๋ยพูดจบ เธอก็หันหลังและเดินไปที่ประตูของห้องผู้ป่วย และก่อนที่เธอจะออกไป เธอหันมาพูดทิ้งท้ายกับภรรยาของหัวหน้าฉินว่า ถึงเวลานัดแล้วค่อยโทรไปบอกฉัน แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นไม่ต้องโทรหาฉันอีก ฉันยุ่งมาก!
……………
อ่ะ!เจ้าบ้า นี่เป็นข้อมูลที่นายต้องการ นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องเหนื่อยยากมากแค่ไหนกว่าจะได้มันมา!
ในวิลล่าของจี้เฟิงจางเล่ย ฮั่นจงและคนอื่นๆ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จางเล่ยโยนกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะน้ำชาและบ่นว่า นายไม่เคยส่งงานดีๆมาให้เลย เอาแต่งานเล็กๆน้อยๆพวกนี้ให้ฉันทำ!
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง! จี้เฟิงพูดพลางหัวเราะและมองไปที่จางเล่ยอีกครั้งและถามเขาว่า นายแน่ใจนะว่า ข้อมูลพวกนี้เป็นสิ่งที่นายหามาเองด้วยความยากลำบาก ฮั่นจงไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยว่างั้น?
จี้เฟิงไม่เชื่อว่าจางเล่ยจะไปหาข้อมูลของคนอื่นมาได้เร็วขนาดนี้อย่าลืมว่าเขาไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือจางเล่ยใช้ตัวช่วยชั้นดีที่เป็นเจ้าถิ่นอย่างฮั่นจงมาช่วยเขาทำงานนี้
แค่กๆ! จางเล่ยสำลักและกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเบาๆว่า มันเป็นผลงานที่เกิดจากความพยายามร่วมกันของเรา!
ฮ่าๆๆ! ทุกคนถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกัน และจางเล่ยก็หัวเราะตามไปด้วย
จี้เฟิงเปิดกระเป๋าเอกสารและหยิบเอกสารออกมาดูเขาส่ายหัวและยิ้ม ประวัติของหัวหน้าฉินคนนี้ไม่เลวเลยแฮะ!
ตามข้อมูลของหัวหน้าฉินเขามีชื่อว่าฉินหยูเจี๋ยพ่อของเขาเคยเปิดบริษัททำธุรกิจ แต่ต่อมาพ่อของฉินหยูเจี๋ยเสียชีวิตลง จากนั้นเป็นต้นมาบริษัทของพ่อเขาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ และถูกเพิกถอนไปเมื่อเจ็ดปีก่อน ไม่เลวอะไรกันถ้ารุ่นพ่อเขาก็อาจจะพอได้แต่ตัวหัวหน้าฉินคนนี้ยังเป็นไม่ได้แม้แต่คุณชายระดับสามเลย แต่กลับใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย! ใช้ชีวิตหรูหราเกินเบอร์! ฮั่นจงยิ้มเหยียด ได้ยินมาว่าไอ้หมอนี่ติดการพนัน เสียเงินไปไม่น้อย ตอนแรกก็เกือบจะเสียทรัพย์สินทั้งหมดไป!
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าเขามองลงไปในประวัติครอบครัว ภรรยาของฉินหยูเจี๋ยมีชื่อว่าฟ่านเหลียงกุ้ย มีลูกชาย….
เห้ย!
จู่ๆจี้เฟิงก็อุทานออกมาเสียงดังสายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังช่องที่ระบุเกี่ยวกับญาติพี่น้องของฉินหยูเจี๋ย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ฉินซูเจี๋ย!