The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ – บทที่ 376 ความลังเลของผู้จัดการเหยียน

บทที่ 376 ความลังเลของผู้จัดการเหยียน

   พวกคุณทุกคนผมขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะคนเราทำธุรกิจก็ไม่อยากจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่….  เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพูดต่อว่า  ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้งก่อนที่ผมจะโทรไป ถ้าพวกคุณยินดีที่จะปล่อยให้แขกเหล่านี้ไปโรงพยาบาล และกล่าวขอโทษทางเราพร้อมชดเชยค่าเสียหายทั้งหมด ผมจะลืมๆเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปซะ ถือซะว่าได้มิตรภาพที่ดีเพิ่มพวกคุณคิดว่ายังไง 

   หึหึ… จางเล่ยส่ายหัวและยิ้ม  ผู้จัดการเหยียนฉันล่ะไม่ถูกชะตากับคนที่ชอบทำตัวสูงส่งเหนือกว่าชาวบ้านแบบนี้เลยจริงๆ! และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครที่พูดจาไม่ดีกับน้องชายของฉันแล้วยังยืนทรงตัวดีๆอยู่ได้เลยนา! 

  แม้ว่าปากของผู้จัดการเหยียนจะบอกว่าเป็นมิตรแต่ในความเป็นจริงคำพูดของเขาล้วนเต็มไปด้วยคำสั่งและคำขู่ ด้วยนิสัยอย่างจางเล่ยเมื่อเจอคนพูดใส่หน้าแบบนี้เขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร

  ยิ่งไปกว่านั้นจางเล่ยผู้ซึ่งมักจะโกรธอยู่เสมอสามารถอดทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าผิดคาดมากแล้วถ้าไม่ใช่เพราะกำลังรอสายสำคัญอยู่ เขาคงจะลงมือจัดการ รปภ.ที่ปากดีคนนั้นด้วยตัวเองไปแล้ว!

   ดี!พวกคุณนี่ใจกล้าไม่เลวเลย!  แม้ปากจะชื่นชมแต่สีหน้าและแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาที่น่ากลัว เขากดปุ่มบนโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เมื่อมีเสียงตอบรับที่ปลายสายเขาก็พูดทันทีว่า  พี่เปียวผมเสี่ยวเหยียนเองครับ พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นที่ร้าน…. 

  เขาพูดพลางเหลือบมองจี้เฟิงกับจางเล่ยเป็นครั้งคราวความหมายในกิริยาท่าทางของเขานั้นราวกับกำลังพูดว่า  ไอ้พวกอวดดี ยืนรอความตายกันอยู่ที่นี่แหละ เปียวเกอมาถึงเมื่อไหร่ ฉันจะคอยดูว่าพวกแกจะถูกเขาจัดการด้วยวิธีไหน!    จี้เฟิงไม่สนใจท่าทางของผู้จัดการเหยียนเขาเพียงแค่มองเว่ยเฉียงและเว่ยเฉินหลิงด้วยรอยยิ้มจางๆเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงของสองคนนี้ไม่มีทางหลุดรอดสายตาของเขาไปได้แม้แต่น้อย

  ความปีติยินดีที่อยู่ในแววตาของสองคนนั้นแม้พวกเขาจะพยายามปกปิดมันเต็มที่แต่จี้เฟิงก็สังเกตเห็นอยู่ดีและยังสามารถเดาได้อย่างง่ายดายว่าสองคนนั้นกำลังรอคอยการมาถึงของเปียวเกอเพื่อที่จะดูว่าเปียวเกอจะมีวิธีจัดการกับเขาอย่างไร

  น่าเสียดาย…

  จี้เฟิงยิ้มในใจไม่แน่ว่าก่อนที่เปียวเกอจะมา น้าสองของจางเล่ยอาจจะโทรมาก่อน หรือไม่ก็อาจจะส่งคนมาที่นี่โดยตรงเลยก็ได้

  เขาต้องการที่จะดูให้ชัดๆว่าเมื่อถึงเวลานั้นสองคนนี้จะมีสีหน้ายังไง!

   Rrrrrrrr~~~!!! 

  ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของจางเล่ยก็ดังขึ้น จี้เฟิงหันกลับไปมองทันที

  สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเว่ยฮั่นเซิงจะถูกจับกุมหรือไม่ ถ้าเขาถูกจับกุม เรื่องที่เหลือก็ไม่มีปัญหาอะไร และหลังจากนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับสองคนนี้ขึ้นอีก แต่ถ้าเว่ยฮั่นเซิงหลุดรอดไปได้ สิ่งต่างๆก็จะยุ่งยากมากทีเดียว

  จางเล่ยรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับอย่างรวดเร็วและถามอย่างอดใจรอไม่ไหว  น้าสอง เป็นยังไงบ้าง…. 

  ไม่มีใครรู้ว่าน้าสองของจางเล่ยพูดอะไรบ้างทางโทรศัพท์แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือสีหน้าที่บูดบึ้งของจางเล่ย จากนั้นเขาก็มีสีหน้าที่เขินอายเล็กน้อย เขาพูดอีกสองสามคำก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็ว

   เจ้าบ้าเว่ยฮั่นเซิงถูกจับได้แล้ว น้าสองบอกฉันว่านี่คือปลาตัวใหญ่…  จางเล่ยดูตื่นเต้นมาก เขาพูดเสียงดังและชี้ไปที่เว่ยเฉียงกับเว่ยเฉินหลิง  ตอนนี้น้าสองกำลังส่งคนมาที่นี่ ไอ้สารเลวสองคนนี้ต้องรู้อะไรหลายๆอย่างแน่นอน บางทีพวกมันอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยก็ได้ เดี๋ยวจะมีตำรวจมานำตัวพวกมันไป! 

  ตุ้บ!

  เว่ยเฉียงและเว่ยเฉินหลิงทรุดตัวลงกับพื้นในเวลาเดียวกันเว่ยฮั่นเซิงถูกจับแล้ว… และพวกเขาก็จบสิ้นแล้ว….

   เยี่ยมมาก! จี้เฟิงหัวเราะทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า  จริงสิ เมื่อกี้สีหน้าของนายดูแปลกๆไป น้าสองของนายเขาพูดอะไรอีกรึเปล่า 

  แม้ว่าด้วยพลังหูของจี้เฟิงการจะรับฟังเสียงโทรศัพท์ของจางเล่ยให้ชัดเจนนั้นเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าเขากับจางเล่ยจะสนิทสนมกันมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ย่อมต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่จำเป็นต้องเสียพลังงานไปกับเรื่องนี้

  จางเล่ยกระแอมไอเบาๆและโบกมือ ไม่มีอะไรร๊อก เขาแค่ชมฉันว่าทำได้ดีมาก ช่วยให้เขาจับปลาตัวใหญ่ได้อะไรทำนองนี้น่ะ ฮ่าฮ่า… 

  จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มเขารู้ว่าจางเล่ยไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ในเมื่อจางเล่ยไม่อยากพูด จี้เฟิงก็ไม่ยืนกรานที่จะถามอีก

  เนื่องจากตอนนี้แผนก็เรียกได้ว่าสำเร็จไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วจี้เฟิงเบนความสนใจไปที่ผู้จัดการเหยียนและกลุ่มรปภ.อีกครั้ง

  อันที่จริงถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่ได้เห็นความสามารถในการต่อสู้ของรปภ.เหล่านี้อยู่ในสายตาแต่ในใจของเขาก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ดูไม่เหมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ตามร้านอาหารโดยทั่วไป พวกเขาดูเหมือนนักเลงมากกว่า

  และในตอนที่พวกเขาพูดถึงคนชื่อเปียวเกอพวกเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง เมื่อดูจากสำเนียงและวิธีการพูด ถ้าจี้เฟิงเดาไม่ผิดคนที่ผู้จัดการเหยียนและเหล่า รปภ.เรียกว่าลูกพี่เปียวน่าจะเป็นมาเฟีย

  ตอนนี้อีกฝ่ายก็โทรเรียกเปียวเกอมาเรียบร้อยแล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เปียวเกอคนนั้นน่าจะมาถึงในไม่ช้านี้ ถ้าเรื่องนี้เจรจากันไม่ลงตัว บางทีอาจเป็นปัญหาอีก แต่จี้เฟิงก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะยังไงเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายโทรแจ้งตำรวจหรือส่งเว่ยเฉียงกับเว่ยเฉินหลิงไปโรงพยาบาลได้ในตอนนี้

  ถ้าหากเว่ยเฉียงและเว่ยเฉินหลิงหนีไปได้มันจะกลายเป็นปัญหาที่พาให้ปวดกบาลไม่รู้จบ เพราะถ้าสองคนนั้นสติหลุดบ้าคลั่งอยากจะกลับมาแก้แค้นขึ้นมา พวกเขาอาจจะสร้างปัญหาให้กับถงเล่ยหรือเซียวหยูซวนได้!

  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว่ยเฉินหลิงคนที่ดูเหมือนเป็นกุนซือคอยควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง คนแบบนี้น่ากลัวมาก และถ้าได้เป็นศัตรูกับคนประเภทนี้ ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้เขากลับมาแว้งกัดได้อีก!    ถ้าอย่างงั้นตอนนี้เราก็นั่งพักกันก่อนเถอะ! จ้าวไคดันแว่นตาของเขาขึ้นและก้มลงไปคว้าเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ล้มอยู่ จากนั้นก็ตั้งขึ้นมาแล้วนั่งลง  ผมไม่ค่อยได้ออกแรงแบบนี้เท่าไหร่ เลยทำให้เหนื่อยนิดหน่อย พวกคุณก็นั่งลงเถอะ! 

   ก็ดีเหมือนกัน! จางเล่ยหัวเราะคิกคัก เขายกเก้าอี้ขึ้นและนั่งลง

  ตู้เส้าเฟิงมองหาอยู่นานแต่ก็ไม่พบเก้าอี้ที่สภาพสมบูรณ์สักตัวเขาอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ  พวกนายทำเกินไปแล้ว เล่นทุบเก้าอี้พังเกือบทุกตัวแบบนี้ได้ยังไง แล้วจะให้ฉันนั่งตรงไหนล่ะทีนี้? …. นายน่ะ! 

  เขาชี้ไปที่รปภ.ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไปเอาเก้าอี้มาให้ฉัน! 

   แกอยากตายรึไง! รปภ.คนนั้นฉุนขึ้นมาทันที

  ตู้เส้าเฟิงถลึงตาใส่ทันที นายว่าอะไรนะ!    จี้เฟิงตบไหล่ตู้เส้าเฟิงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า ช่างมันเถอะไม่มีเก้าอี้ก็ยืนเอา เดี๋ยวพอตำรวจมาถึงเราก็ไปกันแล้ว 

   ห๊ะ!จะไปไหนนะ? ทำลายข้าวของของเรายังไม่พอ มาทำร้ายร่างกายคนของเราอีกแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆเนี่ยนะ! มันจะง่ายไปหน่อยหรือเปล่า?!  รปภ.คนนั้นพูดอย่างดูถูกว่า  รอลูกพี่เปียวมาถึงก่อนเถอะ ฉันจะรอดูว่าพวกนายจะเอาตัวรอดด้วยวิธีไหน! 

  จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและไม่สนใจเขา

  ตู้เส้าเฟิงจ้องเขม็งไปที่รปภ.คนนั้นอย่างเย็นชา เขาพ่นลมหายใจฮึดฮัด จากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งซองแล้วยื่นให้จี้เฟิงกับคนอื่นๆ ส่วนพวก รปภ. ดีแค่ไหนแล้วที่ตู้เส้าเฟิงอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะแจกบุหรี่ให้คนพวกนั้นหรอก

  ผู้จัดการเหยียนจ้องมองจี้เฟิงและคนอื่นๆด้วยสายตาเย็นชาแต่ภายในใจของเขากำลังพึมพำกับตัวเอง จากประสบการณ์ของเขาแน่นอนว่าเขาเคยพบเจอผู้คนมาไม่น้อยดังนั้นการมองคนให้ออกจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แต่กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ผู้จัดการเหยียนกลับมองไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และเป็นคนยังไงกันแน่!

  กล้าก่อเรื่องต่อยตีคนในร้านที่เปียวเกอคุ้มครองอยู่ไม่เพียงแต่ต่อยตีลูกค้า แม้แต่รปภ.ที่เป็นคนของที่นี่ก็ยังกล้าตี คนที่กล้าทำแบบนี้มีอยู่สองอย่าง อย่างแรกพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของเปียวเกอมาก่อน จึงกล้าที่จะอวดดีโดยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ในกรณีที่สองถ้าเขารู้จักเปียวเกอแต่ยังกล้าอาละวาดแบบนี้ นั่นก็แสดงว่าคนพวกนี้มีอิทธิพลที่ไม่ธรรมดา!

  ผู้จัดการเหยียนเริ่มเกิดความลังเลเล็กน้อยเขาตัดสินใจละทิ้งทิฐิของเขาทันที และมองดูคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้อย่างจริงจัง

  ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มบุคลิกโดยรวมของเขาดูองอาจผ่าเผย กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ไม่ธรรมดา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเสแสร้งแกล้งทำได้

  ส่วนคนอื่นๆดูเหมือนจะไม่ได้วิตกกังวลกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้เลยบางคนก็ดูเฉยเมย โดยเฉพาะคนที่สวมแว่น มุมปากของเขาดูเหมือนคนที่ยิ้มเยาะอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนกำลังคาดหวังกับอะไรบางอย่างอยู่…

  ทันใดนั้นความกลัวก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของผู้จัดการเหยียนชายหนุ่มกลุ่มนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดาแน่!

  หัวใจของเขาเต้นโครมคราม!

  ตอนที่เขาโทรหาเปียวเกอเขาบอกไปแค่ว่ามีกลุ่มชายหนุ่มก่อเรื่องทะเลาะวิวาทและสร้างปัญหา…

  ถ้าเปียวเกอมาและพบว่าพวกเขาดันไปยั่วโมโหคนที่ไม่สมควรเข้าไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาดแล้วผลที่ตามมาจะเลวร้ายขนาดไหน…

  พอคิดได้แบบนี้ผู้จัดการเหยียนก็เกิดความลังเลขึ้นมาทันที ถ้าตอนนี้เขาโทรกลับไปบอกเปียวเกอว่าคนพวกนี้อาจอาจจะเอาเรื่องด้วยยาก เปียวเกอจะคิดว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่รึเปล่า

  ดังนั้นฉันควรตรวจสอบเบื้องหลังของชายหนุ่มกลุ่มนี้ก่อนดีหรือเปล่า

  เขาเองก็เป็นถึงผู้จัดการของภัตตาคารแห่งนี้ด้วยอายุอานามก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่ตอนนี้จะต้องให้เขามาพูดจาอ่อนน้อมเพื่อสอบถามข้อมูลกับชายหนุ่มกลุ่มนี้ที่เขาเพิ่งมีปัญหาขัดแย้งกันไปเมื่อครู่… เขาไม่สามารถปล่อยวางและยอมเสียหน้าได้ถึงขนาดนั้นจริงๆ

  ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากด้านนอก สีหน้าของผู้จัดการเหยียนแสดงความยินดีออกมาทันที ต้องเป็นพี่เปียวที่พาคนมาด้วยแน่ๆ!

   พี่เปียวมาแล้วรีบไปพี่เปียวมาที่นี่เร็วเข้า…  เขายังพูดไม่ทันจบก็ต้องชะงักไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้างไปเช่นกัน!   กลุ่มตำรวจในเครื่องแบบปรากฏตัวที่ประตูห้องอาหารส่วนตัวห้องนี้ใบหน้าของพวกเขาเคร่งขรึม คนที่นำอยู่ด้านหน้าสุดมีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าดูเด็ดเดี่ยว

   ตำรวจ…สหายตำรวจทุกท่าน มาที่นี่กันทำไมเหรอครับ  ผู้จัดการเหยียนถามอย่างตะกุกตะกัก เขาไม่ได้เป็นฝ่ายแจ้งตำรวจแน่นอน ต่อให้เขาโง่แค่ไหนเขาก็รู้ดีว่า ถ้าแจ้งตำรวจไปแล้วยังแจ้งเปียวเกออีก นั่นจะไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?

  ตำรวจที่อยู่ด้านหน้ากล่าวว่า มีคนรายงานว่ามีเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นที่นี่ ใครคือจางเล่ย 

  จางเล่ยยิ้มและยืนขึ้น ผมจางเล่ยครับคุณตำรวจ ผมเป็นคนแจ้งเหตุเอง พวกเราทุกคนที่นี่ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง! 

  ตำรวจที่นำอยู่ด้านหน้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว  นำตัวพวกเขาออกไป และพาไปที่สถานีตำรวจเพื่อทำการสอบสวนอย่างละเอียด! 

  จางเล่ยส่งสัญญาณให้จี้เฟิงและคนอื่นๆอย่างเงียบๆและพวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่าตำรวจพวกนี้น่าจะเป็นคนของน้าสองของจางเล่ย

  ตำรวจหลายนายเดินก้าวออกมาข้างหน้าและเตรียมที่จะช่วยพยุงหัวหน้าฉินและคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บและหมดสติอยู่บนพื้นแต่เมื่อเห็นสภาพของพวกเขาใกล้ๆ เหล่าตำรวจก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่!

  นี่มันการทะเลาะวิวาทที่ไหนกันรุมซ้อมอยู่ฝ่ายเดียวชัดๆ!

  ในสามคนนี้ถ้าไม่ใบหน้ายับเยินก็เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดการประเมินคร่าวๆด้วยสายตาไม่อาจบอกได้เลยว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง

  ตำรวจหลายนายอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังจี้เฟิงและคนอื่นๆพวกเขาแอบถอนหายใจและอดคิดไม่ได้ว่า ‘เด็กสมัยนี้ทำไมถึงได้โหดร้ายกันขนาดนี้!’   ในขณะที่ตำรวจกำลังดึงเว่ยเฉินหลิงกับเว่ยเฉียงขึ้นมาเว่ยเฉียงก็วิ่งไปหาจี้เฟิงและคุกเข่าลง

   จะจี้เฟิง ขอร้องล่ะปล่อยฉันไปเถอะ ฉันรู้ว่าฉันผิดฉันมันเป็นแค่ไอ้โง่ที่ไม่รู้จักคิด ฉันรู้ว่านายเป็นคนใจกว้าง อย่าถือสาคนโง่อย่างฉันเลยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปฉันจะไม่ล่วงเกินถงเล่ยอีก…  เว่ยเฉียงจับขาของจี้เฟิงและอ้อนวอนอย่างน่าสมเพช

  แต่ใบหน้าของจี้เฟิงนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยเขาเพียงแค่พูดเบาๆว่า  ก่อนหน้านี้ตอนที่นายกำลังเฮฮาอยู่ที่โต๊ะเหล้า นายไม่ได้พูดแบบนี้นี่ 

  เว่ยเฉียงตกตะลึงในทันทีเขาตระหนักได้ทันทีเลยว่าความฉิบหายกำลังมาเยือนเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนอื่นๆอาจไม่รู้ แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง

  จากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปก่อนหน้านี้ถ้าถูกตำรวจจับและไม่มีอำนาจของพ่อมาช่วยเหลือ ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่สามารถออกมาจากคุกได้…  ความแค้นพวยพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขาคำรามออกมา  จี้เฟิง มึงไม่ต้องทำเป็นได้ใจไปหรอก ถ้ากูติดคุก มึงก็อย่างหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย! 

  ตำรวจคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปคว้าตัวเว่ยเฉียงและลากเขาออกไปแต่ก่อนที่เขาจะออกไป เว่ยเฉียงยังคงดิ้นรนและหันกลับมาตะโกน  มึง! ไอ้จี้เฟิง ระวังตัวไว้ให้ดี เล่นกับใครไม่เล่น ไปเล่นกับเปียวเกอ เขาไม่มีทางปล่อยมึงไปแน่ ฮ่าๆๆๆ… 

 

The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ

The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ

Status: Ongoing

       ตลอดชีวิตที่ถูกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม จนถึงจุดต่ำสุดของชีวิต จี้เฟิงได้รับพลังมาจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าปัจจุบันมาก มันช่วยเพิ่มความสามารถในทุกๆด้านราวกับเวทมนตร์ ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเขาก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป! ด้วยระบบอัจฉริยะที่จี้เฟิงได้ฝึกฝนจนบรรลุทักษะพิเศษ ชีวิตของจี้เฟิงกลายเป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท