ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1242 ประชุม

บทที่ 1242 ประชุม

‘เกิดเหตุฆาตกรรมครั้งใหญ่ที่โรงยิมปลาค็อด แต่ผู้ก่อเหตุกลับเป็นปีศาจน้ำ’ ‘หนังสือพิมพ์กีฬาเซนต์จอห์น’ พาดหัวข่าวนี้ในการเขียนข่าวเกี่ยวกับการแข่งรอบชิงชนะเลิศของนักเรียนชั้นประถมปีที่สี่ถึงหก

“นี่คือการถ่ายทอดรายการข่าวกีฬาของเซนต์จอห์น อันดับแรกจะเป็นการรายงานข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันบาสเกตบอลรอบชิงชนะเลิศของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ถึงหก โรงเรียนประถมแกรนท์ได้รับถ้วยรางวัลสำหรับผู้ชนะอันดับหนึ่ง ชนะโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อไปในคะแนน 85-50 ในคะแนนนี้หัวหน้าทีมของโรงเรียนประถมแกรนท์มิเชล เออร์บักได้ทำคะแนนไป 52 คะแนนในการเข้าสนามไป 48 นาที โดยทำรีบาวด์ 12 ครั้ง และแย่งบอลได้ 8 ครั้ง…”

อย่างไรเสียก็เป็นเพียงการละเล่นระหว่างพวกเด็กๆ แม้ว่าจะเป็นการแข่งรอบชิงชนะเลิศก็เถอะ แต่การรับชมจากคนภายนอกก็ยังไม่มากนัก สำนักข่าวท้องถิ่นก็มีเพียงหนังสือพิมพ์กีฬากับช่วงข่าวกีฬาภาคค่ำเท่านั้นที่มาทำข่าว หัวข้อข่าวที่เขียนโดยสำนักข่าวเหล่านั้นค่อนข้างเกินจริง การบรรยายข่าวก็ธรรมดาเกินไป

ในความเป็นจริงแล้วการแข่งขันไม่ได้อันตรายขนาดนั้น และไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นด้วย โรงเรียนประถมแกรนท์ใช้การแข่งขันครึ่งแรกในการเอาชนะคู่แข่ง มิเชลลงสนามครึ่งแรกไป 24 นาทีก็ทำคะแนนจากการชู้ตและชู้ตจุดโทษได้ถึง 34 คะแนน ส่วนทางโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อนั้นลูกทีมทั้งหมดรวมกันกลับทำคะแนนได้ไม่ถึง 30 คะแนนเลยด้วยซ้ำ

หลังจากเขาทำคะแนนจากการแสลมดังก์ได้สำเร็จแล้ว นักกีฬาของโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อก็ลนลานกันขึ้นมาทันที พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่าคู่แข่งที่พวกเขากำลังเจออยู่นั้นน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก

ในการแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพมีข้อเท็จจริงอยู่สองประโยค ประโยคแรกก็คือยิ่งใกล้ห่วงบาสเท่าไรก็ยิ่งเอาชนะได้ง่ายเท่านั้น อีกประโยคคือบาสเกตบอลเป็นกีฬาสำหรับห้าคน เป็นกีฬาสำหรับทีม

แน่นอนว่านี่คือข้อเท็จจริงในการแข่งระดับมืออาชีพ ดังนั้นจึงไม่มีผลกับการแข่งขันของโรงเรียนประถม อย่างน้อยแค่มิเชลคนเดียวก็ทำลายข้อเท็จจริงข้อที่สองนั้นไปได้แล้ว

เขาทำคะแนนสามแต้มในสนามได้อย่างต่อเนื่องๆ ใช้การชู้ตสามแต้มระยะไกล ทำลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้สนิท และการโจมตีในแต่ละครั้งของเขายังเหมือนกับมีดแหลมคมที่ปักเข้าไปกลางอกคู่แข่ง ทำเอาพวกเขาเจ็บปวดแสบไปถึงทรวงอีก

มิเชลทำคะแนนระยะไกลด้วยสีหน้าที่แน่นิ่งและยังทำแต้มด้วยท่าที่ยากที่สุดได้อย่างสวยงาม ราวกับว่าบนตัวเขามีกลิ่นอายของปีศาจอยู่จริงๆ อย่างนั้น เขาได้ทำเอาคู่แข่งหน้าซีดเซียวไปตามๆ กันเลย

จบการแข่งขัน ฉินสือโอวให้มิเชลชูถ้วยสีทองที่เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ชนะอันดับหนึ่งขึ้น ตอนนี้นี่เองที่เจ้าตัวเพิ่งจะเผยสีหน้าดีใจที่เด็กควรจะมีออกมา แต่แม้ว่าจะในตอนนี้ รอยยิ้มของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความเขินอายและถ่อมตน

เมื่อได้ถ้วยรางวัลมาแล้ว ฉินสือโอวก็เดินส่ายไปมาโอ้อวดอยู่หน้ากัวซง แล้วพูดอย่างได้ใจว่า “ดูสิ ใครว่ากำลังใจทางจิตวิญญาณไม่ได้ผล? นี่ก็คือถ้วยรางวัลที่ได้มาจากกำลังใจนั่นล่ะ”

กัวซงเต็มไปด้วยสีหน้าแปลกใจ นายว่าอะไรน่ะ?

