เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง!
ก็เห็นอยู่ว่าจี้เฟิงเป็นรองฉินซูเจี๋ยมากขนาดไหนถ้าจี้เฟิงต้องการจะทำธุรกิจและต้องการจะเติบโตในด้านธุรกิจเขาก็ต้องพึ่งพาฉินซูเจี๋ยในเรื่องนี้ และพี่ชายของเธอถูกจี้เฟิงทำร้าย ตามหลักแล้วฉินซูเจี๋ยมีสิทธิ์ที่จะโกรธและตำหนิจี้เฟิงรวมถึงสามารถข่มขู่เขาเพื่อให้เขาไปที่สถานีตำรวจและยกเลิกคดีนี้ซะ!
แต่ตอนนี้ฉินซูเจี๋ยกลับมาพูดอะไรแบบนี้เธอกำลังคิดจะทำอะไร
ใบหน้าของฉินซูเจี๋ยเต็มไปด้วยความอับอายแถมยังบอกให้จี้เฟิงเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมดโดยไม่ต้องสนใจเธอนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ฉินซูเจี๋ยเธออย่าลืมว่าฉินหยูเจี๋ยเป็นพี่ชายของเธอ ไม่ใช่คนแปลกหน้าและไม่ใช่ศัตรู! ฟ่านเหลียงกุ้ยโกรธมาก เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนและลุกขึ้นยืนพร้อมกับชี้ไปทางจี้เฟิง เธอกัดฟันพูดอย่างดูถูกว่า ไอ้เด็กข้างถนนคนนี้ยังต้องพึ่งพาเธออีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ถึงจะสามารถทำธุรกิจได้ แต่เธอกลับมาก้มหัวให้ไอ้เด็กแบบนี้เนี่ยนะ หรือว่าเธอต้องการจะฆ่าพี่ชายของเธอจริงๆ?!
ฉินซูเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะบีบขมับของเธอก่อนจะมองไปที่ฟ่านเหลียงกุ้ยอย่างเหลืออดและถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า คุณคิดจริงๆเหรอว่าคนที่จะฆ่าพี่ใหญ่คือฉัน ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนที่จะฆ่าเขาจริงๆน่ะมันเป็นเธอต่างหาก! ฟ่านเหลียงกุ้ย เดิมทีฉันคิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงอวดดีและเห็นแก่เงิน แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะโง่เง่าและปัญญาอ่อนได้ถึงขนาดนี้…
นี่แกด่าฉันโง่เง่าปัญญาอ่อนอย่างนั้นเหรอ! ฟ่านเหลียงกุ้ยโกรธมาก เธอตะโกนด่าเสียงดัง ฉินซูเจี๋ย นังผู้หญิงกระจอกที่ถูกทิ้ง แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้?!
สีหน้าของฉินซูเจี๋ยดำมืดขึ้นทันที ฟ่านเหลียงกุ้ย! ระวังปากด้วย!
ทำไมฉันพูดอะไรผิดงั้นเหรอ?! ฟ่านเหลียงกุ้ยเบ้ปากและยิ้มเยาะ จริงสิ ฉันไม่ได้พูดอะไรผิด แต่ฉันน่าจะพูดจี้ใจดำเธอมากกว่า ตัวเธอเองก็ไม่ได้มีชีวิตครอบครัวที่ดี มีผัว ผัวก็ทิ้ง! เลยต้องมาคอยจีบเด็กหนุ่มชดเชยปมด้อยที่อยู่ในใจ และคงเป็นเพราะแบบนี้ พอเห็นครอบครัวของฉันมีชีวิตที่ดีก็เลยอิจฉาและต้องการที่จะทำให้ครอบครัวของฉันต้องพังพินาศเหมือนกันกับเธอ!
จี้เฟิงมองดูหญิงสาวที่ดูเหมือนกับคนบ้าสติหลุดไปแล้วอย่างตกตะลึงวันนี้เขาได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย เขาได้รู้ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เรามันสามารถไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้จริงๆ !
หุบปาก! ในที่สุดฉินซูเจี๋ยก็โกรธถึงขีดสุดและอดไม่ได้ที่จะตะคอกกลับ ผู้หญิงโง่เง่าอย่างเธอที่กำลังจะฆ่าพี่ชายของฉันด้วยมือของเธอ ยังจะกล้ามาพูดถึงคำว่าครอบครัวและด่าฉันเสียๆหายๆแบบนี้อีกอย่างนั้นเหรอเธอรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?!
ฟ่านเหลียงกุ้ยมองจี้เฟิงอย่างดูถูกและพูดเยาะเย้ยว่า โอ้! เขาเป็นใครเหรอ ฉันอยากรู้จริงๆว่าเขาเป็นใคร? พูดมาสิฉันรอฟังอยู่ อ้อ! หวังว่าเขาคงจะไม่ใช่เด็กที่อยู่ตามบาร์โฮสต์ที่เธอไปเจอแล้วเอามาเลี้ยงไว้หรอกใช่มั้ย?
ครืนนน!! !
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนลงทันทีดวงตาของเขาส่องประกายเย็นยะเยือก
สีหน้าของฉินซูเจี๋ยก็เปลี่ยนไปทันทีเช่นกันเธอพูดอย่างโกรธเคืองว่า ฟ่านเหลียงกุ้ย! ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูดจาเหลวไหล ปากแบบนี้เดี๋ยวก็ซวยไม่รู้ตัวหรอก!
ฮึ่ม!
ฟ่านเหลียงกุ้ยยังไม่หยุดเธอยังคงพูดอย่างเย้ยหยัน ฉันพูดถูกใช่มั้ย ซูเจี๋ย เธอไม่อยากช่วยพี่ใหญ่ของเธอก็ช่างมันเถอะ แต่นี่เธอยังจะมาทำร้ายซ้ำเติมเขาอีกอย่างนั้นเหรอ? ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงอย่างเธอมันสารเลวแค่ไหน แต่ฉันก็เพิ่งจะได้มาเห็นสันดานที่แท้จริงของเธอก็วันนี้นี่…
เพี๊ยะ!
ไม่ทันที่ฟ่านเหลียงกุ้ยจะได้พูดจบฉินซูเจี๋ยที่สุดจะทนก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าเธออย่างแรง หุบปากไปเลยนังผู้หญิงโง่! ด้วยตัวตนของจี้เฟิงขอแค่เพียงเขาเอ่ยปาก สามีของเธอคงตายเป็นร้อยครั้งแล้ว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยความผิดของเธอได้!
แกแกกล้าดียังไงมาตบฉัน! ฟ่านเหลียงกุ้ยเอามือปิดหน้าและยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นและถามอย่างโง่งมว่า ฉินซูเจี๋ย แกกล้าตบฉันเหรอ?
ฉันตบเธอก็เพื่อช่วยชีวิตเธอ! ใบหน้าที่งดงามของฉินซูเจี๋ยมืดครึ้ม เธอเหลือบมองฟ่านเหลียงกุ้ยด้วยหางตาอย่างดูแคลนและพูดด้วยรอยยิ้มเยาะว่า ในเมื่อเธออยากรู้ว่าจี้เฟิงเป็นใคร งั้นฉันจะบอกให้ เพื่อสมองโล่งๆของเธอจะมีอะไรเติมเต็มลงไปบ้าง จี้เฟิงเป็นคนที่เคยขายหยกให้ฉันชิ้นหนึ่ง แต่หยกชิ้นนั้นเป็นชิ้นที่ทำให้บริษัทของฉันสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเป็นเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 ปี ดังนั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาที่ต้องพึ่งพาฉัน แต่ฉันต่างหากล่ะที่ต้องพึ่งพาเขา!
ฉินซูเจี๋ยมองฟ่านเหลียงกุ้ยที่ยืนอึ้งอยู่เธอยิ้มเยาะอีกครั้งและพูดว่า อีกอย่าง เรื่องฐานะของเขาเธอก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั้ย เอาล่ะ ฟังให้ดีเขาชื่อจี้เฟิง เป็นหลานชายของจี้เจิ้นกั๋วผู้ซึ่งเป็นเลขาธิการสภาเมืองเจียงโจวและเป็นลูกพี่ลูกน้องของจี้ช่าวเหลยคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเจียงโจว! มีอะไรอีกมั้ยที่เธออยากรู้?!
เปรี้ยง—!!
ฟ่านเหลียงกุ้ยยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่าเธอได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น ในเวลานี้มีเพียงประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวของเธอ ‘นี่มัน… ไม่จริงใช่มั้ย! มันไม่จริง! ไม่จริง…’
การขายหยกให้กับบริษัทเครื่องประดับของฉินซูเจี๋ยนั้นไม่มีอะไรมากขอแค่ใครก็ตามที่มีวัตถุดิบอยู่ในมือก็สามารถขายให้เธอได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ฟ่านเหลียงกุ้ยตกใจมากที่สุดก็คือตัวตนของจี้เฟิงที่ฉินซูเจี๋ยพูดถึง!
หลานชายของเลขาธิการคณะกรรมเมืองเทศบาลนครเจียงโจวลูกพี่ลูกน้องของจี้ช่าวเหลยคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเจียงโจว… ด้วยตัวตนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากคิดที่จะฆ่าพวกเธอ มันง่ายเสียยิ่งกว่าการฆ่ามดปลวกตัวหนึ่ง!
ฟ่านเหลียงกุ้ยตกตะลึงจนแทบช็อกมันเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายไปไกลมาก ถ้าจี้เฟิงมีตัวตนอย่างที่ฉินซูเจี๋ยพูดจริงๆ ถ้าอย่างงั้น… คำพูดที่เธอพูดกับเขาเมื่อกี้นี้ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายไม่ใช่เหรอ
ในตอนนั้นเองเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยของฉินซูเจี๋ยก็ดังก้องอยู่ในหัวของฟ่านเหลียงกุ้ยอีกครั้ง ‘คนที่ฆ่าสามีของเธอจริงๆก็คือตัวเธอเอง!’
ตุ้บ!
อาการตกใจที่มากเกินไปทำให้ฟ่านเหลียงกุ้ยไม่สามารถยืนได้อีกต่อไปราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอถูกกระชากออกไปภายในพริบตา เธอทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและตกตะลึง แม้ว่าใบหน้าของเธอจะถูกโบกทับไว้ด้วยรองพื้นและเครื่องสำอางหนาๆ แต่ก็ไม่อาจปกปิดการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความตกใจบนใบหน้าของเธอได้
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวเล็กน้อยเธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาขอโทษและรู้สึกผิด จี้เฟิง ฉันว่าหวังนายจะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะ… เฮ้อ ช่างมันเถอะ ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้ แต่ถึงยังไงฉินหยูเจี๋ยก็เป็นพี่ชายแท้ๆของฉัน ฉันไม่อาจทนอยู่เฉยๆและปล่อยให้เขา…
ก่อนที่เธอจะพูดจบจี้เฟิงก็ขัดจังหวะ คุณอยากให้ผมจัดการเรื่องนี้ยังไง
ฉินซูเจี๋ยรู้สึกหายใจไม่ออกและตัวแข็งทื่อพอถูกถามเข้าแบบนี้จริงๆเธอก็พูดไม่ออก จะบอกให้จี้เฟิงจัดการเรื่องนี้ยังไงน่ะเหรอ ขอให้เขาปล่อยฉินหยูเจี๋ยไป.. ใครมันจะไปพูดแบบนั้นออก อย่าว่าแต่จี้เฟิงจะตอบตกลงหรือเปล่าเลย ต่อให้เป็นตัวเธอเอง เธอก็ไม่ยอม แต่ถ้าเรื่องที่ฉินหยูเจี๋ยพี่ชายของเธอเคยทำถูกขุดคุ้ยและเปิดเผยออกมาทั้งหมด เกรงว่าชีวิตที่เหลือของเขาก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะไปชดใช้ในคุก…
ทันใดนั้นฉินซูเจี๋ยก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในตอนนั้นเองฟ่านเหลียงกุ้ยที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาเธอลุกขึ้นยืนและคุกเข่าลง เธอขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสารว่า ซูเจี๋ย ช่วยฉันขอร้องคุณจี้ด้วยเถอะนะ ฉันขอร้องล่ะ ช่วยฉันกับพี่ชายของเธอด้วย!
ฉินซูเจี๋ยมองเธอด้วยสายตารังเกียจเธอรู้สึกดูแคลนอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้นี่เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่ากิ้งก่า ตอนที่ยังไม่รู้อะไร ก็เรียกจี้เฟิงแบบให้เกียรติตามมารยาท แต่พอเข้าใจผิดคิดว่าจี้เฟิงต้องพึ่งพาอาศัยฉัน ก็เรียกเขาว่าจี้เฟิงห้วนๆ และหลังจากนั้นก็เริ่มทำตัวเย่อหยิ่งเรียกเหยียดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ‘เจ้าหนุ่ม’ ‘เด็กบาร์โฮสต์’ ….
แต่ตอนนี้กลับมาเรียกเขาว่าคุณจี้การเปลี่ยนแปลงของการเรียกชื่อนี้ทำให้ฉินซูเจี๋ยมองเห็นสันดานแห่งความหน้าไม่อายของผู้หญิงคนนี้มากยิ่งขึ้น
ฉินซูเจี๋ยขมวดคิ้วและพูดว่า ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้หน้าหนาพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น ถ้าอยากจะขอร้องขอความเมตตาก็ไปขอร้องเองเถอะ!
ฟ่านเหลียงกุ้ยตกใจมากเธอวิงวอนอย่างขมขื่น ซูเจี๋ย ฉันรู้ว่าฉันได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ฉันมันไม่ใช่คน ฉันไม่ควรพูดถึงเธอแบบนั้น เธอกำลังทำเพื่อครอบครัวของเราอยู่แท้ๆ แต่ฉันกลับเข้าใจเธอผิด ซ้ำยังคิดที่จะแบ่งทรัพย์สินกับเธออีกครั้งหลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จ…
ทันทีที่เธอพูดมาถึงตรงนี้ฟ่านเหลียงกุ้ยก็แข็งค้างไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างและมีสีหน้าโง่งม มีเสียงวิ้งๆดังก้องอยู่ในหู จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!
เพราะความตื่นตระหนกของเธอทำให้เธอเผลอพูดความคิดที่อยู่ในใจของเธอออกมาเมื่อใช้ให้ฉินซูเจี๋ยจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เธอจะขอแบ่งทรัพย์สินและหุ้นภายในบริษัทของฉินซูเจี๋ยในฐานะที่ฉินซูเจี๋ยใช้เงินจากตระกูลในการเปิดบริษัท… แต่นี่เป็นเพียงความคิดที่อยู่ภายในใจของเธอเท่านั้น เธอยังไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองอย่างจริงจัง…
ดวงตาของฉินซูเจี๋ยก็เบิกกว้างขึ้นเช่นกันเธอหายใจเร็วขึ้น หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าเธอโกรธมากขนาดไหน
คุณคุณพูดว่าอะไรนะ! ฉินซูเจี๋ยถามย้ำอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เธอจะขอแบ่งทรัพย์สินกับฉันหลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จงั้นเหรอ? แบ่งบ้าแบ่งบออะไร?! เธอจำไม่ได้รึไงว่าพวกเราแบ่งแยกทรัพย์สินของตระกูลกันเรียบร้อยไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว… แล้วมาตอนนี้พวกเธอยังจะมาขอแบ่งบริษัทของฉันอีกอย่างนั้นเหรอ?
ใบหน้าของฟ่านเหลียงกุ้ยเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเธอรู้สึกอับอายเล็กน้อย เมื่อความคิดเช่นนี้ถูกพูดออกมา มันเป็นอะไรที่ไร้ยางอายเกินไป…
นี่เป็นความคิดของเธอหรือของพี่ใหญ่ ฉินซูเจี๋ยพยายามสงบสติอารมณ์และถามออกไปอย่างเฉยเมย แต่แววตาของเธอกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ในใจลึกๆของเธอก็ไม่อยากจะได้ยินคำตอบที่เธอไม่อยากฟัง
มันเป็นความคิดของฉันเอง!
ฟ่านเหลียงกุ้ยพูดตะกุกตะกักไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าไปสบตาฉินซูเจี๋ย แต่ก่อนหน้านั้น พี่ชายของเธอเคยบอกกับฉันว่าเขาจะหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับเธอ เพราะเงินที่เธอได้ไปเปิดบริษัทก็ถือเป็นเงินที่แบ่งออกไปในทีแรก แล้วที่บริษัทของเธอเติบโตมาได้ขนาดนี้ก็เป็นเพราะเส้นสายที่พ่อทิ้งไว้ให้ นั่นก็หมายความว่าเธอยังใช้ทรัพยากรของตระกูล…
ก่อนที่ฟ่านเหลียงกุ้ยจะได้พูดจบฉินซูเจี๋ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะโกนด้วยความโกรธว่า หน้าด้าน! หุบปาก! ฉินซูเจี๋ยหายใจถี่รัว เธอพยายามระงับความขมขื่นในใจและความรู้สึกที่กำลังกระตุ้นให้เธอร้องไห้ เธอพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้น้ำตาของเธอไหลออกมา
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยายามคิดหาคำพูดที่จะพูดปลอบใจเธอแต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เขาทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นและนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ บางครั้งเขาก็มองไปที่ฟ่านเหลียงกุ้ยที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น แววตาของเขาส่องประกายเย็นชา
นี่คือคู่ผัวตัวเมียเดรัจฉานที่มีสันดานต่ำกว่าสัตว์!
จี้เฟิงก่นด่าอย่างหยาบคายอยู่ในใจและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าเขาจะไม่ปล่อยฉินหยูเจี๋ยไปอย่างเด็ดขาดเพียงเพราะแค่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในเวลานี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว!
อารมณ์ของฉินซูเจี๋ยค่อยๆสงบลงแต่จี้เฟิงกลับเห็นความสิ้นหวังอยู่ในแววตาของเธอได้อย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว มันแวววาวคล้ายกับหยดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้มันกลับหม่นหมองลงราวกับดวงคู่งามคู่นั้นมองเห็นเพียงแค่ท้องฟ้าสีเทาที่มืดครึ้มและไม่มีเรี่ยวแรงที่จะมีชีวิตรอดอีกต่อไป
จี้เฟิงรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาถูกบีบเค้นเขาจึงรีบถามว่า พี่ฉิน พี่ไม่เป็นไรใช่มั้ย สัตว์เดรัจฉานสองตัวนี้ไม่คู่ควรกับความเศร้าความเสียใจของพี่ฉิน และยิ่งไม่คุ้มค่าที่จะไปทำอะไรโง่ๆเพื่อพวกมัน!
ฉินซูเจี๋ยส่ายหัวอย่างช้าๆเธอกล่าวเบาๆว่า จี้เฟิง นายไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันจะไม่เสียใจอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่เศร้าเสียใจเพราะพวกเขาอีกเป็นอันขาด!
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า เอาล่ะ งั้นเราไปกันเถอะ ผมจะไปส่งพี่ฉินเอง!
ฉินซูเจี๋ยดูราวกับคนที่สูญเสียจิตวิญญาณไปดังนั้นจี้เฟิงจึงเข้าไปพยุงเธอไว้และเดินออกจากร้านกาแฟไปทีละก้าวๆ
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกจากห้องส่วนตัวไปฟ่านเหลียงกุ้ยก็รู้สึกเหมือนถูกดึงวิญญาณออกไปด้วยเช่นกัน เธอทรุดตัวลงกับพื้น เธอรู้แล้วว่าสามีของเธอจบสิ้นแล้วจริงๆ!
��