ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1220 เรือสำรวจ

บทที่ 1220 เรือสำรวจ

นิสัยการกินอาหารของเฟอเรทค่อนข้างหลากหลาย พวกมันสามารถกินเนื้อสัตว์จำพวกสัตว์ปีกได้ทั้งหมด ฉินสือโอวจึงหั่นเนื้อไก่ให้พวกมันสองสามชิ้น เฟอเรทผู้น้องกินอาหารด้วยท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก เฟอเรทผู้พี่ดมเนื้อไก่สองสามที จากนั้นก็เดินถอยหลังไปสองก้าว

เนื้อไก่นี้เป็นของลูกไก่ตัวผู้ เฟอเรทแบลคฟุตเป็นสัตว์ที่มีประสาทสัมผัสต่อกลิ่นค่อนข้างไว พวกมันจึงสามารถแยกแยะได้ เพราะว่าสาเหตุมาจากการต่อสู้กับไก่ เฟอเรทผู้พี่จึงไม่กล้าที่จะกินเนื้อไก่ตัวผู้อีก

ฉินสือโอวไม่เข้าใจสาเหตุของมัน เขาหั่นเนื้อแกะออกมานิดหน่อย แบบนั้นเฟอเรทผู้พี่จึงรีบเข้ามากิน พวกมันเคี้ยวอาหารจนเต็มปาก

วินนี่เตรียมน้ำเย็นไว้ให้พวกมัน หลังจากนั้นที่พวกมันทั้งสองตัวกินเสร็จแล้วก็มาดื่มน้ำ ไม่นานท้องเล็กๆ ของพวกมันก็พองขึ้น หลังจากนั้นพวกมันก็เงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบๆ พวกมันหมุนตัวแล้วนอนลงบนพรม เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน

ตั้งแต่ออกมาจากเรือขนสินค้า พวกมันก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเลยแม้แต่น้อย สองวันก่อนหน้านี้พวกมันทั้งหิวทั้งเหนื่อยและก็หวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้

ฉินสือโอวไปหาหมอนขนห่านมา จากนั้นก็ฉีกหมอนออกเพื่อทำเป็นรังให้เฟอเรทแบลคฟุตทั้งสองตัว วินนี่บอกว่าอีกไม่นานอากาศก็จะเปลี่ยนเป็นร้อนแล้ว พวกมันจะนอนหลับในที่ที่ร้อนขนาดนี้ได้อย่างไร? ปรากฏว่าหลังจากที่เห็นหมอนใบนี้ เฟอเรทสองพี่น้องก็พุ่งตัวเข้าไปอย่างดีใจ หลังจากที่หาท่านอนที่สบายได้แล้วพวกมันก็เริ่มเคลิ้มหลับไป

คนบนเรือขนสินค้าไม่ได้สนใจพวกมันสองตัว เฟอเรทน้อยตัวอ้วนกลม ส่ายหางที่มีขนสีดำไปมาเบาๆ ท้องของพวกมันกระเพื่อมไปมาเป็นจังหวะ หลังจากที่หลับไปแล้วพวกมันก็กรนออกมา

พวกกระรอกดินแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา เจ้าโง่สองตัวนี้ยังคิดที่จะกินพวกมันอีก ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!

สองวันถัดมาหมอกยังคงลงหนักอย่างต่อเนื่อง ที่นครเซนต์จอห์นไม่มีลมมืดครึ้ม แต่ก็ไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากหมอกที่ยังคงอยู่เป็นเวลานาน ทำให้สนามบินภายในนครเซนต์จอห์น ท่าเรือและถนนหนทางหยุดการคมนาคมชั่วคราวทั้งหมด ทั่วทั้งเมืองเกือบจะเป็นอัมพาต

ในช่วงที่หมอกลงหนามากที่สุด จะไม่สามารถมองเห็นสัญญาณจราจรบนถนนได้เลย ในตอนแรกการคมนาคมของนครเซนต์จอห์นยังคงมีการเตรียมการให้ตำรวจจราจรมาจัดการ ปรากฏว่าผ่านไปครึ่งวันมีนายตำรวจห้านายได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พวกเขาทำได้เพียงให้พวกตำรวจจราจรกลับไป และปิดทางแยกทั้งหมด

ท่าเรือถูกปิดเช่นกัน แต่ว่าบนทะเลยังคงมีเรือจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ฟาร์มปลาต่างๆ

โดนัลด์และชาวประมงคนอื่นๆ พากันโทรหาฉินสือโอวอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาถามว่าในฟาร์มปลามีการขโมยปลาหรือไม่ โดนัลด์พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ตอนนี้ที่ฟาร์มปลาของผมมีแต่เรือขโมยปลา น่าฆ่าให้ตายเสียจริง ขอให้พระเจ้าสาปแช่งพวกมัน ทำไมพวกมันไม่ชนกันเองไปเลยล่ะเนี่ย?”

ฉินสือโอวพูดปลอบใจว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ เพื่อน ฟาร์มปลาของฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ความสูญเสียของพวกเราตอนนี้ไม่ใช่น้อยๆ แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ อย่าไปสนใจนักเลย”

เจ้าของฟาร์มปลาต่างพากันโทรมาเพราะความโกรธ แต่นั่นกลับทำให้ฉินสือโอวมีวิธีการจัดการแบบใหม่ เมื่อก่อนเขาไม่กล้าปล่อยให้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏตัวที่น่านน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินมากจนเกินไป นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน ตอนนี้ที่ทะเลมีหมอกลงจัดขนาดนี้ อีกอย่างฟาร์มปลาของเขาก็มีเรือขโมยปลาเข้ามาจำนวนไม่น้อย ทำถึงไม่ปล่อยให้เรือผีโจมตีเสียล่ะ?

เรือผีจำเป็นที่จะต้องปรากฏตัวที่น่านน้ำอื่นๆ ด้วย เพื่อสร้างผลลัพธ์อันลึกลับและคาดการณ์ไม่ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ให้บีบีซวงและออสเปรเตรียมตัวออกไป เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์กำลังจะออกเดินทางอีกครั้ง

ดังนั้น เมื่อหมอกค่อยๆ จางลง ตำนานของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือจึงถูกกล่าวขานขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นอกจากเรือผีแล้ว ยังมีร่องรอยของคราเคนปีศาจยักษ์แห่งมหาสมุทรทางตอนเหนืออีกด้วย

ภายในสองวันครึ่ง เรือประมงแปดลำเข้ามาใกล้น่านน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินอย่างต่อเนื่อง ฉินสือโอวทำได้เพียงถอนหายใจ ฟาร์มปลาของเขายังคงมีชื่อเสียงอยู่จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายขนาดนี้

เรือประมงสองลำจากแปดลำเข้ามาใกล้เขตการตกปลาของฟาร์มปลา ฉินสือโอวไม่ได้สนใจพวกเขา เรือประมงที่เหลืออีกหกลำได้แล่นผ่านคราเคนไปแล้วสี่ลำ อีกสองลำที่เหลืออยู่ก็ถูกขับไล่โดยเฮลิคอปเตอร์

เรือสี่ลำที่เจอเข้ากับคราเคน ทำให้ตำนานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปได้ ไม่นานข่าวการปรากฏตัวของคราเคนที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือก็ได้แพร่กระจายไปยังท่าเรือหลายแห่งทั่วแคนาดาตะวันออก

ข่าวแบบนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังเว็บไซต์หลายแห่ง และทำให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับเริ่มรายงานข่าวนี้อีกครั้ง

สถานีโทรทัศน์เซนต์จอห์นยังมีการนำเสนอรายการพิเศษเพื่อแนะนำคราเคนแห่งมหาสมุทรทางตอนเหนือนี้โดยเฉพาะ ตามตำนานเก่าแก่ คราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเป็นสัตว์ร้ายที่มีขนาดยาวหลายร้อยเมตร ในตอนที่พวกมันโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ กะลาสีบางคนเข้าใจผิดว่ามันเป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง และคิดแม้กระทั่งว่าจะขึ้น ‘เกาะเล็กๆ’ เกาะนี้ พวกเขาตั้งแคมป์บนตัวของมัน ปรากฏว่าเมื่อมันดำลงทะเลไปศพของทุกคนก็ลงสู่ท้องทะเลไปด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาทางทะเลที่ถูกรับเชิญมาในรายการพูดขึ้นมาอย่างเย้ยหยันว่า “คราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเป็นเพียงตำนานเท่านั้น มันไม่มีอยู่จริง! เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น! แม้ว่าจะเป็นราชาปลาหมึกก็เป็นไปไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีราชาปลาหมึกตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ถ้ามีแล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ? พวกเราต่างก็รู้ว่าสัตว์ตัวใหญ่ที่มีร่างกายอ่อนนิ่มจะสามารถอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่ที่มีความดันสูงเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกมันจะสามารถขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วโจมตีผู้คนได้เลย พวกมันสามารถอยู่บนผิวน้ำโดยที่พวกมันไม่ตายก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว!”

ชาร์คที่ดูรายการโทรทัศน์ด้วยกันส่ายหัวอย่างดูถูก พลางพูดขึ้นว่า “ช่างงี่เง่าจริงๆ ตัวเองไม่เคยเจอก็เลยคิดว่ามันไม่มีอยู่จริงเหรอ? น่าหัวเราะจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญของประเทศเราแต่ละคนเป็นอะไรกันไปหมด”

ฉินสือโอวมองเขาด้วยความตกใจ แล้วพูดขึ้นว่า “นายเชื่อเรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือเหรอ?”

ชาร์คยังคงส่ายหัวต่อไป เขาตอบว่า “ไม่ ผมไม่เชื่ออยู่แล้ว มันต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ!”

ฉินสือโอวถูกชาร์คทำให้สับสน เขาพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “งั้นความเห็นของนายกับผู้เชี่ยวชาญก็เหมือนกันน่ะสิ ในเมื่อนายไม่เชื่อ แล้วนายไปตัดสินความคิดเห็นของเขาทำไม?”

ชาร์คตอบกลับว่า “ความเห็นของผมไม่เหมือนกับเขา ผมไม่เชื่อเรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือ สิ่งที่เขาไม่เชื่อคือเรื่องที่ชาวประมงเจอเข้ากับสัตว์ประหลาดตัวนี้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เชื่อว่ามีคราเคนอยู่ แต่ผมเชื่อว่ามีใครบางคนสร้างสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับคราเคนขึ้นมา”

ในใจของฉินสือโอวมีสัญญาณเตือนดังขึ้นมา เขาไม่สามารถทำเหมือนว่าทุกคนบนโลกนี้โง่ได้ แม้แต่ชาร์คยังมีการคาดเดาแบบนี้ เขากลัวว่าคนอื่นๆ ก็จะคิดแบบเดียวกัน ต่อไปเขาต้องไม่ใช่คราเคนปรากฏตัวออกมาสักพัก

บลูก็พยักหน้าพลางพูดว่า “ใช่แล้ว เพื่อน ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน อีกอย่างฉันยังคิดว่า เรื่องคราเคนแห่งมหาสมุทรตอนเหนือในครั้งนี้ น่าจะเป็นการทดสอบอุปกรณ์ของโซเวียต เหมือนกับสัตว์ประหลาดในทะเลก่อนหน้านี้!”

“ยังมีชาวโซเวียตอยู่อีกเหรอ! สหภาพโซเวียตล่มสลายไปตั้งนานแล้ว!” ชาร์คพูดออกมาด้วยความรำคาญ “นายเดาได้ไม่ใกล้เคียงเลย ฉันเดาว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว! นายดูสิ หมอกหนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยว่าไหม? ฉันกล้าพนันเลยว่า เป็นมนุษย์ต่างดาวที่สร้างหมอกขึ้นมาเพื่อปิดบังตัวตน”

ฉินสือโอวก้มหัวลงเงียบๆ เขารู้สึกว่าตัวเขาต้องประเมินพวกชาร์คให้สูงกว่านี้ แบบนี้ไม่ได้เป็นการดูถูกวีรบุรุษของโลก แต่เป็นการประเมินพวกขี้ขลาดสูงขึ้น

หลังจากที่อากาศปลอดโปร่ง ทันใดนั้นเรือหลายลำก็ปรากฏขึ้นที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ ฟาร์มปลาต้าฉินก็มีเรือประมงปรากฏขึ้นเหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกเรือท่องเที่ยวลำเล็กๆ ไม่เหมือนเรือขโมยปลาพวกนั้น

ฉินสือโอวและเบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์เข้าไปใกล้ๆ พวกเขาพบว่านักท่องเที่ยวบนเรือเหล่านั้นกำลังถือกล้องถ่ายรูปหรือกล้องบันทึกวิดีโอพวกนั้น ราวกับมาที่นี่เพื่อทัศนศึกษาก็ไม่ปาน

ผู้คนในเมืองยังคงล่องเรือมายังฟาร์มปลาอยู่บ่อยครั้ง ฉินสือโอวถามพวกเขาว่ามาทำอะไรด้วยความสงสัย มีคนหัวเราะหึหึออกมาแล้วตอบว่า “ตอนนี้คุณไม่ได้บอกเหรอว่าที่น่านน้ำของคุณมีทั้งเรือผีและก็สัตว์ประหลาดอยู่? นักท่องเที่ยวสนใจมากเลยนะ พวกเราได้พัฒนาโครงการการท่องเที่ยวใหม่แล้ว การสำรวจทะเลลึก!”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริงๆ!”

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท