ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1245 ถึงตาฉันประมูลแล้ว

บทที่ 1245 ถึงตาฉันประมูลแล้ว

เช้าตรู่วันที่สอง งานประมูลลูกปลาได้เริ่มขึ้น

กรมประมงและรัฐบาลแคนาดาให้ความสำคัญกับงานประมูลนี้มาก เพราะการประมงเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศแคนาดาที่เกี่ยวพันถึงการงานของคนนับล้านและการบริโภคของคนนับสิบล้านเลย ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ธุรกิจรายได้หลักนี้แหละที่จะต้องทำผลงานออกมา

ดังนั้นรัฐบาลจึงทำการเชิญผู้สื่อข่าวจำนวนมากมาในงานประมูลนี้ด้วย เจ้าของฟาร์มปลาที่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้มีไม่ถึงสองร้อยคน แต่นักข่าวและช่างภาพจากทุกสำนักรวมกันมีถึงสี่ห้าสิบคน ถือว่ามีจำนวนเยอะมากทีเดียว

ตอนที่ฉินสือโอวเดินเข้าไปในงานนั้นราวกับเขาเป็นดาราดังเลย เขากับแซนเดอร์สกำลังคุยกันเรื่องปลายอดม่วงพันธุ์มินิอยู่ ทันใดนั้นกล้องถ่ายภาพทั้งหลายก็โผล่ออกมาทั้งสองข้างทาง เต็มไปด้วยแสงไฟสาดส่องเข้ามาทันที

แม้ว่าจะมีการเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ท่านชายฉินก็ยังตกใจกับภาพที่เห็น เขาลูบจมูกแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจออกมาว่า “ไม่ตายสิ รู้สึกว่าช่วงนี้ผมจะมีชะตาต้องกันกับนักข่าวเสียจริง อัตราการออกงานของผมนี่น่าจะเทียบได้กับดารารองแล้วหรือเปล่านะ?”

งานเลือกตั้งของวินนี่ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของโรงเรียนประถมแกรนท์ และงานประมูลลูกปลาในครั้งนี้ ล้วนก็มีนักข่าวเข้าร่วมด้วยทั้งนั้น

แซนเดอร์สวิเคราะห์แทนฉินสือโอวสักพัก แล้วพูดว่า “บอส ผมค้นพบจุดที่น่าสนใจมากจุดหนึ่ง คุณดูนะ ตอนที่เลือกตั้งนายกเทศมนตรี นักข่าวแทบไม่ได้สนใจคุณเลย ตอนงานแข่งขันคุณก็เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น แต่ตอนนี้คุณได้เป็นถึงพระรองแล้ว แล้วต่อไปล่ะ…”

“ไม่นะ ศาสตราจารย์ ผมในตอนนี้เป็นพระเอกหรือเปล่า?” ฉินสือโอวตอบกลับไปอย่างดีใจ

แซนเดอร์สยักไหล่แล้วพูดว่า “คุณแน่ใจเหรอครับ? ผมว่าพระเอกน่าจะเป็นแมทธิว จินนะ”

ฉินสือโอวคิดสักพัก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “คุณพูดถูก แมทธิวสิที่เป็นพระเอก”

“ไม่เป็นไรครับ หากปล่อยไปตามสถานการณ์ตอนนี้ ครั้งหน้าคุณต้องได้เป็นพระเอกแน่ อย่าท้อใจไปเลยครับ” แซนเดอร์สพูดปลอบใจเขา

ฉินสือโอวส่ายหัว แต่หลังจากนั้นเขาก็กลับมาพูดด้วยเสียงประหลาดใจว่า “เฮ้ย ผมจะท้อใจทำไม? ผมเป็นเจ้าของฟาร์มปลานะ ไม่ใช่ดาราสักหน่อย!”

สำหรับนักข่าวแล้ว ฉินสือโอวอาจจะไม่ใช่พระเอก แต่สำหรับเหล่าเจ้าของฟาร์มปลา ฉินสือโอวเป็นบุคคลหลักอย่างไม่ต้องสงสัยเลย หลังจากเขาเข้าไปในงานแล้วก็มีคนมาทักทายเขาไม่ขาดสาย แต่คนส่วนมากเหล่านั้นท่านชายฉินกลับไม่รู้จักพวกเขาเลย

ภายหลังแมทธิว จินมาถึง เขาทำการกล่าวเปิดก่อน จากนั้นค่อยเชิญพิธีกรสวมถุงมือขาวผู้ชำนาญการมาดำเนินงานประมูลต่อ

งานประมูลที่ฉินสือโอวเคยเข้าร่วมมาก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในทุกงาน เขาเป็นฝ่ายที่เสนอสินค้าออกประมูล ครั้งนี้แม้ว่าเขายังคงเป็นฝ่ายเสนอสินค้าออกประมูล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเขาจะเข้าร่วมการประมูลด้วย เพราะเขาได้เล็งผลิตภัณฑ์ทะเลไว้หลายอย่างเลย

แมทธิว จินกล่าวเปิดได้กระชับและแจ่มแจ้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และขั้นตอนของงานประมูลในครั้งนี้ คนต่างระดับกัน สิ่งของที่สนใจก็ไม่เหมือนกัน ฉินสือโอวรู้สึกว่างานประมูลแบบนี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการประมงของแคนาดาได้เยอะเลยทีเดียว

หน้าที่ของเจ้าของฟาร์มปลาคือการมาซื้อผลิตภัณฑ์ทะเลสายพันธุ์ต่างๆ เรื่องการขายลูกปลาลูกกุ้งลูกปูนั้นล้วนเป็นหน้าที่รองทั้งนั้น แต่ว่าก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ แต่เพราะพวกเจ้าของฟาร์มปลามีกำลังไม่เพียงพอ จำนวนลูกพันธุ์ที่ผลิตได้ในแต่ละปีก็มีจำนวนจำกัด

เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่พันธุ์ผลิตภัณฑ์ทะเลพวกนี้สามารถขายได้ในราคาสูง พวกเจ้าของฟาร์มปลาก็ยินดีที่จะทำแล้ว

สิ่งที่งานประมูลอุตสาหกรรมการประมงเสนอให้ก็คือเวทีนี้นั่นเอง วัตถุประสงค์ของงานประมูลนี้คืออะไร? แมทธิว จินพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า ก็คือโก่งราคา โก่งราคาของพันธุ์ผลิตภัณฑ์ทะเลขึ้นไป!

การโก่งราคานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ไม่เหมือนกับฟองสบู่ในเศรษฐกิจ ไม่เหมือนกับการโก่งราคาอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ทุกคนต่างไม่ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนทรัพยากรกัน ผลิตภัณฑ์ทางทะเลหลายชนิดจึงสามารถผลิตได้แค่ในบริเวณเล็กๆ เท่านั้น อีกอย่างสภาพที่อยู่อาศัยของพวกมันในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมที่สุด

การโก่งราคาพันธุ์ผลิตภัณฑ์ทะเล พวกเจ้าของฟาร์มปลามีหวังที่จะได้ผลประโยชน์ หนำซ้ำกำไรยังมากพอให้พวกเขาหวั่นไหวอีกด้วย จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะยอมนำพันธุ์ผลิตภัณฑ์ทะเลคุณภาพดีออกมาแบ่งปัน สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมการประมงของแคนาดาเลยทีเดียว

ในด้านนี้ทางประเทศจีนมีการจัดการได้ดีกว่า เพราะว่างานจำพวกนี้เป็นงานของรัฐบาล การนำเข้าพันธุ์ใหม่ พัฒนาพันธุ์ใหม่ จากนั้นค่อยนำมากระจายให้กับท้องถิ่น รัฐบาลลงเงินและทรัพยากรให้ ประชาชนเพียงรอรับผลประโยชน์ก็พอ

นี่คือข้อดีของระบบสังคมนิยม แต่ทว่าเพราะมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของการจัดแบ่งงานของประเทศจีนนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ความหลากหลายของสายพันธุ์ใหม่ที่นำเข้ามาหรือการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่นั้นมีน้อยเกินไป ไม่มีกำลังมากพอ

แคนาดาไม่เหมือนกัน กรมประมงเป็นผู้ดูแลจัดการไม่ใช่ผู้บริการ พวกเขาเจ้าของฟาร์มปลาอยากจะเพาะพันธุ์อะไรให้คิดหาวิธีเอาเอง จะพัฒนาอย่างไร นำเข้าอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องของตัวเอง รัฐบาลไม่เข้ามายุ่ง

ดังนั้น เจ้าของฟาร์มปลาใหญ่อย่างฉินสือโอวจึงต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ทางทะเลอย่างแซนเดอร์สเพื่อมาช่วยตัวเองดูแลฟาร์มปลา ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เจ้าของฟาร์มปลาที่มาร่วมงานกว่าสองร้อยกว่าคน ต่างก็จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ทะเลหรือไม่ก็ตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้กันทั้งนั้น

เทียบกันแล้ว ความรู้ด้านวัฒนธรรมของเจ้าของฟาร์มปลาในแคนาดานั้นถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แม้แต่ประเทศญี่ปุ่นเองก็สู้พวกเขาไม่ได้

การโก่งราคาพันธุ์ผลิตภัณฑ์ทะเลในงานประมูล ก็คือวิธีการอย่างหนึ่ง ทั้งขับเคลื่อนทรัพยากรให้หมุนเวียน แลกเปลี่ยนและขยายทรัพยากรล้ำค่าได้อย่างไร้ที่ติ และยังสามารถปรับรูปแบบใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ทะเลที่มีค่าได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

หลังแมทธิว จินพูดจบ ผู้คนในงานส่งเสียงปรบมือกันประปราย พวกเจ้าของฟาร์มปลาไม่ได้นับถืออะไรประธานกรมประมงแต่อย่างใด ในสายตาพวกเขารัฐบาลนั้นไร้ความสามารถมาก ช่วยเหลือพวกเขาไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นทำไมธุรกิจของพวกเขาถึงทำยากขึ้นทุกวัน กำไรที่ได้ก็น้อยลงทุกวันล่ะ?

สำหรับงานประมูลอุตสาหกรรมการประมงในครั้งนี้ เป็นงานที่รัฐบาลควรต้องทำอยู่แล้ว พวกเขาจ่ายภาษีมากมายเพื่อเลี้ยงชีวิตพนักงานพวกนี้ ก็เพื่อให้พนักงานเหล่านี้ทำงาน นี่ถือว่าเป็นงานบริการพื้นฐานอย่างหนึ่ง

ฉินสือโอวปรบมืออย่างตั้งใจ ก็เพราะเขาเห็นแก่หน้าแมทธิว จิน เมื่อเจ้าของฟาร์มปลารอบๆ เห็นเขาปรบมืออย่างจริงจังแล้ว ก็พากันจำใจให้เกียรติเขา พากันปรบมือตาม

เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่นานเสียงปรบมือจึงดังขึ้นมา นักข่าวรอบๆ รีบพากันถ่ายภาพ เพราะนี่แหละเป็นภาพประชาสัมพันธ์ที่รัฐบาลต้องการ

ชายถุงมือขาวขึ้นเวที เปิดงานประมูลอย่างเป็นทางการ ชิ้นแรกที่นำออกมาเป็นปลาชนิดหนึ่งจากฟาร์มปลาของฉินสือโอว ปลาค็อดมหาสมุทรแอตแลนติก

ปลาที่เยอะที่สุดในฟาร์มปลาต้าฉินก็คือปลาค็อด ปลาค็อดมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างมีค่าในสายพันธุ์ปลาค็อด ผสมพันธุ์ค่อนข้างง่าย สามารถขายได้ตั้งแต่ปลาตัวเมียที่กำลังตั้งไข่ไปยังลูกปลา

งานประมูลขายเฉพาะลูกปลาเท่านั้น หนึ่งหมื่นตัวนับเป็นหนึ่งหน่วย ฉินสือโอวสามารถให้ได้ประมาณห้าหน่วย ดังนั้นจึงออกประมูลในจำนวนห้าหน่วย

งานประมูลครั้งนี้ยืมวิธีการประมูลของบริษัทจัดประมูลริชชี่ โซเธบี้ และคริสตีส์มาใช้ มีการโชว์ลูกปลาและยังมีภาพบรรยากาศปลาค็อดมหาสมุทรแอตแลนติกในฟาร์มปลาต้าฉินฉายให้ดูอีกด้วย

ความจริงไม่ต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ก็ได้ พวกเจ้าของฟาร์มปลาล้วนเป็นคนในวงการนี้ ต่างก็รู้ถึงสภาพบรรยากาศปลาค็อดในฟาร์มปลาต้าฉินดี ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ปลาค็อดที่แพงที่สุดในตลาดก็มาจากฟาร์มปลาต้าฉิน และตั้งแต่ครึ่งปีหลังมา ก็ไม่พบเจอในตลาดอีกเลย เพราะแบรนด์อาหารทะเลต้าฉินได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

ชายที่สวมถุงมือขาวใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นและกระตือรือร้นในการแนะนำสภาพของลูกปลา ตามด้วยการบอกราคา “ปลาค็อดมหาสมุทรแอตแลนติกห้าหน่วย ราคาเริ่มต้นของแต่ละหน่วยคือสองหมื่นดอลลาร์แคนาดา ราคาเคาะแต่ละครั้งคือ500 ดอลลาร์แคนาดา!”

เสียงผู้คนในงานประมูลพากันดังเซ็งแซ่ขึ้นมาแล้ว

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท