ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1207 เกิดมาคู่กัน

บทที่ 1207 เกิดมาคู่กัน

สิ่งที่ฉินสือโอวกังวลคือเรื่องนี้ ในเมื่อเรือลำนี้มีปัญหา อย่างนั้นก็ต้องตัดการเชื่อมต่อกับพวกเขา ไม่อย่างนั้นต่อไปถ้าคนพวกนี้มีเรื่องขึ้นมา จะทำให้ดึงเขาลงดิ่งไปด้วยได้ง่ายๆ

คนฉลาดจะมองเห็นและลดความเสี่ยงได้ นี่คือหลักการ

หลังจากคาดการณ์ว่าเรือลำนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน ฉินสือโอวจึงไปแจ้งความกับตำรวจทางทะเลในเซนต์จอห์น ถ้าเรือลำนี้ไม่มีปัญหา อย่างมากเขาก็แค่กระต่ายตื่นตูมไปเอง แต่ถ้าเรือลำนี้มีปัญหาจริงๆ การแจ้งความทันเวลาของเขาจะสามารถปกป้องฟาร์มปลาได้มากที่สุด

ชาวประมงค้นเรือไปหนึ่งรอบก็พบว่า นอกจากธนูกับลูกศรอีกสองอันและมีดสั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มียาเสพติดหรือสินค้าหนีภาษีที่ฉินสือโอวคาดเดาเอาไว้

ใช่แล้ว เขาต้องการหายาเสพติดและสินค้าหนีภาษี อาชญากรรมทางทะเลมักจะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยที่สุด

สายตาเย็นชาของเบนสันและคนอื่นๆ มองไปที่ชาวประมงที่ไม่พบอะไรเลย พวกเขาจึงพร้อมใจร้องตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า

“เราจะฟ้องร้องพวกคุณ! พวกนักเลงแคนาดา! พวกแคนาดาชั่ว! พวกอันธพาลแคนาดา!”

“ใครมีโทรศัพท์? โทรแจ้งตำรวจเร็ว ให้ตำรวจมาช่วยเรา!”

“ไม่ เราจะต้องหาสถานทูต วันนี้เราจะไปประท้วงที่สถานทูตเดนมาร์กในโทรอนโต!”

ฉินสือโอวยิ้ม เขายืนบนหัวเรือและโน้มตัวมาข้างหน้าพร้อมกับผิวปาก เมื่อเสียงผิวปากดังขึ้น หู่เป้าฉงหลัวและแมวป่าที่กำลังเล่นกันบนชายหาดก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกันและเห็นฉินสือโอวกวักมือเรียกพวกมัน จากนั้นมันก็วิ่งไปที่ท่าเรืออย่างตื่นเต้นทันที

ฉินสือโอวอุ้มหู่จือและเป้าจือขึ้นไปบนเรือ เขายิ้มให้เบนสันและพูดว่า “นี่คุณ ผมขอแนะนำตัวก่อนนะ พวกเราคือเรนเจอร์ แต่เราไม่ใช่กองกำลังพิเศษของอเมริกาอย่างที่พวกคุณเข้าใจ แต่เป็นกองกำลังพิเศษของแคนาดาที่รับผิดชอบการลาดตระเวนทางทะเลโดยเฉพาะและทะเลผืนนี้ก็เป็นที่ของเรา”

แบล็คไนฟ์นำไอดีเรนเจอร์ออกมาแสดงให้ทุกคนเห็นได้ทันเวลาพอดี ซึ่งตราสัญลักษณ์แห่งชาติของแคนาดาและตราประจำกองทัพด้านบนนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตามาก

“แล้วสุนัขสองตัวนี้ ก็เป็นสุนัขตรวจหาสารเสพติดที่เตรียมไว้ ดังนั้นในเมื่อพวกคุณปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ เราจึงต้องมาจัดการเองเท่านั้น” ฉินสือโอวตัดสินใจโกหกคนพวกนี้ เพราะตำรวจทะเลใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเขาเอาหลักฐานออกมาไม่ได้ก็จะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น แม้ว่าปืนพวกนี้จะสามารถเอาเรื่องคนพวกนี้ได้มากพอก็ตาม

เบนสันและลูกน้องมองไปที่ฉินสือโอวอย่างสงบเสงี่ยม พวกเขามองฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกๆ และพูดว่า “คุณคิดว่าเราเป็นพ่อค้ายาเสพติดเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “ถ้ามีสินค้าต้องห้ามอื่นๆ ลูกๆ ของผมก็สามารถหาเจอได้เช่นกัน”

เขาพูดพลางตบตูดของหู่จือและเป้าจือเพื่อให้พวกมันเข้าไปในห้องผู้โดยสารเรือ เจ้าแลบราดอร์หันหน้ามามองเขาด้วยสีหน้างงงวย พ่อ พวกเด็กๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร

เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ พวกคุณก็ให้ผมเข้าไปก็พอ ฉินสือโอวพึมพำในใจและพาเจ้าแลบราดอร์ทั้งสองตัวเข้าไปในห้องโดยสารเรืออย่างราบรื่น

ท่าทางอันสงบเสงี่ยมของเบนสันและคนอื่นๆ ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกท่าไม่ดีแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะแก้ปัญหาผิดจุด แต่ถ้าดูจากท่าทางของคนพวกนี้ในตอนแรกแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีปัญหาจริงๆ!

แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ?

ฉินสือโอวที่กำลังคิดอย่างหนัก จู่ๆ เสียงร้องของหู่จือและเป้าจือก็ดังขึ้นจากห้องโดยสารเรือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันเจออะไรบางอย่างแล้วแน่ๆ

หลังจากเบนสันและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงสุนัขเห่าสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เบนสันจ้องไปที่เขาอย่างโหดเหี้ยม เขาจึงทำได้เพียงหุบปากอย่างคับแค้นใจ

ฉินสือโอวดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับเรื่องดีๆ เดิมทีเขาแค่ต้องการให้หู่จือและเป้าจือขึ้นมาร้องคำรามใส่เบนสันและคนอื่นๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะเจออะไรบางอย่างจริงๆ

หลังจากตามเสียงเห่าของสุนัขแล้ว ฉินสือโอว แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ก็วิ่งเข้าไปในห้องโดยสารเรือ จากนั้นเข้าไปในห้องบังคับเรือ นี่คือเรือบรรทุกสินค้าธรรมดาทั่วไป จึงมีขนาดเล็กเพียงสี่ถึงห้าร้อยตันเท่านั้น ดังนั้นห้องบังคับเรือจึงเป็นเหมือนกับห้องพักของลูกเรือ ซึ่งพื้นที่มีขนาดเล็กและมีสิ่งของแค่ไม่กี่อย่าง

ตอนนี้หู่จือและเป้าจือตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่ข้างนอกประตูและอีกตัวหนึ่งกำลังหมอบอยู่ข้างในประตู มันเงยหน้าขึ้นไปที่กรงเหล็กบนโต๊ะแล้วส่งเสียงร้อง

ฉินสือโอวจึงเข้าไปดูและเห็นว่ามีเฟอเรทสองตัวอยู่ในกรงเหล็กบนโต๊ะ หู่จือและเป้าจือก็กำลังร้องคำรามใส่พวกมัน

เฟอเรททั้งสองตัวนี้ยังคงเป็นตัวเล็กๆ เท่าฝ่ามือเท่านั้น มีขนสีขาวราวกับหิมะทั่วทั้งตัว ดวงตาเล็กๆ สีดำมืดของพวกมันจ้องไปที่สิ่งที่กระจัดกระจายในกรง บางครั้งก็หยุดและหันหน้าไปส่งเสียง ‘จิ๊ดๆ’ ใส่หู่จือที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็วิ่งไปรอบๆ ต่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้ แบล็คไนฟ์จึงถอนหายใจและพูดอย่างจนปัญญาว่า “ผมคิดว่าจะเจออะไรบางอย่างซะอีก นี่เป็นเฟอเรทสีขาวบริสุทธิ์ มันเป็นสัตว์เลี้ยงธรรมดาทั่วไป น้องชายของผมก็เลี้ยงไว้ในบ้านหนึ่งตัว เจ้าตัวเล็กนี้น่ารักมาก แต่ความจริงๆ แล้วสุนัขไม่ชอบพวกมัน”

ฉินสือโอวเข้าใจว่าหู่จือและเป้าจือพบเฟอเรทแค่สองตัวเท่านั้น จึงรู้สึกเจ็บใจเช่นกัน เฟอเรทเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่พบได้มากที่สุดในครอบครัวชาวอเมริกันและแคนาดา ว่ากันว่าตอนนี้มีเฟอเรทมากกว่าสิบล้านตัวที่เลี้ยงในทวีปอเมริกาเหนือ จำนวนสัตว์เลี้ยงในบ้านกำลังจะเกินกว่าจำนวนแมวแล้ว

เมื่อเห็นฉินสือโอวเข้ามา หู่จือที่อยู่ในห้องก็กระโดดตรงขึ้นไปบนโต๊ะ

สิ่งนี้ทำให้เฟอเรทตัวน้อยทั้งสองในกรงตกใจ พวกมันพยายามเบียดกันเข้าไปในมุมกรงจนไม่มีทางถอย จากนั้นก็รวมตัวกันและมองดูหู่จืออย่างน่าเวทนา

ฉินสือโอวจึงลากหู่จือออกไป แต่เมื่อเขามองเข้าไปในกรง เขาก็เห็นขนของเฟอเรทที่หล่นกระจัดกระจายบางส่วนก่อนหน้านี้ มีขนสีขาวเพียงครึ่งเดียวและครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำตาลไม่ก็ดำ

นอกจากนี้ การมองเห็นที่เฉียบแหลมของเขาก็แสดงความสามารถอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นร่องรอยของสีขาวตามฐานไม้ของกรง

แบล็คไนฟ์ไม่เข้าใจว่าเขาหยุดเดินทำไม จึงถามว่า “บอส เจออะไรใหม่ๆ เหรอครับ?”

ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไร แต่ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทันที เขานึกถึงท่าทางที่สงบเสงี่ยมของเบนสันและคนอื่นๆ เมื่อตอนที่หู่จือและเป้าจือเพิ่งจะเข้ามาและยังนึกถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนพวกนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามของหู่จือและเป้าจือ ทันใดนั้นเขาก็เดาบางอย่างขึ้นในใจทันที

เขาหันหน้ากลับมาแล้วถามแบล็คไนฟ์ว่า “นี่แบล็คไนฟ์ นายรู้ไหมว่าเฟอเรทสายพันธุ์ไหนหายากมากเป็นพิเศษ? หรือพวกมันมีสปีชี่ส์เดียวกันหรือสัตว์ที่หน้าตาคล้ายกัน…”

“เฟอเรทแบลคฟุต” แบล็คไนฟ์พูดอย่างเรียบง่าย

“อะไรนะ?” ฉินสือโอวได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้ง

“เฟอเรทแบลคฟุตสายพันธุ์นี้หาได้ยากมาก เรียกได้ว่าเป็นแพนด้ายักษ์ในอเมริกาเหนือ จริงๆ แล้วจำนวนของพวกมันมีน้อยกว่าแพนด้ายักษ์ซะอีก ในป่าพวกมันอาจจะมีแค่สิบกว่าตัวเท่านั้นและการขยายพันธุ์เทียมก็มีไม่ถึงห้าร้อยตัว” แบล็คไนฟ์อธิบาย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมาทันที เขาลูบเจ้าตัวน้อยทั้งสองในกรงเบาๆ แล้วพูดว่า “อาบน้ำให้พวกมัน ฉันคิดว่าเราเจอเฟอเรทแบลคฟุตสองตัวแล้ว!”

ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ใช่พ่อค้ายาเสพติด งั้นก็เป็นผู้ลักลอบค้าของเถื่อน อาชญากรรมทางทะเลมีเพียงสองประเภทนี้เท่านั้นที่พบบ่อยที่สุด แต่การลักลอบค้าของเถื่อนมีความหลากหลายมากและการลักลอบค้าสัตว์และพืชหายากก็เป็นหนึ่งในนั้น

ฉินสือโอวให้แบล็คไนฟ์ยกอ่างน้ำมา เขาจับเจ้าเฟอเรทตัวเล็กสองตัวใส่ลงในน้ำอุ่น เฟอเรทไม่กลัวน้ำ ดังนั้นหลังจากเอาลงในน้ำแล้วพวกมันจะดิ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมพวกมันทันที จากนั้นก็ใช้เจลอาบน้ำและสบู่ทำความสะอาดให้พวกมันอย่างเกลี้ยงเกลา

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท