ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1227 บอลลูนปลิวว่อน

บทที่ 1227 บอลลูนปลิวว่อน

ตอนที่กำลังทานอาหารกันอยู่ ฉินสือโอวถามออกมาว่า “พวกคุณคิดว่าพวกเราจำเป็นต้องออกอากาศหาเสียงทางโทรทัศน์ด้วยหรือไม่?”

วินนี่และเออร์บักต่างมองเขาด้วยความตกตะลึง

ฉินสือโอวพูดความคิดของเขาออกมาว่า “พวกเราสามารถทำรายการที่เป็นสาธารณประโยชน์ได้ ให้วินนี่เป็นพิธีกร พูดเรื่องการปกป้องฟาร์มปลา ปกป้องนิเวศวิทยา ปกป้องเด็กอะไรพวกนั้น พวกคุณว่าเป็นอย่างไร?”

เออร์บักพูดออกมาว่า “นายอยากให้วินนี่เข้าร่วมการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไปเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ นายกเทศมนตรีก็พอแล้ว”

เออร์บักใช้ผ้าเช็ดปากเช็ดปากตัวเองแล้วพูดออกมาว่า “โอเค ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ไม่ต้องสนใจหรอก ที่เหลือให้ฉันกับวินนี่จัดการเองก็พอแล้ว”

คำพูดเหล่านั้นของทนายสูงอายุทำร้ายจิตใจของฉินสือโอวมาก หมายความว่าอย่างไรกัน ภรรยาของเขาเข้าร่วมการเลือกตั้ง จะไม่ให้เขาสนใจงั้นเหรอ? แล้วถ้าเขาไม่สนแล้วใครจะสนล่ะ?

เมื่อทานอาหารเสร็จ ฉินสือโอวก็พาสองพี่น้องเฟอเรท ไปที่โซฟาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

สองสามวันมานี้พวกมันทั้งสองตัวใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย กินอิ่มแล้วก็ไปหาที่นอนสบายๆ ไปวันๆ ตอนนี้พวกมันคุ้นชินกับที่นี่แล้ว วันนี้เมื่อทานอาหารเย็นอิ่ม พวกมันก็อยากจะกลับไปที่รังเพื่อนอนหลับ ปรากฏว่าถูกฉินสือโอวอุ้มออกมา พวกมันจึงทำได้เพียงหาวออกมาอย่างไม่พอใจ

ฉินสือโอวแสดงท่าทีเคร่งขรึมใส่เจ้าสองตัวนั้น หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “การเลือกตั้งกำลังจะเริ่มเร็วๆ นี้แล้ว วินนี่และตาแก่เออร์บักไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเขาประเมินศัตรูต่ำเกินไป ใช่ไหม?”

สองพี่น้องเฟอเรทยังคงหาวอยู่เหมือนเดิม มันกลอกตามองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีกลับไปยังรังๆ นุ่มของพวกมัน

ท่าทางของพวกมันทำให้ฉินสือโอวไม่พอใจมาก พวกมันและวินนี่ รวมถึงเออร์บักมีท่าทีต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ต่างกันอย่างไร? เขาไม่สามารถจัดการกับวินนี่และเออร์บักได้ นี่ยังไม่สามารถจัดการกับพวกมันสองตัวได้อีกเหรอ?

ฉินสือโอวหันกลับมามองลูกสาวที่กำลังคลานไปทั่วพื้น เขาอุ้มเธอขึ้นมาวางไว้ที่ด้านหน้าสองพี่น้องเฟอเรท แล้วพูดกระตุ้นว่า “ไป เถียนกวา ไปเล่นกับพวกมันสิ!”

สองพี่น้องเฟอเรทไม่เคยเห็นถึงความร้ายกาจของเสี่ยวเถียนกวา พวกมันชะล่าใจ หลังจากนั้นพวกมันก็ถูกเสี่ยวเถียนกวากอดเข้าไปในอ้อมอก จากนั้นเธอก็หยิบพวกมันเข้าปาก

เรื่องนี้ทำให้พวกมันทั้งสองตัวตกใจมาก พระเจ้า นี่จะถูกกินจริงๆ เหรอเนี่ย? ช่วยด้วย หากมีเรื่องก็ค่อยๆ คุยกัน ไม่เห็นเอะอะก็ให้อาวุธนิวเคลียร์มากินพวกมันเลย!

ฉินสือโอวจัดการพวกมันออกมา สองพี่น้องเฟอเรทเป็นคนซื่อสัตย์ พวกมันนอนลงข้างหน้าฉินสือโอวพลางขมวดคิ้ว เขาว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นแหละ

หลังจากที่แกล้งเจ้าสองตัวนั้นอยู่สักพัก ฉินสือโอวก็ปล่อยให้พวกมันไปหลับ ส่วนเขาก็หยิบไอแพดขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ตและเริ่มหาตัวช่วยในการหาเสียง

เมื่อก่อนที่เข้าร่วมการหาเสียงของแฮมเล็ต แม้ว่าฉินสือโอวจะไม่ได้รับประสบการณ์ทั้งหมด แต่ก็ยังดีที่เขาได้เข้าร่วมในส่วนที่สำคัญ ทำให้เขามีความเข้าใจในการหาเสียงในบางเรื่อง

ตอนนี้มีตามแผนที่ในที่ต่างๆ ได้มีการทำการหาเสียงแบบต่างๆ ไปแล้ว ต่อไปต้องทำการจู่โจมไปยังพื้นที่ที่สำคัญ ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ จึงไม่เหมาะที่จะโฆษณาทางโทรทัศน์ งั้นก็ซื้อบอลลูนสักลูกแล้วกัน ปล่อยให้มันลอยขึ้นจากเมือง แบบนี้ทุกคนก็จะสามารถเห็นมันได้

เขาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผู้ผลิตบอลลูนที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ดูจากคำแนะนำแล้วเป็นบอลลูนที่นำเข้ามาจากตุรกี คุณภาพของมันค่อนข้างน่าเชื่อถือ

บอลลูนแบ่งออกมาเป็นสี่ประเภทหลักๆ ได้แก่ ประเภทเอเอ เอเอ็กซ์ เอเอ็ม และเอเอส

ในทุกประเภท ประเภทเอเอจะเต็มไปด้วยก๊าซที่เบากว่าอากาศเช่นไฮโดรเจนหรือฮีเลียม ถุงลมนิรภัยไม่ได้ปิดไว้อย่างมิดชิด และไม่มีอุปกรณ์ทำความร้อน ถุงลมนิรภัยของบอลลูนประเภทเอเอ็กซ์เต็มไปด้วยอากาศ อากาศถูกทำให้ร้อนจากอุปกรณ์ทำความร้อน ทำให้น้ำหนักเบาและลอยตัวขึ้นได้ จึงถูกเรียกว่าบอลลูน บอลลูนประเภทเอเอ็ม เต็มไปด้วย ‘อากาศเบาบาง’ และเครื่องทำความร้อน ส่วนบอลลูนประเภทเอเอส เต็มไปด้วย ‘อากาศเบาบาง’ ถุงลมนิรภัยแบบปิด เนื่องจากมันเคลื่อนขึ้นสูงด้วยการควบคุมการเติมอากาศ ดังนั้นมันจึงมักจะถูกใช้ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

หนึ่งในสี่บอลลูนเหล่านั้น แนวโน้มที่ฉินสือโอวคิดว่าดีที่สุดคือประเภทเอเอ็ม เพราะว่าในระดับคุณสมบัติเดียวกันบอลลูนประเภทนี้มีราคาแพงที่สุด ของที่แพงที่สุดจึงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่มันก็การันตีได้ว่าต้องดีกว่าของราคาถูกแน่นอน

บอลลูนประเภทเอเอ็มมีอีกชื่อเรียกว่าบอลลูนโรเซล เขาคือนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่สิบแปด โรเซลเป็นผู้คิดค้นและบุกเบิกบอลลูน จึงได้ใช้ชื่อของเขามาเป็นชื่อของบอลลูน แต่ว่าเมื่อถึงช่วงศตวรรษที่สิบเก้า คาเมรอนผู้เชี่ยวชาญด้านบอลลูนก็ได้ปรับปรุงมันให้ดียิ่งขึ้น เทคโนโลยีของบอลลูนประเภทนี้จึงพัฒนามาจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

บอลลูนโรเซลใช้ถุงลมนิรภัยสองชั้น ข้างในถุงลมนิรภัยเป็นบอลลูนฮีเลียม อากาศถูกเติมเข้าไประหว่างถุงลมนิรภัยทั้งสองชั้น ส่วนเตาจุดไฟถูกติดตั้งไว้ที่ด้านล่าง

ดังนั้นในระหว่างการบิน บอลลูนฮีเลียมจะสามารถรักษาระดับการลอยตัวให้คงที่ได้เสมอ นอกจากนี้ ในช่วงกลางวันยังสามารถใช้แสงแดดในการเพิ่มความร้อนของอากาศที่อยู่ระหว่างถุงลมนิรภัยทั้งสองชั้นได้ด้วย เป็นการเพิ่มแรงในการลอยตัว ส่วนในตอนกลางคืนก็ค่อยเปิดเตาเผาทำความร้อน

บอลลูนที่ฉินสือโอวต้องการซื้อคือบอลลูนเอเอ็มเจ็ด ชื่อรุ่นคือ ‘อาร์เกนเจอร์ เอฟทู เจเนเรชั่น’ มันไม่เหมือนบอลลูนธรรมดาทั่วไป ที่นั่งสำหรับนั่งคือตะกร้าใหญ่ใบหนึ่ง บอลลูนชนิดนี้มีห้องแรงดันประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการปิดผนึกอย่างแน่นหนาถังแรงดันทำจากกระจกนิรภัย มันทำลายไม่ได้แต่ว่าก็โปร่งใสมาก

สิ่งที่ดึงดูดฉินสือโอวไม่ใช่เรื่องที่ว่าบอลลูนนั้นหรูหรามากขนาดไหน แต่บอลลูน ‘อาร์เกนเจอร์’ มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีมาก มีประกันภัยสองชั้น หากก๊าซฮีเลียมรั่วไหลระหว่างทำการบิน บอลลูนลูกนี้ก็จะสามารถเปลี่ยนมาเป็นบอลลูนแบบดั้งเดิมได้ ทั้งหมดของบอลลูนลูกนี้อาศัยเพียงแค่ความร้อนในการรักษาระดับความสูง

แต่หากเกิดการรั่วไหลที่มากขึ้น ไม่สามารถควบคุมความสูงได้ บอลลูนก็จะทำหน้าที่เป็นร่มชูชีพ มันจะควบคุมความเร็วให้อยู่ที่ห้าเมตรต่อวินาที ถ้าหากว่าสถานการณ์ยังคงแย่ลง ก็มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น ถังแรงดันสามารถแยกออกจากตัวบอลลูนได้ การรับประกันสูงสุดคือการรับประกันความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ฉินสือโอวดูคำแนะนำ ในการลอยไปทั่วโลกในแต่ละครั้ง บอลลูนชนิดนี้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วสองครั้งเท่านั้น นั่นคือในเดือนธันวาคมปี 1998 และเดือนมีนาคม ปี 2009 ทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีผู้เสียชีวิต ถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูงมาก

หลังจากดูคำแนะนำ และหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบอลลูนนี้แล้ว เขาก็พบว่าบอลลูนนั้นเหมือนกับคอมพิวเตอร์ เนื่องจากว่ามันสามารถเอามาประกอบกันได้ คุณสามารถซื้อลูกบอลลูน ตะกร้าแขวน ถังนิรภัย เตาเผา ระบบเชื้อเพลิง ระบบการเชื่อมโยง เครื่องเป่าลมและอื่นๆ มาประกอบเองได้ ขอเพียงไม่กลัวตาย ก็ทำเองได้เลย

ฉินสือโอวไม่ประกอบเองแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเขากลัวตาย แต่ว่าเขาไม่เข้าใจมัน เขาดูบอลลูนของโรเซลรุ่นอาร์เกนเจอร์เอฟทูดีแล้ว ราคาทั้งชุดอยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นแปดพันดอลลาร์ เป็นบอลลูนที่แพงที่สุดในบอลลูนประเภทเดียวกัน

บอลลูนประเภทเอเอ็กซ์ธรรมดา ปกติแล้วราคาจะอยู่ที่ระหว่างห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนดอลลาร์ บอลลูนโรเซลนั้นแพงที่สุด เพราะว่าหน้าที่ของมันคือการเดินทางรอบโลกเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตเบียร์ ‘บัดไวเซอร์’ ที่จัดงานแข่งขันบอลลูนเพื่อชิงถ้วยบัดไวเซอร์เวิร์ดทัวร์เป็นประจำทุกปี ผู้เข้าแข่งขันก็จะเลือกใช้บอลลูนประเภทนี้

บริษัทผลิตบอลลูนที่มอนทรีออลแห่งนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทผลิตเบียร์บัดไวเซอร์ ฉินสือโอวซื้อบอลลูนหนึ่งชุด เขาจึงมีคุณสมบติในการเข้าแข่งขันในปีนี้ทันที และการแข่งขันจำเป็นจะต้องจบภายในวันที่สามสิบเอ็ดของเดือนธันวาคมปีนี้

เมื่อสั่งสินค้าไปแล้ว ก็มีคนโทรเข้ามาหาฉินสือโอว และแนะนำตัวเองทันที “คุณฉิน สวัสดีครับ ผมชื่อจอห์นสัน เอริคผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์บริษัทบอลลูนอาร์เกนเจอร์ สปอร์ตจำกัด คุณสั่งซื้อบอลลูนเอเอ็มรุ่นอาร์เจนเกรอ์เอฟทูหนึ่งชุดใช่ไหมครับ? ไม่ทราบว่ามีข้อสงสัยหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมไหมครับ?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ผมไม่มีข้อสงสัยครับ ส่วนความต้องการผมมีอยู่หนึ่งข้อ รีบส่งมาให้ผมด่วนเลยครับ!”

จอห์นสัน เอริคนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คาดว่าเขากำลังคำนวณเวลาอยู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “พรุ่งนี้จะไปส่งให้คุณฉินประมาณบ่ายสองโมงครับ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกหรือไม่ครับ?”

“สะดวกครับ” ความเร็วในการตอบกลับนั้นเร็วพอสมควร

เมื่อสั่งซื้อบอลลูนแล้ว ฉินสือโอวก็มาครุ่นคิดอีกที จากนั้นเขาก็รีบโทรหาโรงพิมพ์ใหญ่ที่สุดในนครเซนต์จอห์นทันที เขาสั่งให้โรงพิมพ์ทำแบนเนอร์ขนาดยาวพิเศษ เรื่องนี้ต้องรีบกว่า เขาถามว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะทำเสร็จ อีกฝ่ายบอกว่าเร็วเท่าที่เงินจะถึง ดังนั้นแบนเนอร์นี้จึงเสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง!

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท