บัลลังก์พญาหงส์ – บทที่ 697 คนชั้นต่ำหาญกล้า

บทที่ 697 คนชั้นต่ำหาญกล้า

แต่กู้ซีคิดอย่างไรก็มีเพียงตัวนางเองที่รู้

พอฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของหลี่เย่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ถามอย่างสนใจ “นี่เกี่ยวข้องอะไรกับยาอายุวัฒนะ?”

หลี่เย่ถอนหายใจ พูดกับฮ่องเต้ว่า “ข้างนอกมีหมอหลวงมารอเข้าเฝ้า เสด็จพ่อเอายาให้หมอหลวงตรวจสอบสักครั้งก็จะรู้ว่าทำไมลูกถามเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

พูดมาถึงตรงนี้ฮ่องเต้ย่อมไม่โง่ ต้องพอเดาอะไรออกได้บ้าง ทันใดนั้นสีหน้าก็เริ่มไม่น่ามอง

แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เชื่ออยู่มากกว่า เขาส่งเสียงเรียกขันทีเป่าฉวนให้เข้ามา “เจ้าไปเอายาอายุวัฒนะมาเม็ดหนึ่ง”

กู้ซีได้ยินเช่นนี้ก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป ฝืนยิ้มลุกขึ้นมา “เป่าฉวนจะรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันวางไว้ที่ใด? ให้หม่อมฉันไปเองเถิดเพคะ” ไม่ว่าเป็นสีหน้าหรือท่าทางก็แนบเนียน เหมือนกลัวขันทีเป่าฉวนหาอายุวัฒนะไม่เจอจริงๆ

แต่ฮ่องเต้มองกู้ซีอย่างลุ่มลึกทีหนึ่ง ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพียงพูดว่า “เจ้าบอกเขาก็ได้แล้ว ทำไมต้องไปเองด้วย? เหนื่อยเปล่า”

เหมือนฮ่องเต้จะจับสังเกตอะไรได้ แต่ก็เหมือนไม่มีอะไร ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร

พูดมาถึงตรงนี้แล้วกู้ซีย่อมไม่อาจไปเองได้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าเรื่องนี้มีปัญหามิใช่หรือ? กู้ซีทำได้แค่รับคำ จากนั้นก็ก้มหน้ายืนอยู่ที่เดิมเพื่อปกปิดสีหน้า

กู้ซีให้ความสนใจกับปฏิกิริยาของฮ่องเต้กับหลี่เย่มากเกินไป แต่ไม่ได้สนใจว่าถาวจวินหลันจ้องท่าทางของนางทุกอิริยาบถมาโดยตลอด พูดจริงๆ แล้วจากที่สังเกตมานาน ถาวจวินหลันก็มั่นใจได้ว่ากู้ซีมีปัญหาจริง

แน่นอนว่านี่เป็นปัญหาของกู้ซีเอง ไม่ว่าอย่างไรนักพรตคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมาก่อน เช่นนั้นที่เหลือย่อมเป็นปัญหาของกู้ซี

แต่ดูเหมือนว่ากู้ซีจะกล้ามากเกินไป ถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้ ที่สำคัญที่สุดคือนางมีความสามารถที่จะตบตาหลอกลวง นี่จะไม่น่าแปลกใจได้อย่างไร?

บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบไปทันที

หลี่เย่ดึงถาวจวินหลันมานั่งอยู่ข้างหน้าต่างตามสบาย ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากกู้ซีและฮ่องเต้ค่อนข้างมาก แม้ไม่ได้อบอุ่นเท่าตรงอื่น แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาวมาก

เขากลัวว่าถาวจวินหลันตั้งครรภ์อยู่แล้วยืนไม่ไหว หลังจากท้องใหญ่แล้ว ถาวจวินหลันก็มักจะปวดเอวและเหน็บชา ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าถาวจวินหลันจะเหนื่อยเกินไป

ถาวจวินหลันรู้สึกเหนื่อยอยู่เล็กน้อย อีกทั้งไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไร ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิเสธ นั่งลงตามหลี่เย่บอก

ฮ่องเต้หนังตากระตุก หงุดหงิดอยากเอ่ยปากพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องปิดปากกลืนคำพูดลงไป อย่างไรหลี่เย่กับถาวจวินหลันก็เพียงแค่นั่งเท่านั้น หากระเบิดอารมณ์เพราะเหตุนี้ นั่นคงดูไร้เหตุผลไปหน่อย

แต่ท่าทีของหลี่เย่ที่วางกร่างไม่ได้เห็นใครอยู่ในสายตา กลับทำให้ฮ่องเต้รู้สึกไม่ชอบใจ สุดท้ายฮ่องเต้จึงตัดสินใจเบือนหน้าหนี ไม่มองหลี่เย่กับถาวจวินหลันอีก

ในห้องมีอยู่ไม่กี่คน หากไม่มองหลี่เย่กับถาวจวินหลัน สายตาของฮ่องเต้ก็ไปอยู่ที่กู้ซี จากนั้นก็อดครุ่นคิดไม่ได้ ด้วยเวลาที่เริ่มนานขึ้น สายตาของฮ่องเต้ก็ยิ่งเย็นเยียบ

คนเป็นฮ่องเต้ได้ย่อมเป็นคนฉลาด ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ไม่ได้คิดลึกเท่านั้นเอง ตอนนี้พอมาพิจารณาดูแล้ว ก็คิดถึงเรื่องมากมายได้ทันที

ตอนที่สายตาของฮ่องเต้เริ่มเย็นชาลงเรื่อยๆ ยิ่งเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ กู้ซีก็เหมือนจะรู้สึกอึดอัด ฉับพลันก็ลุกขึ้นมา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เผาเครื่องหอมหมดแล้วเพคะ เกรงว่าต้องเปลี่ยนแผ่นหอมแล้ว” กู้ซีพูด พลางเดินไปที่เตารมเครื่องหอม เปิดฝาที่เตาเผาเครื่องหอมออกมาดู เครื่องหอมภายในนั้นถูกเผาจนหมดแล้วจริงๆ

กู้ซีหลุบตามองต่ำเดินตรงไปที่ชั้นวางของข้างหลังโต๊ะหนังสือ หยิบแผ่นหอมออกมาชิ้นหนึ่งจากลิ้นชัก จากนั้นก็ค่อยๆ ใส่ไว้ในเตาเผาเครื่องหอม แล้วยังใช้ไม้จิ้มทองแดงเขี่ยเศษขี้เถ้าข้างใต้ด้วยท่วงท่างดงาม

ผ่านไปไม่นานเครื่องหอมก็กระจายส่งกลิ่นออกมา ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็กำจายไปทั่วห้อง ถาวจวินหลันเหมือนไม่เคยดมกลิ่นเช่นนี้มาก่อน แต่ก็คิดว่าหอมดี จนอดสูดดมไม่ได้

แต่ยังดีที่นางควบคุมตัวเองไว้ได้ หญิงมีครรภ์ไม่อาจใช้ถุงหอมได้ เรื่องนี้นางเคร่งครัดมาเป็นอย่างดีตลอด

เพราะไม่รู้ว่าในเครื่องหอมของกู้ซีมีอะไรที่หญิงตั้งครรภ์ไม่อาจสูดดมได้บ้าง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่กล้าดม แต่แอบแง้มหน้าต่างให้มีช่องว่างเล็กน้อย แม้จะบอกว่าทำเช่นนี้ให้ลมเย็นพัดเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ไม่ได้กลิ่นหอมนั่นด้วย

ขันทีเป่าฉวนกลับมาโดยเร็ว ในมือถือถาดที่มีกล่องใบใหญ่วางไว้ ถาวจวินหลันมองไปก็เข้าใจทันที ขันทีเป่าฉวนไม่ได้เอามาแค่เม็ดเดียว แต่เอายาอายุวัฒนะทั้งหมดมาด้วยเลย

เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่ากู้ซีจะแก้ตัวว่าถูกใส่ร้ายอีก คิดว่าต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถาวจวินหลันก็อดยกยิ้มไม่ได้

ถึงกู้ซียังดูสงบ แต่สีหน้าก็ไม่น่ามองนัก สีหน้าซีดเผือดดูแล้วเหมือนว่าอาการจะกำเริบได้ทุกเมื่อ

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปากว่า “จวงเฟยเหนียงเหนียงเป็นอะไรหรือไม่เพคะ? ทำไมสีหน้าถึงไม่น่ามองเช่นนี้? ต้องการพักผ่อนบ้างหรือไม่เพคะ?”

พอนางพูดเช่นนี้ ทุกคนย่อมหันไปมองกู้ซี

กู้ซีขยับริมฝีปากอย่างฝืดเคือง เสียงก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “ไม่เป็นไร ไม่ได้ร้ายแรงนัก เรื่องนี้สำคัญกว่า”

ฮ่องเต้เหลือบมองกู้ซีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่หันไปมองหลี่เย่อีกครั้ง “ตอนนี้เล่า?”

หลี่เย่เอ่ยเสียงพูดว่า “เชิญหมอหลวงและนักพรตเข้ามาพร้อมกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้นั่งลง นั่งนิ่งจ้องมองไปยังหน้าประตูและกล่องยาอายุวัฒนะในมือของขันทีเป่าฉวน ด้วยท่าทีเคร่งขรึม

บรรยากาศภายในห้องนิ่งเงียบอึมครึมและกดดัน

พอหมอหลวงและนักพรตเดินเข้ามา ก็ต้องตกใจจนไม่กล้าหายใจเสียงดังเพราะบรรยากาศเช่นนี้ ล้วนตัวสั่นสะท้านนั่งคุกเข่าลงไป

หลี่เย่แสดงท่าทีให้ขันทีเป่าฉวนเปิดกล่องออก จากนั้นก็สั่งหมอหลวงว่า “เจ้าตรวจสอบดู ว่ายาอายุวัฒนะนี้เป็นอย่างไร”

กล่องเพิ่งถูกเปิดออก นักพรตคนนั้นกวาตามอง ก็ต้องตกใจร้องว่า “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา! นี่ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะที่กระหม่อมปรุงพ่ะย่ะค่ะ!”

กู้ซีได้ยินคำพูดที่เปล่งออกมาก็ให้สั่นสะท้าน แต่นางเม้มริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่กำผ้าเช็ดหน้าของตนเองเอาไว้แน่น เหมือนว่ากุมผ้าผืนบางเอาไว้แล้วนางจะได้รับแรงและความรู้สึกปลอดภัยจากสิ่งนั้น

ฮ่องเต้เอ่ยปากเสียงนิ่ง “จวงเฟย แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“หม่อมฉันเติมวัตถุดิบลงไปในยาของฮ่องเต้เพคะ” กู้ซีไม่ได้เถียง แต่กลับยอมรับออกมาโดยตรง “ยาอายุวัฒนะของนักพรตเป็นแค่ของเอาไว้บำรุงเท่านั้น แล้วฮ่องเต้จะมีเรี่ยวแรงร้อยเท่าและพระชนมายุยิ่งยืนยาวได้อย่างไรเพคะ? ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำเพื่อพระวรกายของพระองค์ เพื่อที่จะอยู่ข้างกายพระองค์ได้ ถึงได้เพิ่มผงยาลงไปอีกชั้นหนึ่งบนยาอายุวัฒนะของพระองค์”

ไม่รอให้ฮ่องเต้ระเบิดอารมณ์ กู้ซีก็ชิงเอ่ยปากพูดก่อน “หรือว่าฮ่องเต้คิดว่าที่พระองค์มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นร้อยเท่าเป็นผลงานของนักพรตเพคะ? เห็นท่าจะไม่ใช่ นี่เป็นผลงานของหม่อมฉันเพคะ”

“พูดเช่นนี้เสด็จพ่อควรต้องขอบคุณท่านหรือ” หลี่เย่พูดเสียงเย็น

กู้ซีหัวเราะเบาๆ มองไปทางฮ่องเต้ด้วยท่าทางรักใคร่ “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันไม่ขอร้องสิ่งอื่น ขอแค่ฮ่องเต้ทรงอย่ากริ้วหม่อมฉัน…”

ฮ่องเต้ตอบกลับกู้ซีด้วยสายตา ก่อนกวักมือเรียกกู้ซีเข้ามาใกล้

กู้ซีค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ทีละก้าว ระหว่างนั้นสายตาของทั้งสองคนก็สอดประสานกัน ก็ให้เกิดความเศร้าอาดูรุมเร้าจิตใจอย่างไม่มีสาเหตุ

ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจ หรือว่าฮ่องเต้จะให้อภัยกู้ซีจริง? คงไม่กระมัง?

แต่ไม่นานถาวจวินหลันก็ได้รู้ว่าตนองคิดผิดไป ฮ่องเต้ก็ยังเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้ที่ใจแคบเลือดเย็นและยังเห็นแก่ตัว เพราะฮ่องเต้บีบคางเล็กของกู้ซีเอาไว้ จ้องตาของกู้ซีอยู่พักใหญ่ ก่อนตบหน้านางอย่างแรง

เสียงตบดังสนั่นก้องกังวาน แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้ยั้งมือเอาไว้เลย

กู้ซีถูกตบจนเซไป ก่อนล้มลงบนพื้น

ถาวจวินหลันตกใจ เลิกคิ้วขึ้น รีบหันไปมองริมฝีปากบวมแดงและมีเลือดซึมของกู้ซี ก่อนเบือนหน้าหนี

ริมฝีปากของกู้ซีน่าจะถูกตบจนแตก มิเช่นนั้นคงไม่เป็นอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ฮ่องเต้โหดร้ายจริงๆ

เมื่อครู่ที่ฮ่องเต้ยังมีท่าทีอาดูร ฮ่องเต้ที่ดูเหมือนจะมีความรู้สึกลึกซึ้ง ตอนนี้กลายเป็นเย็นชา หนาวเย็น เขาพ่นคำพูดออกมา “คนชั้นต่ำช่างหาญกล้านัก!”

กู้ซีหมอบอยู่กับพื้น ไม่ได้มีท่าทีจะลุกขึ้นมา แต่กลับหัวเราะเสียงต่ำ “ทำไมหม่อมฉันจะไม่กล้าเพคะ? ฮ่องเต้ พระองค์บอกสิว่าทำไมหม่อมฉันต้องไม่กล้าเพคะ? ยานี้เป็นยาดีกับตัวพระองค์เอง มิใช่ยาพิษ หม่อมฉันกลัวว่าท่านจะจากหม่อมฉันไปเพคะ! ท่านสิ้นพระชนม์ไปแล้ว หม่อมฉันก็ไม่เหลืออะไรเลยเพคะ!”

อกของฮ่องเต้กระเพื่อมขึ้นอย่างแรง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เห็นชัดว่าโมโหมากแล้ว

กู้ซีตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนั้น ถึงไทเฮายังมีชีวิต เกรงว่าคงไม่กล้าตัดสินใจให้ยาฮ่องเต้ด้วยตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายานี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครรู้ นางบอกว่าดีก็ดีอย่างนั้นหรือ?

“หมอหลวง ยังตรวจไม่พบหรือ?” ถาวจวินหลันไม่อยากฟังคำพูดเพ้อเจ้อของกู้ซีอีก จึงมองไปยังหมอหลวงที่เหงื่อผุดเต็มหน้าเต็มตานิ่งๆ

หมอหลวงคนนั้นเคยตรวจยาอายุวัฒนะมาจากวังตวนเปิ่นแล้ว ตอนนี้เมื่อมาตรวจสอบอีกครั้ง ที่จริงแล้วก็เพียงแค่ดูว่าเหมือนกับของที่วังตวนเปิ่นหรือไม่เท่านั้นเอง

ดังนั้นพอถาวจวินหลันถามเช่นนี้ หมอหลวงก็รีบพูดว่า “ตรวจพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้านนอกของยาอายุวัฒนะนี้มีส่วนประกอบของผงยาชนิดนั้น มันช่วยกระตุ้นสรรถภาพของคนได้ จนคนเข้าใจผิดไปเองว่ามีแรงเพิ่มขึ้นร้อยเท่า แต่ความจริงก็แค่เผาผลาญสิ่งที่เหลืออยู่เท่านั้น อีกทั้งหลังจากใช้ยาชนิดนี้ในระยะเวลานานก็จะติด เลิกเสวยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

พอหมอหลวงพูดจบก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพียงแค่หมอบอยู่กับพื้น ตอนนี้จะเงยหน้าขึ้นมามองอะไรเล่า? ดูฮ่องเต้ระเบิดอารมณ์อย่างนั้นหรือ? ดูฮ่องเต้พาลโมโหเขาหรือ?

ฮ่องเต้ไม่ได้เลอะเลือน ย่อมเข้าใจคำพูดนี้ ฉับพลันฮ่องเต้ก็ยกเท้ายันไปทางกู้ซี ตวาดเสียงดัง “คนชั้นต่ำหาญกล้านัก!”

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง

เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ?

นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม

อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท