ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1253 รถไฟดังปู๊นๆ

บทที่ 1253 รถไฟดังปู๊นๆ

ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด แซนเดอร์สวางมือทั้งสองลงอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อนใจไปครับ บอส นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย อย่าไปสนใจความคิดของพวกคนล้มเหลวเลย และก็อย่าไปสนใจว่าพวกเขาพูดอะไร พวกเราหาเงินของพวกเราต่อไป ใช้ชีวิตของเราต่อไป แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

ในใจฉินสือโอวเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แซนเดอร์สพูดไม่ผิดเลย เป็นคนนานๆ ทีจะได้ทำตัวงี่เง่าบ้าง ตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้นำประเทศหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐด้วยซ้ำ เรื่องใหญ่อย่างชนชาติหรือประเทศชาติอะไรพวกนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

ปกติแล้ว ฉินสือโอวก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่พอเขาเจอกับเรื่องเหยียดผิวแล้วก็ยังคงรับไม่ได้อยู่ดี

แต่ก็เหมือนกับที่แซนเดอร์สพูด เขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ไหนที่ไม่มีการเหยียดชนชาติกัน? แม้แต่ประเทศเดียวกัน ชนชาติเดียวกัน ก็ยังมีการเหยียดพื้นที่กันเลยไม่ใช่เหรอ?

จากนั้นฉินสือโอวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรื่องนี้ทำให้เขาเข้าใจได้แจ่มแจ้งเกี่ยวกับความลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่น แคนาดาไม่ใช่สรวงสวรรค์ แม้ว่าเขามีเงินก็สามารถพูดได้เพียงว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายหน่อยเท่านั้น ที่นี่ไม่มีวันกลายเป็นบ้านเกิดของเขาได้

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งมีความจำเป็นในการจัดการแฟร์เวลให้ดีแล้ว สถานที่นั้นก็คือรังของเขา เขาอยากสร้างให้มันกลายเป็นถิ่นของเขา ถิ่นที่ไม่ถูกน้ำพัดหายไปได้

ตั้งแต่มาถึงแคนาดา มาถึงเกาะแฟร์เวล และครอบครองฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว ความจริงฉินสือโอวไม่เคยรู้สึกถึงความปลอดภัยเลย

คนรอบตัวเขาไม่มีคนที่จะสามารถเข้าใจการกระทำต่างๆ ของเขาได้ อย่างเช่นตอนที่เขาซื้อเรือกำปั่นทะเลที่เป็นเรือยอชต์ติดอาวุธความเร็วสูงสี่ลำ หรือที่เขาซื้ออาวุธจำพวกเครื่องป้องกันกระสุนติดตามตัว หรือจรวดติดตามตัว หรือการที่เขาคิดหาวิธีทำให้ตัวเองได้รับสถานะเป็นทหารพลเรือนด้านทะเล เป็นต้น

ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการเตรียมพร้อมในการปกป้องตัวเองและทรัพย์สินเท่านั้น ก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่ลับเขี้ยวตัวเอง การทำแบบนี้ล้วนทำเพราะหวังว่าตัวเองจะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าความแข็งแกร่งแบบนี้เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอกเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย

แต่ถ้าสามารถนำความสบายใจมาให้ตัวเองได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เรื่องที่ได้พบเจอวันนี้ยิ่งตอกย้ำความคิดของฉินสือโอวที่อยากจะควบคุมเกาะแฟร์เวล การที่ชาวจีนใช้ชีวิตในต่างแดนนั้นไม่ง่ายเลย เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ พึ่งได้แต่ตัวเองเท่านั้น

เมื่อเป้าหมายแน่ชัดแล้ว ฉินสือโอวก็อารมณ์ดีขึ้นมากมาย เมื่อกี้ที่เขาอารมณ์ร้าย เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วเขาไม่สามารถรับมือได้เลย ขอแค่มีวิธีรับมือได้ งั้นที่เหลือก็แค่ทำตามวิธีนั้น ไม่ใช่คิดว่าควรจะเครียดอย่างไร

ออสเปรรับตั๋วมาแบ่งให้ทั้งสี่คน ฉินสือโอวก้มหน้ามองทีหนึ่งแล้วก็พูดด้วยเสียงตกใจว่า “ฟัค ตั๋วใบหนึ่งราคาตั้งเก้าร้อยดอลลาร์แคนาดาเลยเหรอ? คิดผิดหรือเปล่าเนี่ย ตั๋วเครื่องบินยังไม่ถึงสองร้อยเหรียญเลย!”

ออสเปรอธิบายว่า “ที่นั่งที่พวกเราจองไว้คือที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมที่เตียงนุ่มกว่าครับ ราคาจึงสูงเป็นพิเศษ แล้วก็ บอสครับ อันนี้ถือว่าผมจ่ายให้คุณนะครับ คุณไม่ต้องคืนเงินให้ผมหรอก เหอๆ คือว่า ชีวิตคนเราอะนะ มีความสุขก็พอแล้ว ใช่ไหมครับ?”

เขายังคงอยากปลอบใจฉินสือโอวอยู่

ท่านชายฉินกลอกตาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่คิดจะให้เงินนายอยู่แล้ว”

ออสเปร “…”

นีลเซ็นตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เพื่อนรัก นายนี่ช่างใจกว้างจริงๆ ขอบคุณที่จ่ายตั๋วรถไฟระดับพรีเมียมให้ฉันนะ กลับไปฉันพานายไปสนุกที่ร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกายแล้วกัน”

ออสเปรจับไหล่ของเขาไว้ แล้วพูดว่า “อย่าคิดมากเลย เพื่อน ฉันจ่ายให้แค่บอสเท่านั้น นายยังคงต้องจ่ายของตัวเองอยู่ เก้าร้อยยี่สิบเหรียญ ห้ามขาดแม้แต่เซนต์เดียว!”

การหัวเราะพูดคุยกันแบบนี้ ทำให้บรรยากาศของคนทั้งกลุ่มคลายลงไปมาก ออสเปรกับนีลเซ็นเดินอยู่ข้างหลังแอบคุยกันเสียงเบา ต่อไปก่อนจะออกไปไหนจะต้องหาข่าวล่วงหน้าก่อนแล้ว ต้องไม่ให้บอสเจอกับเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดผิวแบบนี้อีก

พวกเขาทั้งสี่คนสายแล้ว แต่เพราะมีบริษัทเอ็กซ์เพรสจัดการให้ รถไฟจึงยังคงจอดรออยู่

ผู้โดยสารทั่วๆ ไปบนรถไฟไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงพากันส่งเสียงโวยวาย ดังนั้นเมื่อนายสถานีของสถานีรถไฟเห็นพวกฉินสือโอวทั้งสี่คน จึงรีบพาพวกเขาไปส่งที่ที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมอย่างรีบร้อน

ไม่แปลกที่ราคาแพงลิบ ที่นั่งระดับพรีเมียมบนรถไฟนั้นตกแต่งได้หรูหรามาก โบกี้ที่พวกฉินสือโอวอยู่นั้นสามารถบรรจุผู้โดยสารได้เพียงสิบหกคนเท่านั้น เนื้อที่กว้างขวางมาก

หลังจากขึ้นรถแล้วเขามองไปรอบๆ ทีหนึ่ง พบว่าโบกี้นี้มีทั้งห้องน้ำส่วนตัวและอุปกรณ์ทำความสะอาดหน้า ส่วนหัวของโบกี้มีที่นั่งไว้สำหรับชมวิว ส่วนท้ายยังมีห้องครัวเล็กๆ ไว้สำหรับบริการของว่าง แถมยังมีห้องอาบน้ำและรถเข็นอาหารอีกด้วย

หลังจากรถไฟขับผ่านเมืองท่าเรือบาสก์แล้ว ก็เข้าไปสู่ป่าไม้อย่างรวดเร็ว เมืองนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ หรือพูดได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างจากป่าไม้นั่นเอง และด้วยเหตุนี้ ทำให้รอบเมืองมีโรงงานผลิตกระดาษมากมาย

ผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่ถูกโขดหิน และชุมสายแม่น้ำมากมายแบ่งเขตมานั้นได้กลายเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ฉินสือโอวนั่งอยู่ที่นั่งชมวิวมองออกไปข้างนอก บางครั้งเขายังได้เห็นฝูงกวางอูฐ แพะป่าและหมาป่าใช้ชีวิตอย่างอิสระ

แน่นอนว่าบางครั้งยังสามารถมองเห็นปล่องควันเป็นแท่งๆ อีกด้วย นั่นก็คือสัญลักษณ์ของโรงงานผลิตกระดาษและโรงหลอมทองนั่นเอง

หลังจากรถไฟเข้าไปในป่าไม้แล้ว เริ่มแรกเป็นป่าเล็กๆ ก่อน จากนั้นป่าไม้ก็ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา ต้นสพรูสสูงใหญ่จำนวนหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่า การเคลื่อนของรถไฟไม่เหมือนกับในจีน รถไฟขบวนนี้ดึงหวีดรถไฟตลอดเวลา เสียงหวีดก็ไม่ใช่เสียง ‘ปู๊นๆ’ ทั่วไป แต่มีการเปลี่ยนจังหวะด้วย ราวกับเสียงดนตรีง่ายๆ อย่างไรอย่างนั้น

แซนเดอร์สเห็นเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “นี่คือกำลังไล่พวกสัตว์ป่าอยู่น่ะครับ รอบๆ รางรถไฟไม่มีหินหรือหญ้า ทำให้สัตว์ป่าจำพวกหนึ่งมาผสมพันธุ์กันที่นี่ ดังนั้นรถไฟจึงต้องทำการดึงหวีดรถไฟตลอดเพื่อไล่พวกมันไป”

“และถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ ในแต่ละปีรถไฟก็ยังทำร้ายสัตว์ป่าไปหลายหมื่นตัวอยู่ดี” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า “มนุษย์ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ใช่ไหมคะ? เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง จึงทำการรุกรานพื้นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตตั้งเท่าไรแล้ว?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าจะตอบสตรีท่านนี้ว่าอย่างไร เมื่อกี้เขาเพิ่งถูกคนขาวพวกนั้นเหยียดคนจีนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับยิ่งกว่า เหยียดกระทั่งมนุษยชาติเลย

พลบค่ำรถไฟได้ขับเข้าไปในเมืองคอเนอร์บลังก้า ความรู้สึกในการนั่งรถไฟไม่เหมือนกับการอยู่บนท้องทะเล รถไฟเคลื่อนผ่านเข้าไปในตัวเมืองโดยตรง นิวฟันด์แลนด์มีเมืองใหญ่น้อยมาก แต่มีเมืองเล็กๆ มากเอาการทีเดียว รางรถไฟจึงสร้างไว้ผ่านเมืองเล็กๆ เหล่านี้ ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

คอเนอร์บลังก้าเป็นหนึ่งในเมืองฟาร์มเกษตรที่มีไม่มากในเขตนิวฟันด์แลนด์ รอบๆ เมืองนี้ล้วนเป็นพื้นที่ฟาร์มเกษตรทั้งนั้น พื้นที่ราบสุดลูกหูลูกตา เส้นขอบผืนดินเป็นแนวเดียวกับเส้นขอบฟ้า กลางทางจะต้องทำการจอดที่นี่เป็นเวลาสี่สิบนาทีเพื่อถ่ายสินค้าลง ฉินสือโอวได้รับอนุญาตให้ลงรถไปชมวิวได้ จึงเดินลงรถไป

นีลเซ็นกับออสเปรรีบเดินตามไป พวกเขาหยิบบุหรี่ออกมาด้วยบอกว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ความจริงแล้วเพราะกลัวฉินสือโอวจะเป็นอะไรมากกว่า

สวรรค์ไม่เป็นใจ วันนี้อากาศมืดครึ้ม ทำให้มองไม่เห็นวิวพระอาทิตย์ตกอันสวยงามจากพื้นที่ราบแห่งนี้

เมืองเล็กแห่งนี้ไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้างที่สูงมากนัก ฉินสือโอวยืนอยู่ในสถานีรถไฟแล้วมองออกไปไกล รู้สึกเหมือนว่าตัวเองสามารถเห็นชายแดนของเมืองนี้ได้เลย เพราะเมืองนี้เล็กจริงๆ

ในสถานีรถไฟมีคนเข็นรถมาขายของพื้นเมือง ฉินสือโอวซื้อชีสเค้กคลาวด์เบอร์รี่ คุกกี้ถั่วลิสง ข้าวสาลีคั่วและน้ำผลไม้เป็นอาหารว่าง คุณภาพของของเหล่านี้ได้ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี รสชาติก็ไม่เลว เขาชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลยจึงซื้อมาอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเอากลับไปให้วินนี่และพวกเด็กๆ กิน

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท