บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 572

ตอนที่ 572

สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ตามถาวจวินหลันกลับจวนตวนชินอ๋อง แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในวังหลวง ไม่ใช่เพราะนางยินยอม แต่เพราะนางไม่มีทางเลือก เพื่อแผนการยาวนานก็ต้องกลับจวนไปขอร้องหลี่เย่ถึงจะเป็นวิธีปลอดภัยที่สุด

เจียงอวี้เหลียนคิดว่านางมีบุญคุณต่อหลี่เย่ ดังนั้นหากนางเปิดปากพูด คิดว่าหลี่เย่ก็ต้องไว้หน้านางอยู่บ้าง

แต่เจียงอวี้เหลียนคิดไม่ถึงว่าพอนางกลับไปจะบังเอิญพบเจียงฟู่ที่หน้าประตู แล้วนางก็ได้เห็นละครอีกฉาก

ในตอนนั้นเจียงฟู่เพิ่งออกมาจากข้างใน ส่วนพวกถาวจวินหลันกำลังเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมต้องเดินสวนกัน แล้วทั้งสองฝ่ายก็เห็นหน้ากันอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นเจียงอวี้เหลียนก็ถลึงตาโต ทั้งร่างนิ่งอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าตกใจอยู่ไม่น้อย

เจียงฟู่ก็ชะงักไปเช่นกัน ก่อนยิ้มน้อยๆ

ถาวจวินหลันมองไปทางเจียงฟู่สลับกับมองเจียงอวี้เหลียน แล้วนางก็รู้ว่าควรจะรับมือเจียงอวี้เหลียนอย่างไร จึงยิ้มและพูดว่า “ชายารองเจียงตกใจหรือไม่? นี่เป็นเรื่องดี ข้าตั้งใจไม่พูด อยากให้เจ้ากลับมาเห็นเองจะได้ดีใจ ตอนนี้พวกเจ้าสองพี่น้องไปพบหน้ากัน คิดว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก ข้าว่าจัดโต๊ะอาหารรำลึกถึงความหลังดีหรือไม่?”

หลี่เย่เคยพูดไว้ความสัมพันธ์ของเจียงอวี้เหลียนกับเจียงฟู่นั้นแปลกประหลาด นางพูดเช่นนี้จึงเป็นการจงใจ อย่างแรกเพราะอยากดูว่าแปลกประหลาดที่ตรงไหน อย่างที่สองก็เพราะต้องการทำให้เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจ

นางยังไม่ลืมว่าตอนแรกเจียงอวี้เหลียนทำให้นางรังเกียจอย่างไร!

ถาวจวินหลันคิดอย่างนึกสนุก สมแล้วที่เด็กเล็กและสตรีนั้นเลี้ยงยาก

สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนดูฝืดเคือง

แต่เจียงฟู่กลับมีรอยยิ้มสดใสกว่าเดิม แล้วเจียงฟู่ยังหันไปทำความเคารพถาวจวินหลัน “ขอบคุณชายารองถาวขอรับ ข้าตามหาพี่สาวมาหลายปีนัก”

พอได้ยินประโยคนี้ เจียงอวี้เหลียนก็เริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก

ถาวจวินหลันกลับไม่พลาดรายละเอียดทุกอย่าง ในใจก็ยิ่งมั่นใจว่าระหว่างสองคนนี้จะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน หรือเป็นเพราะชาติกำเนิดอย่างนั้นหรือ? คนหนึ่งเป็นลูกชายนอกสมรส คนหนึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ของภรรยาเอก มองอย่างไรก็ไม่อาจเข้ากันได้

เพราะเป็นสองคนที่เหลือของตระกูลเจียง คิดว่าต่อให้ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไรก็คงไม่ถึงขั้นนี้ ดังนั้นระหว่างทั้งสองคนคงต้องเกิดอะไรขึ้นกระมัง?

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าความคาดเดาของตนเองถูกต้องกว่าแปดเก้าส่วน นางส่งยิ้มให้เจียงฟู่ “เจ้ามีบุญคุณกับข้าและท่านอ๋อง หากช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าย่อมต้องดีใจเป็นแน่”

เจียงฟู่เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ท่าทียังดูยินดีเพราะได้พบพี่สาวที่พลัดพรากกันมานาน แต่เจียงอวี้เหลียนกลับต่างกัน

สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนไม่น่ามองเป็นที่ยิ่ง ก่อนรีบพูดว่า “เรือนในให้ผู้ชายเข้ามามั่วซั่วได้อย่างไร? ข้ายังต้องรีบไปพบท่านอ๋อง ขอตัวก่อน”

พูดจบเจียงอวี้เหลียนก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว บางทีใช้คำว่าวิ่งอาจจะเกินไป ต้องบอกว่าเดินสามก้าววิ่งสองเก้าถึงจะถูก

ถ้าไม่ใช่เพราะขลาดกลัว ทำไมเจียงอวี้เหลียนจะต้องรีบขนาดนี้?

นางมองตามแผ่นหลังของเจียงอวี้เหลียนอย่างสงสัย ก่อนส่งยิ้มให้เจียงฟู่ “พวกเจ้าสองพี่น้องได้พบหน้ากันอีกครั้ง เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”

“ย่อมต้องตอบแทนความรักที่ท่านพี่มีให้ข้าเป็นแน่ขอรับ” เจียงฟู่ยิ้มอย่างไร้พิษภัย แต่ฟันขาวสะอาดกลับชวนให้รู้สึกถึงความเย็นชา คล้ายฟันของสัตว์ป่าก็มิปาน

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ “แม้จะบอกว่าเรือนในไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้า แต่หากเป็นญาติกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหญิงชาย เจ้าจะเข้าไปหาพี่สาวเจ้าเมื่อไรก็ได้ แต่อย่าเดินเรื่อยเปื่อยเป็นพอ”

นางไม่กังวลว่าเจียงฟู่จะก่อเรื่องในเรือนใน เจียงฟู่เข้ามาในเรือนในเมื่อไร นั่นจะต้องมีคนคอยตามอยู่ตลอดเป็นแน่ อีกอย่างเจียงฟู่ไปที่เรือนชิวอี๋ ย่อมไปที่อื่นไม่ได้อยู่แล้ว

นางเองก็มองออกว่าเจียงฟู่สนใจเจียงอวี้เหลียนผู้เป็น ‘พี่สาว’ คนนี้ผิดปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้เรื่องภายในจากหลี่เย่มาบ้าง นางเองก็ไม่มีทางคิดเป็นอื่น คงจะคิดว่าเจียงฟู่นั้นสนิทกับเจียงอวี้เหลียนเท่านั้น

จากนั้นเจียงฟู่ก็ขอตัวกลับไปจัดการธุระต่อ

ถาวจวินหลันก็กลับไปเรือนเฉินเซียง หลี่เย่เคยพูดไว้ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับเจียงอวี้เหลียน ถ้ามองจากบางมุมแล้ว นางคงทำตามที่รับปากหลี่เย่เอาไว้ไม่ได้

ถาวจวินหลันรู้สึกเริ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร ในเมื่อทำไปแล้ว ยังจะมาเสียใจทำไม? ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่ได้เห็นท่าทีไม่พอใจของเจียงอวี้เหลียน นางก็สบายใจแล้ว

มีคำพูดที่ว่าสุภาพบุรุษแก้แค้นอีกสิบปีให้หลังก็ยังไม่สาย แค้นของนางนี้ไม่ต้องรอถึงสิบปี เมื่อก่อนเจียงอวี้เหลียนเคยทำให้นางไม่พอใจ ตอนนี้ก็เป็นนางที่ทำให้เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจเสียแล้ว

เพราะเรื่องนี้นางต้องพูดกับหลี่เย่ก่อน อีกทั้งยังต้องยอมรับผิด ในใจของถาวจวินหลันนั้นเริ่มวางแผน ‘ขอความเห็นใจ’ จากหลี่เย่ ให้เขาอย่าได้คิดเอาความเรื่องนี้ และเรื่องหลังจากเจียงอวี้เหลียนกลับไปบันดาลโทสะในเรือนชิวอี๋

เรือนชิวอี๋เปลี่ยนเครื่องเบญจรงค์ใหม่อีกครั้ง ตอนที่ถาวจวินหลันได้รับรายงานก็สั่งเรียบๆ ว่า “เผาผลาญทรัพย์สมบัติของจวนเช่นนี้ต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองอยู่ข้างหน้าก็ไม่พอ ในเมื่อทำใจโยนลงได้ ก็ต้องทำใจซื้อเองได้ กฎภายในจวนนั้นไม่อาจละเมิด มิเช่นนั้นนางเป็นคนเริ่ม พรุ่งนี้ทุกคนก็เลียนแบบ แล้วจะมีกฎไว้เพื่ออะไร?”

นางไม่ได้พูดหาเรื่องเจียงอวี้เหลียน แต่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าใครดูแลจวน ล้วนไม่อาจรับการกระทำของเจียงอวี้เหลียนได้

จวนตวนชินอ๋องไม่ได้ขาดเงินทอง แต่ก็ไม่อาจละเลยกฎเกณฑ์ได้ อีกทั้งการไม่รักษาของเช่นนี้ก็ดูเอาแต่ใจเกินไปหน่อย

ตอนที่เจียงอวี้เหลียนได้รับคำตอบเช่นนี้ ย่อมต้องโกรธขึ้ง แต่ก็จนปัญญา ทำได้แค่รอพบหลี่เย่แล้วค่อยคุยเรื่องนี้ หรือจวนตวนชินอ๋องไม่มีปัญญาซื้อแม้แต่เครื่องเบญจรงค์เหล่านี้? จนต้องควักเงินตนเองจ่าย? นี่มันน่าหัวเราะเยาะมิใช่หรืออย่างไร?

เจียงอวี้เหลียนคิดแต่จะพบหลี่เย่ จู่ๆ ก็คิดได้ว่า พอพบหลี่เย่แล้ว หากหลี่เย่ถามเรื่องเจียงฟู่ขึ้นมานางควรจะพูดอย่างไร? นางไม่อาจให้หลี่เย่รู้เรื่องในตอนนั้นได้ มิเช่นนั้นหลี่เย่จะมองนางอย่างไร?

เจียงอวี้เหลียนแอบหวาดกลัวอยู่ในใจ หลี่เย่ไม่ชอบนางอยู่แล้ว หากถึงขั้นรังเกียจ นางจะเอาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาได้อย่างไร แล้วยังมีที่ยืนอยู่ในจวนตวนชินอ๋องอีกหรือ?

แล้วเจียงฟู่มาได้อย่างไร? ถาวจวินหลันอีก นางคงรู้อะไรแล้วเป็นแน่ ถึงได้จงใจพูดเช่นนี้!

ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเจียงอวี้เหลียนทีละอย่าง กัดกินเจียงอวี้เหลียนจนรู้สึกทรมาน

ขณะที่เจียงอวี้เหลียนกำลังทรมานอยู่นั้น ถาวจวินหลันก็กำลังล้างมือเตรียมเคี่ยวน้ำแกง

ด้วยเพราะองค์รัชทายาทเพิ่งสวรรคต ดังนั้นภายในจวนจึงต้องทานมังสวิรัติสามเดือน แม้จะบอกว่าแอบผิดกฎได้ แต่หลี่เย่บอกว่านั่นเป็นว่าที่กษัตริย์ของแคว้น และเป็นพี่ชายของเขา จึงไม่อาจขาดมารยาทได้ ดังนั้นเขายังต้องไว้อาลัยให้องค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน

ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ขัดเช่นกัน ในความเป็นจริงแล้วก็ควรทำเช่นนั้น แต่นางเพียงนึกสงสารสุขภาพของหลี่เย่เท่านั้นเอง

หลี่เย่เจอความยากลำบากมามาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเร่งกลับมาแบบลืมวันลืมคืนเพราะกลัวองค์รัชทายาทเป็นอะไรไป แม้แต่เรื่องอาหารการกินก็พยายามทำให้ง่าย นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลี่เย่ซูบผอมลงไปมากเช่นเดียวกัน

หลี่เย่มีร่างกายไม่ดีมาตั้งแต่แรก เป็นเพราะพิษที่โดนตั้งแต่เด็ก ความลำบากที่ต้องเผชิญมาตลอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ฮ่องเต้วางมือ หลี่เย่จึงต้องสะสางงานราชการแทน ทุ่มเทแรงกายแรงใจไม่ต้องพูด แล้วยังไม่อาจกินเนื้อเพื่อบำรุงชดเชยอีก จึงต้องคิดหาวิธีจากทางอื่นแทน

หลี่เย่ชอบขนมหวานและของว่าง นางจึงคิดจะทำเองบางส่วน แน่นอนว่านางเข้าครัวเองไม่ใช่เพราะเหตุนี้เพียงอย่างเดียว แต่เพราะ…นางยังต้องไถ่โทษหลี่เย่ด้วย เรื่องที่รับปากหลี่เย่ไปแล้วแต่ทำไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงออกบ้างมิใช่หรือ?

ในเมื่อกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้นมและไข่มากเสียหน่อย มีเพียงแค่สองอย่างนี้ก็บำรุงได้มากกว่าวัตถุดิบอื่น ดังนั้นนางจึงทำน้ำแกงนมวัว สิ่งนี้ทำง่าย แต่ก็เป็นการวัดฝีมือ น้ำแกงนมวัวที่ออกมาจะต้องขาวใสหอมหวาน ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องนุ่มลื่น ตักเข้าปากไปเพียงแค่ช้อนแรกก็ละลายในปาก

ข้างบนน้ำแกงนมวัวที่ทำเสร็จแล้ว ก็จะต้องโรยผลไม้แห้งและแผ่นน้ำผึ้งป่น ไม่เพียงแค่น่ามองแล้วยังเป็นเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

ของว่างเป็นแป้งอบดอกเหมย ใช้ดอกเหมยที่เพิ่งเก็บมาสดๆ ยัดไส้เอาไว้ และเอาทาไว้บนผิวแป้ง ผิวขนมอบที่เหลืองเล็กน้อยมีจุดเหมยสีแดงสด ดูแล้วน่าทานเป็นที่ยิ่ง

หลังจากทำเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้คนเอาไปใส่ไว้ในกล่องอาหารสองชั้น อาศัยตอนที่ยังร้อนส่งไปให้หลี่เย่

ตอนนี้หลี่เย่ย่อมไม่อาจกลับมากินข้าวได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ให้คนส่งไป อย่างไรกินตอนร้อนก็ดีกว่า

กลับเป็นซวนเอ๋อร์ หมิงจูและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ที่พลอยได้ลาภปากกินน้ำแกงนมวัวไปด้วย ส่วนซวนเอ๋อร์ยังมีแป้งอบดอกเหมยอีกสองชิ้น

เห็นได้ว่าน้ำแกงนมวัวได้รับความชื่นชอบจากเด็กๆ จิ้งหลิงก็มาขอให้สอนว่าต้องทำอย่างไร กั่วเจี่ยเอ๋อร์ในตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มหย่านม ควรกินของที่ย่อยง่ายและบำรุงให้มาก

จิ้งหลิงลอบถามถาวจวินหลัน “ทำไมครั้งนี้ไม่เห็นเซิ่นเอ๋อร์กลับมาด้วยเล่าเจ้าคะ? ต่อจากนี้ไปเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ถูกเลี้ยงข้างกายชายารองเจียงแล้วหรือเจ้าคะ?”

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ปล่อยเซิ่นเอ๋อร์ไว้กับนาง คงต้องเสียคนเป็นแน่”

คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง จิ้งหลิงก็อดพยักหน้าไม่ได้ พูดอีกว่า “แต่กูกูที่จะมาสอนกลับต้องหาให้ดี”

จิ้งหลิงพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เหลือบตามองนาง “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะแนะนำใคร?” จิ้งหลิงแสดงออกชัดจนเกินไป นางอยากจะมองข้ามก็ทำไม่ได้

จิ้งหลิงกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้ว่าท่านยังจำนางกำนัลในวังเต๋ออันที่ชื่อซิ่วหลิงได้อยู่หรือไม่”

ถาวจวินหลันจำซิ่วหลิงได้ ตอนนั้นซิ่วหลิงถูกพาออกไปไม่ใช่หรือ? หรือเป็นเพราะว่านาง แน่นอนว่านั่นก็ไม่ใช่ความผิดของนาง

“ตอนนั้นข้าเลอะเลือน จึงทำให้ซิ่วหลิงเหนื่อยไปด้วย ตอนนี้นางมีชีวิตลำบาก หลังออกจากวังก็ไปแต่งงาน คลอดลูกสาวมาสองคน แล้วสามีกลับมีหนีตามผู้หญิงอื่นไปด้วยกัน ลูกสาวสองคนที่ทิ้งเอาไว้ก็ตายเพราะโรคระบาด ตอนนี้นางถูกบ้านสามีขับไล่ บ้านเดิมก็ไม่ยอมรับ…” จิ้งหลิงถอนหายใจเบาๆ “ที่จริงแล้วนางไม่ใช่คนเลว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ละเอียดอ่อน และจริงจังนัก”

ถาวจวินหลันจมอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำจิ้งหลิง “เซิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ในวังหลวง คิดว่าไทเฮาจะต้องวางแผนไว้แล้วแน่ ข้าไม่อาจเข้าไปขวางได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ซิ่วหลิงไปอยู่กับเจ้า ช่วยเจ้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะได้วางใจ”

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง

เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ?

นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม

อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท