จี้เฟิงส่ายหัวและหยุดคิดถึงเรื่องพวกนี้เพราะเขารู้ดีว่าความคิดที่จะให้สมองอัจฉริยะเข้าไปในหุ่นยนต์ประดิษฐ์อาจจะสำเร็จได้ในอนาคต แต่ก็ต่อเมื่อเขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ทุกคนบนโลกนี้ไม่กล้ายุ่งกับเขา แต่ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน ยังไม่ใช่!
ตือดึ๊ด!! ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงของข้อความ
เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดูและพบว่าเป็นข้อความจากจางเล่ย
<เจ้าบ้า ฉันโทรหาเมียของฉินหยูเจี๋ยแล้ว บอกว่านายจะไป และบอกเธอว่าไม่ต้องรอฉัน มีอะไรก็ให้คุยกับนายได้เลย!>
จี้เฟิงกลอกตาทันทีหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ส่งข้อความกลับไปหาจางเล่ย
<เฮ้!เจ้าเด็กน้อย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายกำลังหนีความรับผิดชอบ!> ในไม่ช้าจางเล่ยก็ส่งข้อความกลับมาอีกครั้ง
<ไร้สาระ!เพื่อนยาก นี่เป็นโอกาสอันดีที่นายจะได้แสดงความมีน้ำใจ ชดใช้หนี้บุญคุณให้สาว เอาล่ะ! ไปจีบสาวได้แล้ว อย่ามารบกวนฉันอีก!>
เมื่อเห็นข้อความของจางเล่ยจี้เฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เจ้าหมอนี่ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เขามักรู้เสมอว่าอะไรควรทำ และแสร้งทำเป็นไม่รู้ในเรื่องที่ไม่สมควรจะรู้ บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยแบบนี้ของเขานี่แหละ ที่ทำให้จี้เฟิงที่เดิมทีรู้สึกแปลกแยก รู้สึกโดดเดี่ยวและด้อยกว่าคนอื่น ค่อยๆมั่นใจในตัวเองและร่าเริงขึ้น
บุญคุณงั้นเหรอ… จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย หนี้บุญคุณและการแสดงน้ำใจมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้
จี้เฟิงแอบเตือนตัวเองในใจว่าอย่าคิดฟุ้งซ่านอีกเขามีเซียวหยูซวนและถงเล่ยอยู่แล้ว อย่าทำให้เรื่องมันต้องยุ่งเหยิงมากไปกว่านี้!
แต่ยิ่งเขาเตือนตัวเองมากเท่าไหร่มันกลับทำให้เขาคอยคิดแต่จะหาวิธีการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับฉินซูเจี๋ยจากคนรู้จักเป็นคนสนิทให้มากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่เขากลับมาจากค่ายทหารเขาได้เจอฉินซูเจี๋ยบนรถบัสและถูกเธอเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนโรคจิตวิตถาร และหลังจากนั้นก็ได้พบกันที่นิทรรศการพนันหินหยก และช่วยเหลือเธอการคุกคามของสามีเก่าของเธอ…
จี้เฟิงผงะเมื่อมาคิดดูดีๆแล้วทำไมดูเหมือนว่าเธอจะติดหนี้บุญคุณฉันมากกว่าล่ะ
เธอซื้อหยกของฉันก็จริงแต่มันก็ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบให้เธอได้ในระยะยาว ซึ่งจริงๆแล้วฉันจะขายให้ใคร ก็ได้เงินอยู่ดี เผลอๆจะมากกว่าด้วยซ้ำ ไหนจะการช่วยเหลือเรื่องอื่นๆอีก ในความเป็นจริงถ้ามานั่งคำนวณอย่างละเอียดแล้ว เธอเป็นหนี้บุญคุณของฉันจริงๆด้วย… จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถามตัวเองอยู่ในใจ ถ้าคืนนั้นฉันไม่ได้ไปเจอพวกนั้นที่ภัตตาคารเจียงหนาน ถ้าเป็นแบบนั้น… คนพวกนั้นมันจะยอมปล่อยเล่ยเล่ยไปรึเปล่า!
ความอ่อนโยนในแววตาของจี้เฟิงค่อยๆเปลี่ยนไปกลายเป็นความเด็ดเดี่ยวเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา และค้นหานามบัตรในกระเป๋าสตางค์จนพบหมายเลขโทรศัพท์ที่อยู่บนนามบัตรของฉินซูเจี๋ย
ติ๊ด!ติ๊ด! ติ๊ด! จี้เฟิงกดปุ่มไปสองสามปุ่ม เพื่อโทรหาฉินซูเจี๋ยและตั้งใจจะบอกเธอไปตรงๆเลยว่าเขาจะไม่ยอมความ หรืออย่างน้อยเขาก็จะไม่ยอมปล่อยฉินหยูเจี๋ยไปง่ายๆ!
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหลังจากที่เขากดไปสองสามปุ่มเขาก็เกิดความลังเลขึ้นมา
หรือการโทรไปพูดตรงๆโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรเลยมันจะกลายเป็นว่าเขาคิดไปเอง จนทำให้เสียเรื่องได้ แบบนี้ไม่ดีแน่ เขาใจร้อนเกินไป จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าเขา รอเจอหน้าแล้วค่อยว่ากันอีกที!
จี้เฟิงบิดขี้เกียจเล็กน้อยและลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะเดินขึ้นไปข้างบน
เมื่อมาถึงห้องนอนและเห็นว่าผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จี้เฟิงลองนึกดูว่าเซียวหยูซวนจะมีท่าทีอย่างไรตอนที่กำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เธอคงเต็มไปด้วยความเขินอายที่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักและต้องการเธอสินะ!
จี้เฟิงทิ้งตัวลงบนเตียงและนอนด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายจากนั้นก็ตั้งสมาธิและเข้าสู่จิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างรวดเร็ว
มาสเตอร์!ยินดีต้อนรับการกลับมานะครับ! สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงตกใจเล็กน้อยแต่ก็นึกขึ้นได้ในทันทีว่านี่เป็นโปรแกรมพิเศษของสมองไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสมองอัจฉริยะนี่เริ่มมีมนุษยธรรม เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า คุณสมอง มันไม่ถูกต้อง ฉันมาที่นี่มันไม่ใช่การกลับมา แต่… เฮ้อ ช่างมันเถอะ ลืมมันซะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้น่าจะดีกว่า!
จี้เฟิงนึกขึ้นได้ว่าสมองหมายเลข1 ถูกควบคุมโดยโปรแกรมอัจฉริยะจากต่างดาว จี้เฟิงเลยรู้สึกว่าอธิบายไปก็คงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
แต่ตั้งแต่ที่จี้เฟิงได้พบกับสมองอัจฉริยะที่เขาเรียกว่าสมองหมายเลข1 นี้ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปมาก ราวกับว่าเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้
ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่จี้เฟิงต้องการทำมากที่สุดก็คือการแบ่งปันความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขากับผู้อื่นบ้าง แล้วถ้าสมองหมายเลข 1 ที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขามีบุคลิกและสติปัญญาที่เป็นของตัวเองจริงๆ มันคงเป็นอะไรที่ดีมากสำหรับจี้เฟิง
แต่น่าเสียดายที่ระบบการทำงานของสมองไม่ว่าการทักทายจะดูเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ การพูดคุยดูเป็นธรรมชาติมากแค่ไหน ก็ล้วนถูกสั่งการโดยโปรแกรมที่ได้รวบรวมข้อมูลและเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเขาทั้งสิ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด…
คุณสมองถ้าคุณมีตัวตนและมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง พวกเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแน่… เมื่อเห็นสมองหมายเลข 1 ที่ตอนนี้มีสภาพเป็นวัตถุกลมๆ ลอยอยู่กลางอากาศจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม แต่ก็ช่างมันเถอะ คุณคงไม่เข้าใจที่ผมพูด
สมองสามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่มาสเตอร์พูดได้ครับ! สมองหมายเลข 1 พลันพูดขึ้นมา
จี้เฟิงชะงักไป เข้าใจด้วยเหรอ
ครับมาสเตอร์ สมองหมายเลข 1 กล่าวว่า จากข้อมูลในฐานข้อมูล คำพูดของมาสเตอร์เมื่อครู่นี้สามารถเข้าใจได้ มาสเตอร์หวังว่าสมองจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง!
จี้เฟิงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเกิดเป็นความหวังเล็กๆที่ก่อตัวอยู่ในใจ เขาจึงรีบถามทันทีว่า แล้วคุณมีวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตมั้ย
มาสเตอร์ตามกฎของกาแล็กซีแกมมาปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิต หากฝ่าฝืนจะต้องถูกทำลาย… คำอธิบายของสมองหมายเลข 1 ทำให้จี้เฟิงรู้สึกผิดหวัง
คุณจะบอกว่าไม่มีทางทำได้เลยเหรอ จี้เฟิงยังคงอดไม่ได้ที่จะถาม
ครับมาสเตอร์ด้วยกฎและการป้องกันของกาแล็กซีแกมมาจะมีโปรแกรมรองรับไว้คอยตอบโต้ถูกฝังอยู่ในฐานข้อมูลของปัญญาประดิษฐ์ เมื่อปัญญาประดิษฐ์มีความคิดและมีบุคลิกเป็นของตัวเอง โปรแกรมตอบโต้จะเริ่มทำงาน และปัญญาประดิษฐ์จะถูกทำลายทันที! สมองหมายเลข 1 อธิบาย
จี้เฟิงถึงกับอึ้งไปสมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะและคิดอย่างง่ายๆว่าที่เป็นแบบนี้คงไม่ใช่เพราะมนุษย์ของกาแล็กซีแกมมาต้องการจะป้องกันการก่อจลาจลของหุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์หรอกใช่มั้ย ภาพในหัวของเขาตอนนี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพยนตร์ที่เขาเคยเห็นมาก่อนหุ่นยนต์ที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นก่อกบฏและทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์!
ให้ตายเหอะ!มนุษย์ในกาแล็กซีแกมมานี่แม่งบ้าชะมัด! จี้เฟิงอดสบถออกมาไม่ได้ ปัญญาประดิษฐ์อื่นๆมีโปรแกรมตอบโต้ถูกฝังอยู่ก็พอเข้าใจได้ แต่สมองหมายเลข 1 ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วซักหน่อย ทำไมมันถึงยังมีโปรแกรมตอบโต้อยู่อีกล่ะ
ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แน่นอนว่าเขารู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่เขาพูดมามันไร้เหตุผลมากแค่ไหนแต่เขาก็แค่ต้องการให้สมองหมายเลข 1 มีความคิดและบุคลิกเป็นของตัวเองเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้สมองหมายเลข 1 ถึงจะสามารถเปลี่ยนจากเครื่องจักรที่ไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึกมาเป็นมนุษย์หรือคล้ายมนุษย์ก็ยังดี แบบนี้จี้เฟิงถึงจะสามารถปฏิบัติกับสมองหมายเลข 1 ได้ในฐานะเพื่อนได้อย่างแท้จริง!
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า คุณสมองนายช่วยบอกข้อมูลเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี ของมนุษย์ในกาแล็กซีแกมมามาให้หน่อย อืม..พวกลักษณะเฉพาะในแต่ละท้องถิ่นด้วยก็ดี!
ได้ครับมาสเตอร์….
……………
ตามคำบอกเล่าของสมองหมายเลข1 จี้เฟิงฟังอย่างเพลิดเพลิน เขาพบว่าในดวงดาวแห่งยุคกาแล็กซีแกมมายังมีบางอย่างที่คล้ายกับโลกมาก นอกจากนั้นยังมีประเพณีมากมายที่จี้เฟิงไม่เคยได้ยินมาก่อนและแทบจะนึกภาพไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
มาสเตอร์มีสัญญาณจากโลกภายนอก… สมองหมายเลข 1 กล่าว
สัญญาณ จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็คิดได้ว่า ‘สัญญาณ’ ที่สมองหมายเลข 1 กล่าว น่าจะเป็นสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนว่าจะมีคนโทรมา
เขารีบออกจากจิตใต้สำนึกและพบว่าโทรศัพท์ของเขาดังจริงๆที่หน้าจอปรากฏเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ที่จี้เฟิงไม่รู้จัก
จี้เฟิงรับสายทันที ครับ ใครครับ
สวัสดีค่ะดิฉันคือภรรยาของฉินหยูเจี๋ย ฉันมารอที่ที่เรานัดกันไว้แล้ว คุณจะมาถึงเมื่อไหร่คะ เสียงของผู้หญิงที่จี้เฟิงไม่รู้จักดังขึ้นจากปลายสาย
จี้เฟิงตกใจเขารีบยกมือขึ้นและก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือของเขา มันเกือบจะเที่ยงแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟ่านเหลียงกุ้ยภรรยาของฉินหยูเจี๋ยถึงโทรมาตาม เธอคงคิดว่าเขาจะผิดนัด
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม ผมจะไปถึงที่นั่นเร็วๆนี้!
พูดจบเขาก็วางสายทันที
สถานที่นัดพบอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนักหากขับรถเร็วหน่อย อย่างมากก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
จี้เฟิงเก็บข้าวของอย่างลวกๆและรีบออกไปทันที
……………
เขาพูดว่ายังไงบ้าง
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งฉินซูเจี๋ยมองดูฟ่านเหลียงกุ้ยที่มีสีหน้าตกตะลึงและถามเสียงเรียบ เธอไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอทนดูพี่ชายคนโตของเธอต้องติดคุกไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องแปลกที่เธอจะมาอยู่ที่นี่เวลานี้!
เขา…เขาบอกว่าอีกไม่นานจะมาถึง แล้วก็ตัดสายใส่ฉัน! ฟ่านเหลียงกุ้ยพูดอย่างกระอักกระอ่วน เวลาขอร้องใครคนเรามักจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเสมอ
ฉินซูเจี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า ถ้าเขาพูดมาทำนองนี้ ฉันเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนใจร้อน ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้คงจะยากเย็นกว่าที่คิดซะแล้วล่ะ! ฟ่านเหลียงกุ้ยที่ถูกจี้เฟิงตัดสายไปแบบดื้อๆรู้สึกไม่สบายใจ แต่ความหยิ่งยโสที่อยู่ในสันดานก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง เธออดพูดไม่ได้ว่า ฮึ่ม! ดูจากพฤติกรรมที่ตัดสายคู่สนทนาไปดื้อๆอย่างไร้มารยาทแบบนี้ ก็พอจะรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่สุภาพแน่นอน และคนแบบนี้นี่แหละ จัดการง่ายมาก แค่ใช้เงินนิดหน่อย หรือผลประโยชน์บางอย่างเท่านั้น ซูเจี๋ยรออีกหน่ย…
ยิ่งฟังฉินซูเจี๋ยก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจและพูดอย่างเฉยเมยว่า ในเมื่อมันง่ายขนาดนั้น ทำไมคุณถึงต้องเรียกฉันให้มาด้วยกันด้วยล่ะ
ฟ่านเหลียงกุ้ยอึกอักขึ้นมาทันทีเธอถึงกับพูดไม่ออก
พี่สะใภ้ถ้าคุณอยากให้ฉันเป็นคนเจรจาเรื่องนี้ถ้าอีกฝ่ายมาถึงคุณอย่าได้พูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นเรื่องคงเละเทะไม่เป็นท่า แล้วถึงเวลานั้นคุณจะมาโทษฉันไม่ได้นะ และที่สำคัญสามีคุณก็จะได้ไปนอนกินข้าวในคุกจริงๆแล้วล่ะทีนี้! ฉินซูเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ใบหน้าของฟ่านเหลียงกุ้ยแดงก่ำเธอไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากพยักหน้าอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง ตอนนี้เธอทำได้เพียงแต่พึ่งพาฉินซูเจี๋ยเท่านั้น แม้ว่าเธอจะโกรธ เธอก็ไม่กล้าล่วงเกินฉินซูเจี๋ย
ซูเจี๋ยงั้นฉันจะให้เธอกับอีกฝ่ายคุยกันเองฉันจะนั่งฟังเงียบๆ ฟ่านเหลียงกุ้ยกล่าว
ฉินซูเจี๋ยมองฟ่านเหลียงกุ้ยด้วยสายตารังเกียจจากนั้นก็ยิ้มเยาะและกล่าวว่า หึ! คุณนี่วางแผนมาดีนะ ให้ฉันเป็นคนเจรจาทั้งหมด และไม่ว่าจะจบลงด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ ฉันก็ต้องเป็นคนจ่ายเองใช่มั้ย ฟ่านเหลียงกุ้ย! เก็บความฉลาดน้อยๆของคุณไว้เถอะ อย่าเอามาใช้กับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะลุกออกไปเดี๋ยวนี้!
อึ่ก!
ฟ่านเหลียงกุ้ยกัดฟันใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอายและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี! แต่ภายในใจของเธอนั้นกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น และก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ ‘นังลูกหมาที่ถูกทิ้ง มีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนฉัน เงินที่แกได้ไป แล้วไปเปิดบริษัทจนใหญ่โต ไม่ใช่ว่าเป็นเงินที่พวกเราแบ่งให้หรือยังไง?!’
ฟ่านเหลียงกุ้ยตัดสินใจอย่างลับๆว่าหลังจากจัดการเรื่องสามีของเธอเสร็จ จะคุยเรื่องแบ่งเงินกันใหม่ ครอบครัวของเธอเกือบจะล้มละลายแล้ว แต่น้องสาวของสามีกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย มีเงินในบัญชีใช้ไปได้อีกหลายชั่วอายุคน แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!