นักข่าวที่เข้ามาในสนามหลังจบการแข่งขันมาสัมภาษณ์ฉินสือโอว ท่านชายฉินก็พูดออกไปอย่างไม่เกรงใจใครว่า “ที่พวกเราได้รับรางวัลชนะเลิศนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วครับ เพราะพวกเรามีนักกีฬาที่ดีที่สุด และทีมที่ดีที่สุดด้วย ผมกล้าพูดได้ว่าในการแข่งขันบาสเกตบอลของโรงเรียนประถมในเซนต์จอห์นนั้น มิเชลอยู่ระดับหนึ่ง ที่เหลืออยู่อีกระดับหนึ่ง อนาคตของเขาก็คือ NBA เขาในวันนี้คือดวงดาวเจิดจ้าดวงใหม่ของวงการกีฬาในแคนาดา!”

ท่าทีของท่านชายฉินที่พูดคำพูดเหล่านี้นั้นเรียกได้ว่าน่าประทับใจดั่งขุนเขากับลำธารใหญ่ และรัศมีปกคลุมไปทั่วราวกับเสือคำราม แต่หลังจบการสัมภาษณ์แล้วคำพูดเหล่านี้ของเขากลับไม่ปรากฏอยู่บนทีวี และไม่ได้ปรากฏบนหนังสือพิมพ์ด้วย แม้กระทั่งบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่มีเช่นกัน

ให้ตายสิเซ็งจิตจริงๆ ท่านชายฉินผิดหวังแล้ว…

ไม่ว่าผู้ชมภายนอกจะเป็นอย่างไร แต่กีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนประถมแกรนท์นั้นได้รับความสนใจขึ้นมากอย่างน่าประหลาดใจ นี่ก็คือผลกระทบที่ได้จากการเป็นผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่ง

ส่วนโรงเรียนประถมแกรนท์ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเสียงและไม่มีสิทธิ์แม้แต่ขอยกเลิกการตั้งโรงเรียน เพราะข่าวเรื่องการได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ทำให้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง มีเด็กที่ชื่นชอบบาสเกตบอลทำเรื่องย้ายมาเรียนที่นี่จำนวนไม่น้อย เพียงเพื่อที่จะเข้าร่วมกับทีมนี้

มิเชลยังคงทำตัวไม่โดดเด่นเช่นเคย แต่เขาไม่ใช่คนเก็บตัวอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นคนมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่ยืนอยู่ในสนามนั้นเขาเต็มไปด้วยความอยากเอาชนะ เหมือนกับคำเตือนที่ฉินสือโอวบอกกับเขาไว้ว่า ต้องเป็นฉลาม!

กลางเดือนกรกฎาคม เหล่านักเรียนประถมปิดเทอม ฉินสือโอวกลับต้องไปร่วมงานประชุมลูกปลา

งานครั้งนี้จัดขึ้นที่ท่าเรือบาสก์ ซึ่งเป็นเมืองติดชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ และยังเป็นเมืองที่สำคัญรองลงมาจากน่านน้ำเซนต์จอห์นของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ในปัจจุบัน

พูดแล้วก็ทำเอาคนปวดใจยิ่งนัก ทะเลนิวฟันด์แลนด์ที่เคยเป็นถึงหนึ่งในสี่ฟาร์มปลาใหญ่ ในตอนนี้กลับกลายเป็นฟาร์มปลาร้าง จำนวนปลาที่เก็บเกี่ยวได้เยอะที่สุดยังมาจากอ่าวๆ เดียวอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในศตวรรษที่แล้วเลย

ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่ท่าเรือบาสก์ เขาให้เจนนิเฟอร์ช่วยจองโรงแรมให้ล่วงหน้าแล้ว เป็นโรงแรมห้าดาวแห่งเดียวในท่าเรือบาสก์ โรงแรมฮิลตัน

เมื่อลงจากเฮลิคอปเตอร์เดินเข้าไปโรงแรม กลับพบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง ผู้กำกับใหญ่คาเมรอน

เมื่อเห็นฉินสือโอว คาเมรอนทั้งดีใจและประหลาดใจ ดึงตัวเขาไว้แล้วถามว่า “คุณมาเพื่อส่งตัวนิมิตส์ให้ผมเหรอ?”

ฉินสือโอวถามอย่างงุนงงว่า “เริ่มถ่ายทำตั้งแต่ตอนนี้แล้วเหรอครับ? พวกคุณทำการถ่ายทำกันที่ท่าเรือบาสก์เหรอ?”

คาเมรอนส่ายหัวแล้วพูดว่า “แค่มาเก็บภาพเท่านั้น สถานที่ถ่ายทำจริงๆ อยู่ที่นิวยอร์ก คุณมาทำอะไรที่นี่? ไม่ได้มาส่งตัวนิมิตส์ให้ผมหรอกเหรอ?”

ไม่ต้องรอฉินสือโอวตอบ ผู้กำกับใหญ่มองดูสีหน้าของเขาแล้วก็ยักไหล่อย่างผิดหวัง แล้วพูดว่า “เอาเถอะ ดูท่าผมคงไม่ต้องรีบทำการถ่ายทำแล้วล่ะ”

ฉินสือโอวรู้สึกเสียใจเล็กน้อยจึงกล่าวว่า “ครั้งนี้ผมมาร่วมงานประมูลของกรมประมง รอผมเสร็จธุระแล้วจะรีบส่งนิมิตส์ไปให้นะ โอเค? ให้ส่งไปนิวยอร์กเลยหรือเปล่า?”

“ไม่ ไมอามี่ ส่งไปที่ไมอามี่ได้เลย ตอนนี้ทีมงานเอฟเฟกต์ของเราอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นคนทำภาพสามมิติให้กับนิมิตส์น่ะ” คาเมรอนพูดด้วยเสียงดีอกดีใจ

ทั้งสองคนต่างมีธุระต้องทำ จึงนัดทานข้าวเย็นแล้วก็จากกัน ฉินสือโอวโทรหาพวกของโดนัลด์ พวกเขาเองก็จะมาร่วมงานประมูลธุรกิจการประมงด้วย

โดนัลด์และพวกไม่ได้จองห้องพักที่โรงแรมฮิลตัน แต่เป็นโรงแรมระดับสามดาวแห่งหนึ่ง เมื่อได้รู้ว่าฉินสือโอวพักอยู่ที่โรงแรมฮิลตัน ทุกคนจึงพากันอิจฉาแล้วบอกว่านายนี่เป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ประสบความสำเร็จจริงๆ พวกเราเป็นกันมาหลายสิบปีแล้วก็ยังเทียบนายไม่ได้เลย

ฉินสือโอวพูดเล่นออกไปว่าเขาสามารถมอบพันธุ์ปลาให้ฟาร์มของพวกเขาได้นะ แค่นี้หลังจากนี้ไม่กี่ปีพวกเขาก็สามารถพักโรงแรมห้าดาวได้แล้ว

โดนัลด์และพวกฟังคำพูดนี้แล้วก็ตื่นตัวกันขึ้นมา เขาถามว่า “ฉิน นายพูดจริงใช่ไหม? ในงานประมูลครั้งนี้ นายจะเอาพันธุ์ปลาของนายมาออกประมูลด้วยเหรอ? ถ้าหากว่าจะขายจริงๆ งั้นฉันจะได้เตรียมเงินไว้ล่วงหน้า จะต้องเอาพันธุ์ปลาของนายมาอยู่ในมือให้ได้”

ฉินสือโอวบอกว่าเขาจะเข้าร่วมประมูลด้วยแน่นอน แต่ว่าจะเป็นพันธุ์ปลาประเภทไหนยังต้องดูสถานการณ์ของงานประมูลก่อน

ความจริงเขาไม่อยากนำลูกปลาของฟาร์มปลาตัวเองขายให้กับเพื่อนอย่างพวกโดนัลด์ เพราะเขารู้ว่าพันธุ์ปลาของตัวเองเป็นเพียงพันธุ์ธรรมดาเท่านั้น สิ่งที่ไม่ธรรมดาเป็นหญ้าทะเลและพลังโพไซดอนต่างหาก แต่คนที่ซื้อพันธุ์ปลาของเขาไปนั้นไม่มีของพวกนี้ ทำให้ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี

หลังจากเตรียมงานมาทั้งวัน ตอนเย็นงานประมูลก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ระยะเวลาจัดงานคือสองวัน เย็นวันนี้จะเป็นการแนะนำพันธุ์ปลากุ้งปูในปัจจุบันของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำการพูดคุยกันก่อน เมื่อมีสินค้าที่สนใจจะได้คุยเรื่องวิธีการเลี้ยงกันเป็นการส่วนตัวได้

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท