แน่นอนว่าฉินซูเจี๋ยไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ของเธอกำลังคิดเรื่องชั่วๆอะไรอยู่ภายใต้หน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและถึงกับขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสารฟ่านเหลียงกุ้ยคิดอยู่ภายในใจว่าหลังจากที่จัดการเรื่องสามีของเธอเสร็จ เธอควรจะแบ่งทรัพย์สินของเธอเท่าไหร่ดี และในเวลานี้เธอก็กำลังคิดหาคำพูดและวิธีที่จะใช้ในการเจรจากับฉินซูเจี๋ยในครั้งต่อไป
ฉินซูเจี๋ยกำลังคิดวิเคราะห์นิสัยของอีกฝ่ายและจากที่เขาพูดคุยกับฟ่านเหลียงกุ้ยผ่านทางโทรศัพท์เมื่อครู่จะเห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่ใจร้อนและไม่มีความอดทนใดๆเลย
ฉินซูเจี๋ยซึ่งมักจะพูดคุยกับลูกค้าที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่เป็นประจำเธอสามารถเข้าใจความต้องการของคู่สนทนาได้ไม่ยากนัก แต่คราวนี้ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่การเจรจาทำข้อตกลงกัน แต่มันคงเป็นแค่เพียงการต่อรองราคากันเท่านั้น
ฉินซูเจี๋ยไม่รู้ว่าคนที่จะมาเจรจากับเธอในครั้งนี้นั้นไม่ได้มาเจรจาในฐานะนักธุรกิจและสาเหตุที่จี้เฟิงมาสาย ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะต่อรองราคาให้ได้มากที่สุด แต่เป็นเพราะเขาคุยกับสมองอัจฉริยะอยู่ตลอดเวลาจนลืมเวลาไป
ซูเจี๋ยอย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดสิฉันแค่กลัวว่าจะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป เลยคิดว่าถ้าให้เธอเป็นคนเจรจาทั้งหมดเลยน่าจะเป็นการดีกว่า ฟ่านเหลียงกุ้ยคิดอย่างรวดเร็วว่าควรจะพูดยังไงเพื่อให้ฉินซูเจี๋ยยอมควักกระเป๋าด้วยความเต็มใจ ซูเจี๋ยอย่างที่เธอรู้อยู่แล้ว แม้ว่าพี่ชายของเธอจะทำเงินได้มากมายจากการรับสินบน แต่ที่เขาทำไปก็เพราะมีเหตุจำเป็น เขาเป็นหนี้การพนันเยอะมาก และที่สำคัญ เด็กๆยิ่งโตก็ยิ่งมีรายจ่ายเยอะขึ้น ไหนจะค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆอีก ดังนั้นครอบครัวของเราจึงแทบไม่มีเงินเก็บหลงเหลืออยู่เลย!
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อคิดพิจารณาอย่างรอบคอบฟ่านเหลียงกุ้ยก็พูดพลางสังเกตสีหน้าของฉินซูเจี๋ยอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นเงินแค่หมื่นสองหมื่น ครอบครัวเราก็ยังพอจะควักออกมาใช้ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายต้องการมากกว่านั้น… ซูเจี๋ยขอเพียงเธอช่วยพวกเราให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ฉันก็ยินดีที่จะให้เธอเรียกใช้งานทุกอย่างตามที่เธอต้องการเลย คิดเสียว่าเป็นการตอบแทน…
ก่อนที่ฟ่านเหลียงกุ้ยจะพูดจบฉินซูเจี๋ยก็ขัดจังหวะเธอแค่นเสียงอย่างเย็นชา ฟ่านเหลียงกุ้ยฟังที่ฉันพูดให้ดีๆนะ ตอนที่พวกคุณขอแบ่งแยกทรัพย์สมบัติของตระกูล เราได้ตกลงกันแล้วพวกคุณก็อยู่ส่วนของพวกคุณ ฉันก็อยู่ส่วนของฉัน เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันเรื่องเงินๆทองๆอีกเป็นอันขาด ไม่มีทาง!
อีก! ฟ่านเหลียงกุ้ยถึงกับสะอึก เธอรู้สึกหายใจไม่ออก ดวงตาฉายแววอาฆาตแค้น แต่เพียงแวบเดียวแววตาแห่งความอาฆาตแค้นก็หายไป ตอนนี้เธอยังต้องพึ่งพาฉินซูเจี๋ยให้ดึงสามีของเธอขึ้นมาจากอันตรายให้ได้เสียก่อน แน่นอนว่าเธอยังไม่สามารถล่วงเกินฉินซูเจี๋ยได้ในเวลานี้ ต่อให้เป็นแค่การโต้เถียงกลับไปสักสองสามประโยค เธอก็จะไม่ทำอย่างแน่นอน
ซูเจี๋ย… ฟ่านเหลียงกุ้ยถอนหายใจเบาๆ ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเราทำกับเธอเกินไป ฉันต้องขอโทษเธอด้วยจริงๆ แต่เธอคงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้พี่ชายของเธอต้องติดคุกใช่มั้ย หลานของเธอก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะกันสักคน ตอนนี้เป็นเวลาที่จิตใจพวกเขาเปราะบางมาก ถ้าเกิดเขารู้ว่าพ่อของเขาต้องมาติดคุก หลานของเธอก็อาจจะถึงขั้นเสียคนหรือคิดสั้นก็เป็นได้ เธอจะปล่อยให้ต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉินต้องจิตใจแตกสลายก่อนจะได้เติบโตอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเห็นท่าทางอ้อนวอนอย่างขมขื่นของฟ่านเหลียงกุ้ยในที่สุดฉินซูเจี๋ยก็ใจอ่อนลง แต่สีหน้าของเธอยังเย็นชาและพูดเบาๆว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จะชดใช้กันแบบไหนอย่างไร ต้องมาคุยรายละเอียดก่อน แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูด รอให้อีกฝ่ายมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
ฟ่านเหลียงกุ้ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่ฉินซูเจี๋ยรับปากแบบนี้ รอให้เธอใจอ่อนลงอีกหน่อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไรที่มันมากเกินไป เธอก็จะตอบตกลงอย่างแน่นอน
‘ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องเสียเงินแล้ว…’ฟ่านเหลียงกุ้ยแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดก็คือต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อชดเชยให้อีกฝ่าย หากต้องเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ เธออาจจะต้องใจร้ายและปล่อยให้ฉินหยูเจี๋ยติดคุกไป จริงๆแล้วฟ่านเหลียงกุ้ยเคยชินกับการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยและใช้เงินเป็นจำนวนมาก หากจู่ๆต้องนำเงินที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วมาเสียให้กับคนอื่นไปฟรีๆแบบนี้ มันก็คงไม่ต่างกับการที่เธอต้องติดคุกไปด้วยเหมือนกัน!
ฟ่านเหลียงกุ้ยไม่อาจยอมเสียหน้าใส่เสื้อผ้าราคาถูกเวลาไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆในงานเลี้ยงได้และไหนจะพวกเครื่องประดับเพชรพลอยเหล่านั้นอีก เธอคงจะไม่กล้าพอที่จะทำตัวหน้าไม่อายไปเสาะหาของปลอมมาใส่เพื่อไปเปรียบเทียบกับคนรวยคนอื่นๆแน่!
ฉันจะเป็นคนรวยที่รวยจริงๆ!
แม้ว่าตอนนี้เงินของครอบครัวจะเหลือไม่มากแล้วแต่ซูเจี๋ยนั้นมีเงิน! มีมากเสียด้วย!
หลังจากที่ฉินซูเจี๋ยรับปากฟ่านเหลียงกุ้ยก็ไม่กังวลอีกต่อไปว่าสามีของเธอจะติดคุกหรือไม่ เธอมองไปที่บริษัทเครื่องประดับของฉินซูเจี๋ยแทน
ใครมันจะยอมเห็นพี่ชายและครอบครัวต้องตกระกำลำบากฉินซูเจี๋ยเป็นน้องแท้ๆ ยังไงก็คงไม่ใจร้ายใจดำขนาดนั้นแน่!
…………… บ้าเอ๊ย!ฉันจะไม่โชคร้ายเกินไปหน่อยเหรอ!
เมื่อมองดูถนนที่แออัดไปด้วยยานพาหนะจี้เฟิงก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ตอนแรกก็ว่าสายมากแล้ว แต่ตอนนี้รถดันมาติดอีก…
ปัง!
จี้เฟิงลงจากรถและชะเง้อมองไปยังถนนที่อยู่ด้านหน้าอย่างช่วยไม่ได้แต่สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงรถที่ติดกันจนแน่นขนัด แม้จะมีการเคลื่อนที่บ้างเล็กน้อยแต่เรียกได้ว่าคนเดินเท้าน่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า จี้เฟิงทำได้เพียงแต่ยิ้มอย่างขมขื่นและรู้สึกพูดไม่ออก
สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปที่ทางเท้าที่ข้างถนนอีกครั้งใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ เขาพึมพำกับตัวเองว่า ถ้าครั้งนี้ฉันวิ่งบนทางเท้าอีกครั้ง คงจะไม่เจอตำรวจจราจรหญิง หลี่ลู่หนานหรอกใช่มั้ย
แต่จี้เฟิงก็ใช้เวลาในการตัดสินใจไม่นานนักเขากัดฟันและรีบกลับเข้าไปในรถและหักพวงมาลัยหันไปที่ทางเท้าจากนั้นก็เหยียบคันเร่งและรถก็พุ่งออกไปทันที
ในเวลานี้ห่างออกไปจากจุดที่จี้เฟิงอยู่ไม่ถึง200 เมตร มีรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนของตำรวจจราจรกำลังขับไปตามถนนอย่างรวดเร็ว ตำรวจจราจรหญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตำรวจผู้ตรงฉินที่จี้เฟิงเพิ่งพูดถึง ตำรวจจราจรหญิง หลี่ลู่หนาน!
นั่นมัน..มีคนฝ่าฝืนกฎจราจร ขับรถบนทางเท้า หลี่ลู่หนานเบิกตากว้างด้วยความโมโห ต่อหน้าต่อตาตำรวจจราจรอย่างเธอ ยังมีคนกล้าอวดดีขนาดนี้ อีกหน่อยก็ไม่เห็นตำรวจอยู่ในสายตาแล้วใช่มั้ย?
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเพิ่งมองดูดีๆนางก็ยิ่งโกรธจัด เธอกัดฟันและกล่าวว่า เจ้าคนบ้าจี้เฟิงนั่นอีกแล้ว! ผู้ชายคนนี้ไม่รู้จักวิธีการขับรถบนเส้นทางที่ถูกต้องบ้างเลยหรือยังไง!
เธอมองไปยังท้องถนนที่แออัดและหยิบวิทยุสื่อสารจากมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาทันที ตำรวจจราจรลาดตระเวน 5631… ถึงสถานีหลัก มีรถยนต์ฝ่าฝืนกฎจราจรโปรดตรวจสอบทะเบียนหมายเลข เจียง AXXX….
หลังจากติดต่อไปยังสถานีหลักแล้วหลี่ลู่หนานก็วางวิทยุสื่อสาร และหันมองไปยังทิศทางที่จี้เฟิงขับรถออกไปอย่างเคียดแค้น เธอกัดฟันกรอด รอฉันจัดการการจราจรที่ติดขัดตรงนี้ให้เสร็จก่อนเถอะ แล้วมาดูกันว่าฉันจะจัดการนายยังไง!
ในเวลานี้จี้เฟิงไม่ได้รู้ตัวเลยว่าปากของเขานั้นพาซวยได้ขนาดไหนเขาแค่พูดอย่างไม่คิดแต่กลับถูกหลี่ลู่หนานหมายหัวเอาไว้จริงๆ
คิดดูแล้วถ้าเขารู้เข้าเขาก็คงได้แต่ลูบจมูกอย่างเก้อๆและยิ้มเจื่อนๆเขาน่ะหรือจะกลัวอะไรแบบนี้จริงๆ
หลังจากที่มาขับรถบนทางเท้าจี้เฟิงก็ไม่กล้าที่จะขับรถเร็วจนเกินไป เพราะมีทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์มากมายอยู่บนถนน ถ้ามีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับคนอื่น จี้เฟิงคงไม่มีแม้แต่เวลามาเสียใจ
เพราะแม้ว่าเขาจะเป็นหลานชายคนโตของผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ทำความผิดแล้วยังไปข่มใส่คนอื่น พฤติกรรมเหมือนเดรัจฉานแบบนั้นจี้เฟิงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขากล้าและบ้าพอที่จะทำแบบนั้นจริงๆ คุณปู่ของเขาคงจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆแน่ อย่างน้อยๆก็คงจะโดนไม้เท้าทุบกบาลแยก!
เนื่องจากจี้เฟิงไม่กล้าขับเร็วเมื่อเขาไปถึงร้านกาแฟที่นัดกับภรรยาของฉินหยูเจี๋ยไว้ ก็เป็นเวลา 12.30 น. แล้ว มันสายกว่าเวลาที่นัดกันไว้ครึ่งชั่วโมง
แต่จี้เฟิงไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยเหตุผลที่เขามาที่นี่หลักๆแล้วก็เพราะเห็นแก่หน้าของฉินซูเจี๋ย ถึงแม้ว่าฉินซูเจี๋ยจะไม่รู้ว่าเป็นเขา ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ฟ่านเหลียงกุ้ยกับฉินหยูเจี๋ยที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจี้เฟิงก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องไว้หน้าพวกเขา!
ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้ามากี่ท่านครับ ทันทีที่จี้เฟิงมาถึงร้านกาแฟ พนักงานเสิร์ฟก็รีบเดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม
ผมนัดคนไว้น่ะครับ! จี้เฟิงกล่าว เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของพนักงานเสิร์ฟและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง จี้เฟิงก็หยิบธนบัตรมูลค่าหนึ่งร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าสตางค์และยื่นให้
ขอบคุณครับไม่ทราบว่าคุณผู้ชายกำลังมองหาใคร ผมจะได้ช่วยมองหาครับ เมื่อพนักงานเสิร์ฟได้รับทิป รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็สดใสมากขึ้น แม้กระทั่งสรรพนามที่เรียกจี้เฟิงก็เปลี่ยนไป
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกเลือกโดยฟ่านเหลียงกุ้ยหรือฉินซูเจี๋ย เขาเพิ่งจะเข้าประตูมาก็ต้องเสียค่าทิปซะแล้ว… เงินของฉันไม่ได้งอกขึ้นมาเองนะเฟ้ย!
นี่เป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงให้ทิปคนอื่นเขาจึงรู้สึกแปลกๆ… มันเหมือนกับการถูกมารยาททางสังคมกดดันทั้งๆที่ไม่เต็มใจ มันทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขาก็พอจะเข้าใจว่ากฎของสังคมก็เป็นเช่นนี้ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม
จี้เฟิง!
ในตอนนั้นเองเสียงของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้น จี้เฟิงหันกลับไปมองตามเสียงและเห็นร่างที่มีเสน่ห์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความเย้ายวนคนนี้ ถ้าไม่ใช่ฉินซูเจี๋ยแล้วจะเป็นใครได้อีก!
จี้เฟิงยิ้มทันที ประธานฉิน!
เขาไม่ได้พูดอะไรทำนองว่า บังเอิญอะไรอย่างนี้ หรือ คุณมาที่ทำไม? แม้ว่าจี้เฟิงจะแกล้งทำเป็นประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่อยากพูดโกหกแบบตั้งใจขนาดนั้น
เรียกฉันว่าประธานฉินอีกแล้ว! ฉินซูเจี๋ยไม่พอใจขึ้นมาทันที ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนฉันให้เธอเรียกฉันว่าอะไร
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ พี่ฉิน… ฉินซูเจี๋ยยิ้มหวานและพูดว่า ก็น่าจะทำนองนั้นล่ะนะ เอ้อ! ว่าแต่จี้เฟิงทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้
จี้เฟิงเปิดปากและพูดว่า มีคนนัดให้ผมมาพบที่นี่
แฟนเหรอ ฉินซูเจี๋ยถามยิ้มๆ
ภรรยาของศัตรู! จี้เฟิงหัวเราะและจงใจพูดว่า เป็นหัวหน้าแผนกสวะคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ เขาร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายแฟนของผม…
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินซูเจี๋ยก็แข็งค้าง เธอตะลึงงันไปพักใหญ่ๆ และหลังจากนั้นเธอก็ถามอย่างงงๆว่า จี้เฟิง… คนที่เธอกำลังพูดถึงอยู่นี่ เขาชื่อว่าฉินหยูเจี๋ยใช่มั้ย
อืม..ฉินหยูเจี๋ย เหมือนจะใช่นะ! จี้เฟิงแกล้งทำเป็นนึกอยู่แปบหนึ่ง เขาไม่กล้าบอกตรงๆว่าเขารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้วและยิ่งไม่กล้าบอกเข้าไปใหญ่ว่าเขารู้ว่าฉินซูเจี๋ยเป็นน้องสาวของฉินหยูเจี๋ย เพราะถ้าพูดไปแบบนั้น มันจะไม่ทำให้เธอเข้าใจว่าเขาตั้งใจมาสายทั้งๆที่ก็รู้ว่าเธอมาที่นี่ด้วยอย่างนั้นเหรอ!
มันเป็นการโกหกโดยสุจริต…เพื่อไม่ทำให้เกิดปัญหาและไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่! จี้เฟิงแอบพูดในใจ
ฉินซูเจี๋ยถึงกับนวดขมับของเธอและยิ้มอย่างขมขื่น ฉันก็นึกสงสัยอยู่แล้วเชียวว่านักเรียนธรรมดาๆ จะกล้ามาทำร้ายหัวหน้าแผนกในมหาวิทยาลัยได้ยังไง! เฮ้อ… จี้เฟิง หัวหน้าฉินที่เธอพูดถึงน่ะ เขาเป็นพี่ชายของฉันเอง
��