พอถาวจวินหลันมาถึงที่ที่โจรลอบสังหารหายตัวไป ก็ต้องขมวดคิ้วแน่นทันที นี่ไม่ได้ห่างจากเรือนเฉินเซียงนัก แม้กระทั่งสวนดอกไม้ก็ยังไม่ถึง และไม่ได้ออกไปจากเรือนใน แต่ที่ตรงนี้มีต้นไม้ ดอกไม้มาก ดังนั้นจึงเป็นที่ซ่อนตัวอย่างดี อีกทั้งยังมีทางแยก ทำให้หายไปง่ายกว่าเดิม
ถาวจวินหลันคิดว่าหากฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าคงวิ่งหนีไปไม่พ้นจวนอ๋อง ไม่มีวิธี จวนอ๋องนั้นใหญ่เกินไปจริง
“ลองตามหาดูอีกรอบ คอยสังเกตรอยเลือดเอาไว้” ถาวจวินหลันครุ่นคิด ก่อนสั่งการไปตามนี้ นางคิดว่าเพราะก่อนหน้านี้รีบร้อนมากเกินไป ละเลยจนทำให้หาไม่พบ โจรลอบสังหารคนนั้นจะต้องซ่อนตัวอยู่เป็นแน่ ไม่มีทางหนีออกไปได้แน่นอน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งนี้จะต้องหาพบ อย่างไรก็ผ่านไปนานแล้ว บางทีฝ่ายตรงข้ามอาจจะหนีไปนานแล้วก็ได้ ไฉนเลยจะยังซ่อนตัวอยู่ที่เดิม?
ดังนั้นถาวจวินหลันคิดจะไล่ตามเบาะแสนี้ไป ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ต้องวิ่งหนีไปได้ไม่ไกลเป็นแน่ อีกทั้งยังต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ ตามร่องรอยเหล่านี้ไปก็จะพบเอง
นางสั่งไปแล้ว ย่อมไม่มีใครกล้าชักช้า รีบกระจายกำลังกันออกตามหา แต่หัวหน้าทหารยามคนนั้นกลับไม่กล้าจากไป รั้งตัวอยู่ที่เดิมเพื่อป้องกันถาวจวินหลัน
“เจ้าคิดว่าโจรลอบสังหารจะหนีไปทางใด?” ถาวจวินหลันเบนหน้าไปถามหัวหน้าทหารยามคนนั้น เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามทำหน้าเคร่งขรึม จึงเอ่ยถามเล็กน้อย ตอนแรกนางคิดจะถามว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่รู้สึกว่าถามเช่นนี้ไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนคำถาม
หัวหน้าทหารยามส่ายหน้า “ไม่ว่าทางไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้นขอรับ อีกทั้งไม่แน่ว่าอาจจะเข้าไปพลางตัวอยู่ภายในเรือนใดก็ได้ขอรับ แต่ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้นัก อย่างไรทั้งสองเรือนที่อยู่ใกล้เคียงก็มีคนอาศัยอยู่ หากมีโจรลอบสังหารแล้วจะไม่ป่าวประกาศได้อย่างไร?”
ถาวจวินหลันวิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่าจริง จึงพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้องตามนั้น อย่างนั้นเจ้าคิดว่าตอนนี้โจรลอบสังหารอยู่ที่ใด?”
หัวหน้าทหารยามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเบา “ที่จริงข้าน้อยแอบคิดเรื่องบังอาจอย่างหนึ่งขอรับ”
พอเขาพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มสนใจ เลิกคิ้วเล็กน้อยถาม “อย่างนั้นหรือ? ความคิดอาจหาญอะไรกัน? พูดให้ข้าฟังหน่อย” ที่จริงแล้วนางก็แอบคิดเช่นเดียวกัน แต่ความคิดของพวกนางคงไม่เหมือนกันหรอกกระมัง?
หัวหน้าทหารยามเห็นถาวจวินหลันให้พูดได้ จึงไม่ลังเลอีกต่อไป แล้วพูดความคิดในใจตรงๆ ด้วยเสียงเบา “โจรลอบสังหารคนนั้นอาจจะไม่ได้เข้ามาจากภายนอกจวน แต่ลอบแฝงตัวอยู่ภายในจวนมาตั้งแต่แรกแล้วขอรับ หากเป็นเช่นนั้นที่พวกข้าน้อยไม่พบโจรลักลอบเข้ามาก็ถือว่ามีเหตุผลขอรับ อย่างไรการป้องกันภายในจวนก็แน่นหนา ถ้ามีโจรลอบสังหารจริง เวรยามแต่ละชั้นจะไม่รู้สึกเลยได้อย่างไรขอรับ”
หยุดไปครู่หนึ่งหัวหน้าทหารยามก็เหลือบมองถาวจวินหลันที่มีสีหน้าเคร่งขรึมทีหนึ่ง และพูดต่อไป “หากแฝงตัวอยู่ภายในจวนจริง ในตอนนี้หายไปก็สมเหตุผลขอรับ บางทีอีกฝ่ายคงมีหนอนบ่อนไส้มาคอยรับ มีเพียงวิธีนี้ถึงได้หาตัวคนไม่พบ แม้แต่รอยเลือดก็ยังไม่มีขอรับ”
จำต้องพูดว่า เรื่องนี้มีแนวโน้มเป็นจริงมาก ถาวจวินหลันมองหัวหน้าทหารยามคนนั้นอยู่นาน ตอนที่หัวหน้าทหารยามคนนั้นก้มหน้าลงไปพลางลูบจมูกอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นเอง นางก็เปิดปากพูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สืบเรือนใกล้เคียงโดยละเอียด เรียกทุกคนออกมาถามก็จะรู้เอง”
หัวหน้าทหารยามตะลึงไป คล้ายยังไม่ได้สติกลับมาเต็มที่นัก ถาวจวินหลันเบนตามองทีหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเบาๆ คนผู้นี้ถือว่าฉลาด แต่จะบอกว่าโง่ก็ถือว่าโง่จริงๆ
ที่บอกว่าคนนี้ฉลาดก็เพราะว่าเขาคิดไปในทางเดียวกับนาง ที่บอกว่าคนนี้โง่ก็เป็นเพราะปฏิกิริยาตายด้านจนเกินไป
พอหัวหน้าทหารยามคนนั้นตั้งสติได้แล้ว ย่อมต้องดีใจมาก และรีบรวบรวมคนไปจัดการเรื่องนี้
หงหลัวขมวดคิ้วพูดเตือน “ทำเช่นนี้จะไม่เหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ? นั่นเป็นเรือนของถาวจืออี๋เหนียงและกู่อี๋เหนียง หากเกิดเรื่องวุ่นวายจริงๆ เกรงว่าพวกนางคงไม่น่ามองเท่าไรนัก และพอเรื่องกระจายออกไป เกรงว่าผู้คนจะพากันคิดว่าชายารองตั้งใจกลั่นแกล้งพวกนางนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “จับโจรลอบสังหารสำคัญมากที่สุด” พูดตามจริงแล้วขอพียงจับโจรลอบสังหารได้เท่านั้น เรื่องอื่นไม่เป็นอะไร ชื่อเสียง? ชื่อเสียงมีประโยชน์อะไร? หากตายแล้วยังต้องการชื่อเสียงไปทำไม?
แน่นอนว่านางคิดเรื่องที่หงหลัวพูดมาก่อน แต่นางก็ยังสั่งเช่นนี้ ด้วยนางรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องที่คาดเดาต้องถูกต้องอย่างน้อยกว่าแปดส่วน และอีกสองส่วนที่เหลือกลับเป็นสัญชาตญาณของตนเอง
จะพูดถึงหลักฐาน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นคุ้นเคยกับจวนอ๋องมากเกินไป จวนตวนชินอ๋องที่จริงแล้วกว้างขวางมาก แม้แต่ตอนแรกที่นางเข้ามาในจวนอ๋อง ก็ต้องเสียเวลาหลายวันถึงจำทางเดินไปยังพื้นที่ต่างๆ และเรือนสำคัญได้
เปลี่ยนคำอธิบายก็คือ หากเป็นโจรลอบสังหารที่มาจากด้านนอก เกรงว่าคงไม่มีทางคุ้นเคยกับพื้นที่ภายในจวนได้มากขนาดนี้ อีกทั้งคงไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งห้องนอนของนาง อย่างไรดูจากสถาณการณ์แล้วอีกฝ่ายคงต้องเข้าใจมาก แล้วยังตั้งใจพุ่งตรงมาทางนาง
เพียงแค่เรื่องนี้ก็น่าสงสัยมากแล้ว อีกทั้งสถานที่ที่โจรลอบสังหารหายไป ก็ยิ่งน่าสงสัย แม้จะบอกว่ามีที่ซ่อนตัวเยอะอย่างไร แต่พอลองมาคิดดูแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเยอะมากนัก อย่างไรคราวนี้คนทั้งจวนตวนชินอ๋องก็แตกตื่นกันแล้ว คิดจะซ่อนตัวอย่างสงบนิ่งคงไม่ง่ายนัก
ดังนั้นนางจึงคิดเรื่องการร่วมมือได้
พอโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน นางก็ยิ่งเข้าใจ เกรงว่าเรื่องที่นางคิดคงเป็นจริง บุรุษไม่อาจเข้าเรือนในได้ ดังนั้นคิดว่าโจรลอบสังหารคนนี้ต้องเป็นสตรีแปดเก้าส่วน หากเป็นสตรีจริง ก็มีเพียงบ่าวรับใช้ของเรือนใดเรือนหนึ่งเท่านั้น
ถาวจวินหลันย่อมต้องตามกลุ่มทหารยามนั้นไป หลายคนนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกปลุกให้ตื่นมาจากห้วงความฝัน เสื้อผ้าและทรงผมดูยุ่งเหยิงไปหมด อย่างไรทางนี้ก็ยังไม่โดนส่งผลกระทบอะไร ดังนั้นไม่เหมือนกับบริเวณใกล้เคียงเรือนหน้าและเรือนเฉินเซียง ที่จุดไฟสว่างไสวไปทั่ว
ถาวจือกับกู่อวี้จือทำหน้าเคร่งขรึม เห็นถาวจวินหลันก็รีบก้าวขึ้นมาถามไม่หยุด “ชายารองถาว นี่หมายความว่าอะไร? ดึกดื่นแล้วยังมาวุ่นวายอะไรกันเจ้าคะ? ได้ยินว่าตามหาโจรลอบสังหาร? จะหาโจรลอบสังหารก็ไม่ต้องทำเช่นนี้กระมัง?”
แม้ว่าถาวจือจะไม่ได้เปิดปากถาม แต่ก็ทำหน้าไม่พอใจเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนเคยถูกถาวจวินหลันทำโทษมาก่อน แต่เดิมก็มีอคติกับนางอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น พวกนางคิดว่าถาวจวินหลันไม่ได้กำลังตามหาโจรลอบสังหาร แต่เพราะจงใจทำให้พวกนางลำบากใจและทรมาน
ถาวจวินหลันกวาดตามองบรรดาบ่าวรับใช้ที่รวมตัวอยู่จุดหนึ่ง ก่อนเบนหน้าถามว่า “มาครบแล้วหรือยัง?”
หัวหน้ายามคนนั้นพยักหน้า รายงานเสียงเบา “คิดว่าครบแล้วขอรับ”
“โจรลอบสังหารคนนั้นบาดเจ็บตรงไหน” ถาวจวินหลันถามอีกครั้ง
“ที่หัวไหล่ขอรับ” หัวหน้าทหารยามมองไปยังบรรดาบ่าวรับใช้อายุน้อยเหล่านั้นอย่างลังเลทีหนึ่ง ฉับพลันก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นหญิงสาว แต่การสำรวจร่องรอยบาดเจ็บจะต้องดูบาดแผล หรือว่าให้หญิงสาวอายุน้อยเหล่านี้มาถอดเสื้อผ้าให้พวกเขาดูหัวไหล่ทีละคน?
เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้หัวหน้าทหารยามอดหน้าแดงไม่ได้ และไม่กล้าหันไปมองบรรดาหญิงสาวอีก
ถาวจวินหลันเบนตามองหัวหน้าทหารยามทีหนึ่ง เห็นท่าทีของเขาก็อยากหัวเราะเยาะ นางไม่ต้องการหน้าตาแล้วอย่างนั้นหรือ? อยากเสียชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ? ร่างกายของหญิงสาวสำคัญเพียงใด? แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นบ่าวรับใช้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องบัดสีได้ นางจะบังคับให้พวกนางเปิดหัวไหล่ต่อหน้าผู้คนมากมายหรือ?
“หงหลัว ปี้เจียว พวกเจ้าไปเลือกหญิงชราแข็งแรงมาสักสองสามคน พาบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านั้นเข้าไปตรวจสอบในห้องทีละคน” ถาวจวินหลันเบนหน้าไปสั่งความ
ทั้งสองคนรีบรับคำ จากนั้นก็เลือกคนเตรียมตัวเข้าไปดูหัวไหล่ของบรรดาบ่าวรับใช้
ถาวจือกลับลากกู่อวี้จือออกมา “ชายารองทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? หรือว่าบ่าวรับใช้ของพวกเราจะเป็นโจรลอบสังหารอย่างนั้นหรือ? พวกนางแม้ว่าเป็นบ่าว แต่ก็ไม่มีเหตุต้องสงสัยและบีบบังคับให้พวกนางถอดเสื้อผ้านะเจ้าคะ!”
ถาวจวินหลันกวาดตามองถาวจือที่มีท่าทางแค้นเคืองเนิบๆ ทีหนึ่ง และกู่อวี้จือที่มีสีหน้าไม่น่ามอง จากนั้นก็เลิกคิ้วถาม “ข้าขอถามพวกเจ้า ใครดูแลจวนตวนชินอ๋อง?”
ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ ถาวจือกับกู่อวี้จือก็หายใจสะดุดทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินถาวจือพูดอย่างเสียไม่ได้ว่า “ชายารองถาวเจ้าค่ะ แต่ว่า…”
ถาวจวินหลันกลับไม่เปิดโอกาสให้ถาวจือพูดจบ หลังจากได้ยินสิ่งที่ตนเองอยากฟัง ก็หัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อข้าเป็นคนดูแลจวน คิดว่าคนอื่นคงไม่มีสิทธิ์มาพูดมาก และไม่ต้องมายุ่มย่าม”
หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดเรื่องสำคัญทิ้งท้าย “อีกอย่าง ในเมื่อข้าเป็นคนดูแล เช่นนั้นข้าคิดอยากจะทำอะไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น คนอื่นแค่ให้ความร่วมมือ ใช่แบบนี้หรือไม่? หากพวกเจ้าไม่ยอม ก็รอให้ท่านอ๋องกลับมาแล้วค่อยไปรายงานก็ได้ แต่ตอนนี้…ช่วยเงียบปากไปเถิด!”
นางพูดโดยไม่เกรงใจ ถาวจือกับกู่อวี้จือได้ยินก็หน้าแดงหน้าดำ ด้วยเสีนหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ถาวจวินหลันหันไปส่งสายตาให้หงหลัวกับปี้เจียว แล้วทั้งสองก็เดินผ่านถาวจือตรงเข้าไปจัดการธุระ
ถาวจือยังคิดจะเปิดปากพูด แต่กู่อวี้จือกลับรู้กาลเทศะ ถอยออกไปอีกข้างหนึ่งไม่พูดไม่จา กู่อวี้จือทำเช่นนี้ย่อมทำให้ถาวจือทำอะไรไม่ได้อีก จึงมองไปยังกู่อวี้จือทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็หลับตาเงียบปาก
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ กระชับผ้าคลุม ภายในใจนั้นคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าแบบนี้ก็ยังสืบหาไม่พบ นางคงต้องเสียหน้าเป็นที่ยิ่ง ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงไม่อาจไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ดีได้
แต่ต่อให้นางมีโอกาสเลือกใหม่อีกครั้งหนึ่ง นางก็ยังคงเลือกทำเช่นนี้ นางยังเชื่อว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ตาม หาโจรลอบสังหารก็สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องอื่นก็ทิ้งไว้เบื้องหลังก่อน
นางเริ่มเคร่งเครียด คนอื่นก็ต้องเคร่งเครียดด้วยเช่นกัน แม้แต่กู่อวี้จือกับถาวจือก็ไม่เว้น หากเป็นบ่าวรับใช้ของพวกนางจริง แล้วนางควรจะทำเช่นไร? เกรงว่ากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็คงจะขจัดความสงสัยของตนเองไม่ได้! ถึงเวลานั้นแม้แต่หลี่เย่ก็คงจะสงสัยพวกนาง! ต่อให้สุดท้ายแล้วสืบได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง แต่ก็คงจะรับรองไม่ได้ว่าคนอื่นจะไม่มองพวกนางด้วยสายตาเคลือบแคลงไม่ใช่หรืออย่างไร?
เพียงไม่นาน คนมากมายจึงไม่มีใครกล้าปริปาก สิ่งที่ดังเข้าหูมีเพียงแค่เสียงลมเหมันต์เท่านั้น