ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1211 ทำการทดลองกับต้าป๋าย

บทที่ 1211 ทำการทดลองกับต้าป๋าย

หลังจากทำงานมาเกือบทั้งวัน บางส่วนของเถาองุ่นก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าถูกตัดแต่งไปหนึ่งรอบแล้ว

กองหน่ออ่อนขององุ่นขนาดใหญ่อยู่บนชายหาด ฉินสือโอวจึงเทน้ำมันเบนซินราดลงไป หลังจากจุดไฟแล้วควันโขมงสีดำก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น

“ว้าว ดูเหมือนกับไฟแคมป์ในงานเลี้ยงตอนเย็นเลยว่าไหม?” บูลตะโกนอย่างตื่นเต้น

ชาร์คตบหัวเขาแล้วกลอกตาไปมาและพูดว่า “นายอยากสูดควันดำสักหน่อยไหมล่ะ? ในเมื่อนายเพลิดเพลินกับไฟแคมป์ขนาดนี้ งั้นนายก็มาจัดการกับเรื่องยุ่งๆ นี้เถอะ”

ในช่วงเย็นดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ขอบฟ้าถูกแผดเผาจนเป็นสีแดงและมหาสมุทรก็ถูกส่องแสงจนกลายเป็นสีแดงเข้ม วาฬหลังค่อมสองตัวปรากฏตัวขึ้นใกล้ทะเล พวกมันลอยไปมาในน้ำและมักจะส่งเสียงร้องเพลงออกมาอย่างสนุกสนาน

ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน ปลาวาฬจากขั้วโลกเหนือและใต้จะมารวมตัวกัน พวกมันมีไอคิวแน่นอนจึงได้นึกถึงอาหารที่อุดมสมบูรณ์ น้ำที่ใสสะอาดและความปลอดภัยที่สามารถพึ่งพาได้ของฟาร์มปลาต้าฉิน พวกมันทยอยเข้ามาในบริเวณทะเลแห่งนี้และที่นี่แทบจะเปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับการดูวาฬไปแล้ว

ในช่วงที่ปลาทะเลเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์จะคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นและมักจะมีปลาตัวใหญ่กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำทะเล ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนท่าเรือและอุ้มเสี่ยวเถียนกวาอยู่ก็มองดูไปข้างหน้า ปลาโลมาตัวหนึ่งเฉียดผ่านขึ้นมาข้างๆ พวกเขา จึงทำให้เกิดละอองน้ำกระเด็นขึ้นมา แน่นอนว่าต้องเป็นบีนอย่างแน่นอนที่กำลังแสดงกายกรรมนี้อยู่

วินนี่ผู้มีความสวยและสง่างามก็เข้ามายืนอยู่ข้างๆ เธอยิ้มและมองไปที่เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังตื่นเต้น จึงชี้ให้เธอดูว่านี่คืออะไรนั่นคืออะไร

นับตั้งแต่พูดคำว่าพ่อแม่ได้ เสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะพูดอย่างเป็นทางการ เพียงแค่เธอยื่นมือออกไป ตอนนี้การตอบสนองของทุกคนในครอบครัวจะไม่เอาสิ่งนั้นให้เธอกลับ แต่จะสอนเธอพูดว่านั่นคืออะไร

เรื่องนี้ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กรู้สึกยุ่งวุ่นวายมาก อันที่จริงเธอไม่ต้องการเรียนรู้ที่จะพูดอะไรเลย แต่เธอแค่อยากเล่นของเล่นเท่านั้น

เมื่อเห็นบีนที่กระโดดอยู่ในน้ำอย่างต่อเนื่อง เสี่ยวเถียนกวาก็หัวเราะพร้อมกับยื่นนิ้วมือออกไป

ฉินสือโอวเอาเสี่ยวเถียนกวานั่งลงบนขอบดาดฟ้าเรือ จากนั้นเขาก็ปรบมือลงในน้ำ บีนจึงเงยหน้าขึ้นมองและเผยให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส จากนั้นปากใหญ่ๆ ก็แทบจะยิ้มกว้างไปจนถึงรูหูพร้อมกับพยักหน้าอยู่ในน้ำด้วยท่าทางไร้เดียงสา

เสี่ยวเถียนกวาส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจขึ้นว่า ‘อาอา’ พลางยื่นมือเล็กๆ อ้วนๆ ออกไปเพื่อจะสัมผัสบีนและหลังจากที่ได้สัมผัสผิวอันเย็นและเนียนของมันแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา เธอทั้งยิ้มและร้องไปด้วยว่า “ปาป๊าๆ”

ฉินสือโอวทั้งยิ้มทั้งพูดว่า “ปาป๊าอยู่ที่นี่แล้วนะ นี่คือปลาโลมา นี่คือบีนๆๆ…”

“ปาป๊าๆ” เสี่ยวเถียนกวายังคงร้องเรียกอยู่อย่างนั้นและดูโลมาน้อยส่งเสียงร้องอย่างตั้งใจ

บีนยิ้มกว้าง ฉินสือโอวจึงจ้องมองอย่างทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ว่าเขาจะสอนอย่างไร เสี่ยวเถียนกวาก็จะเรียกแค่ ‘ปาป๊า’ และไม่พูดออกเสียงตามเขาว่า ‘บีนๆ’ เลย

วินนี่ขึ้นมาเพื่อดูแลควบคุมเสี่ยวเถียนกวาและให้เขาไปสั่งฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในไร่องุ่น

เบิร์ดนอนอยู่บนปีกของรถแทรกเตอร์ทางอากาศและกำลังคุยโม้กับบีบีซวง ฉินสือโอวจึงเข้าไปเอายาฆ่าแมลงที่ผสมกับน้ำปูนขาวที่เตรียมไว้ จากนั้นก็ดีดนิ้วและพูดว่า “เอาล่ะ เบิร์ด ไปทำงานเถอะ”

เบิร์ดยิ้มแล้วพูดว่า “ง่ายมาก ง่ายเกินไปแล้ว”

เครื่องบินเริ่มร่อนขึ้นไปบนอากาศและหันหน้าไปทางทะเล หลังจากบินขึ้นเหนือต้นองุ่นแล้วก็จะเริ่มบินดิ่งลง จากนั้นส่วนท้องเครื่องก็จะเปิดออกและละอองน้ำสีขาวข้นก็พ่นออกมาปกคลุมไร่องุ่นสีเขียว

ในขณะที่กำลังทานอาหารเย็น แซนเดอร์สขยิบตาใส่ฉินสือโอวอย่างมีลับลมคมใน ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ หรือว่างานวิจัยของศาสตราจารย์จะมีอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว

ฉินสือโอวเช็ดปากและลุกออกจากโต๊ะอาหาร จากนั้นวินนี่พูดว่า “เฮ้ คุณยังกินไม่เสร็จเลยนะคะ”

“ผมอิ่มแล้ว ไม่กินแล้วล่ะ” ฉินสือโอวกล่าว

วินนี่ขมวดคิ้วและมองไปที่กองที่เหลืออยู่บนจานตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกสาว? ชีวิตไม่อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมา กินทิ้งกินขว้างแบบนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีไหมคะ?”

เสี่ยวเถียนกวานั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเด็กและมองดูรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย วินนี่ชี้ไปที่จานอาหารของฉินสือโอวให้เธอดู ดวงตาของเสี่ยวเถียนกวาก็ลุกวาวขึ้นทันที เธอยื่นมือออกไปและส่งเสียงร้องอาอาอูอู

ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังร้องอะไร แต่ในฐานะที่วินนี่เป็นแม่จึงมีสิทธิ์ในการตีความเป็นคนแรก เธอพูดว่า “ดูสิ ลูกสาวเหยียดหยามคุณแล้ว”

ฉินสือโอวพูดอย่างหมดหนทางว่า “ศาสตราจารย์มาหาผม คุณรอผมก่อนนะ แล้วผมจะกลับมากินอาหารพวกนี้ให้หมด”

หลังจากไปที่ห้องนั่งเล่น ฉินสือโอวจึงถามแซนเดอร์สด้วยความตื่นเต้นว่า “เป็นอย่างไร การศึกษาวิจัยยาอายุวัฒนะมีความก้าวหน้าอะไรใหม่ๆ ใช่ไหมครับ?”

“ยาอายุวัฒนะที่ไหนจะไม่แก่บ้าง ไม่มีสรรพคุณที่มหัศจรรย์แบบนั้นหรอก” แซนเดอร์สยิ้มอย่างเขินอาย

“ถ้าอย่างนั้นงานวิจัยมีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ล่ะ?”

“ไม่มี”

“ให้ตายสิ! แล้วคุณมาหาผมทำไม?”

แซนเดอร์สที่ดูกระตือรือร้นก็พูดว่า “ฟาร์มปลาของเราไม่ได้ค้นพบแมงกะพรุนเวเลลลาเรืองแสงสายพันธุ์ใหม่หรอกเหรอ? ผมได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารวิทยาศาสตร์ ‘ธรรมชาติของแคนาดา’ สำนักพิมพ์นิตยสารสนใจพวกมันมากและวางแผนที่จะมาถ่ายภาพและวิดีโอสั้นๆ ที่ฟาร์มปลาเพื่อทำการวิจัย”

ฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า “เรื่องนี้คุณพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ผมไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ถ้ามีความคืบหน้าในการวิจัยเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะ ก็อย่าลืมรายงานผมตลอดเวลาด้วยและไม่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลการวิจัยส่วนตัวออกไปข้างนอก”

แซนเดอร์สคิดสักพักแล้วพูดว่า “โอเค ผมเข้าใจแล้วบอส จริงๆ แล้วก็มีความก้าวหน้าบางอย่างในการวิจัยเกี่ยวกับแมลงยักษ์คล้ายตะขาบ ไม่สิ หรือนี่ไม่นับว่าเป็นความก้าวหน้านะ สรุปคือก็พบอะไรใหม่ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย”

เขาเลียริมฝีปากไปมาและพูดด้วยความท้อใจเล็กน้อยว่า “องค์ประกอบของกระดองชนิดนี้ซับซ้อนมาก ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้บอกว่าได้ค้นพบองค์ประกอบแร่ธาตุชนิดใหม่เหรอ? ผมคิดว่ามันองค์ประกอบชนิดนี้สามารถชะลออัตราการเผาผลาญของเซลล์ได้ แต่หลังจากที่ผมสกัดและทดลองแล้วก็พบว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรล่ะ?” ฉินสือโอวถามอย่างสงสัย

แซนเดอร์สยิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ผงของกระดองที่เป็นยาชนิดนี้สามารถลดอัตราการเผาผลาญของเซลล์ได้จริงๆ แต่ยังไม่ได้ค้นคว้าว่าส่วนผสมชนิดไหนที่ใช้ได้ผล นี่จึงยังวิจัยได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก คุณก็รู้นี่บอส จะอาศัยแค่เพียงกำลังของคนคนเดียวมันก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการเรื่องที่ซับซ้อนแบบนี้”

ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างแน่วแน่และพูดว่า “แต่เราไม่สามารถเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปข้างนอกได้ นอกจากผมกับคุณแล้ว คนอื่นห้ามรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณคงรู้ผลที่จะตามมาแล้วใช่ไหม?”

แซนเดอร์สพยักหน้า ถ้าผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องหลุดออกไป เกรงว่าฟาร์มปลาอาจจะเกิดเรื่อง คาดว่าจะกลายเป็นสถานที่ดังของฮอลลีวูด อีกทั้งความปลอดภัยของเขาและฉินสือโอวก็อาจจะไม่ได้รับการคุ้มครองด้วย

เมื่อส่งแซนเดอร์กลับไป ฉินสือโอวก็กลับไปที่โต๊ะอาหารเพื่อกินอาหารของเขาให้หมด จากนั้นจึงกลับไปนอนบนเตียงที่ห้องนอน

วินนี่กำลังนั่งอยู่บนพรมและกำลังหยอกล้อกับต้าป๋าย ต้าป๋ายดูเหมือนจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวามากเท่าไร จึงไม่เล่นกับเธอ มันแค่เอาหัวถูขาของเธอเบาๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ วินนี่ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยและพูดว่า “ฉิน เราจะพาต้าป๋ายไปโรงพยาบาลดีไหมคะ? ฉันรู้สึกว่าสองวันมานี้มันไม่ค่อยดีเลย”

ฉินสือโอวกำลังนึกถึงปัญหาของกระดองของแมลงยักษ์โบราณคล้ายกับตะขาบอยู่ก็ตกใจทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่วินนี่พูด จากนั้นจึงไปดูต้าป๋ายและหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างรุนแรง

แซนเดอร์สบอกว่ากระดองประหลาดชนิดนี้สามารถลดอัตราการเผาผลาญของสิ่งมีชีวิตและเพิ่มอายุขัยได้ แล้วถ้าเอามาใช้กับต้าป๋ายล่ะจะเป็นอย่างไร?

เขาป้อนพลังโพไซดอนให้ต้าป๋ายไม่หยุด แต่พลังชีวิตของมันก็ยังไม่แข็งแรงมากนัก ดังนั้นบางทีถ้าเขาลองใช้กระดองของแมลงยักษ์โบราณคล้ายกับตะขาบกับมันดูล่ะ?

……………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท