ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1265 จุดชมวาฬ

บทที่ 1265 จุดชมวาฬ

ตอนที่วินนี่บอกว่าเธอจะเข้าร่วมการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีแทนฉินสือโอว ฉินสือโอวก็เริ่มพิจารณาถึงปัญหาบางอย่างอย่างเช่น หลังจากที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี เมืองควรจะพัฒนาอย่างไร

สองปีก่อนเศรษฐกิจเมืองเล็กแห่งนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากฟาร์มปลาต้าฉิน ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเฉลี่ยต่อคนเทียบกับเมื่อสองปีก่อนเกิน 500% ถ้าเพิ่มฟาร์มปลาต้าฉินเข้าไปก็เทียบยากแล้ว ฟาร์มปลาต้าฉินนำพาประโยชน์มากมายมาให้จนน่ากลัว

ตั้งแต่ช่วงขึ้นปีใหม่ ตอนที่วินนี่บอกว่าอยากเข้าร่วมเลือกตั้ง ฉินสือโอวก็ไม่ได้ขยายทรัพยากรฟาร์มปลาอีก เพียงแค่ขายอาหารทะเลที่มีอยู่ภายใต้แบรนด์อาหารทะเลต้าฉิน

หลังจากที่วินนี่ได้รับเลือก เขาก็ทำการขยายฟาร์มปลาครั้งที่สอง ครั้งนี้ที่ขยายไม่ใช่เนื้อที่ฟาร์ม แต่เป็นชนิดและคุณภาพของอาหารทะเล ฉะนั้นในงานประมูลการประมง เขาจึงชูป้ายบ่อยเพื่อประมูลปลาชนิดใหม่ๆ มากมาย

ยิ่งชนิดของอาหารทะเลมีมาก ผลิตได้มากเท่าไร ฟาร์มปลาก็ยิ่งจ่ายภาษีเยอะ ผลิตภัณฑ์มวลรวมเมืองก็จะสูงขึ้นโดยปริยาย

รอจนลูกปลาที่เขาซื้อมาโตจนสามารถเอาออกขายได้ ในตอนนั้นก็จะเห็นความแตกต่างของผลิตภัณฑ์มวลรวมเมืองระหว่างก่อนและหลังที่วินนี่รับตำแหน่ง

นี่เป็นแผนระยะยาวของฉินสือโอว แต่ก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ อย่างที่วินนี่บอก ขึ้นตำแหน่งใหม่ไฟกำลังแรง แต่ตอนนี้เธอกำลังขาดจุดเริ่มต้น

ฉินสือโอวก็คิดไว้แล้ว

ความคิดนี้เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางทะเลเมื่อต้นปี เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ โตฟิโนจุดชมวาฬในเกาะเมืองแวนคูเวอร์เกิดอุบัติเหตุทางทะเลร้ายแรง เรือชมวาฬที่บรรทุกผู้โดยสารมา 27 คนอับปางลง ทำให้มีชาวอังกฤษห้าคนเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บ 22 คน

ในตอนนั้นออกข่าวกันดังไปทั่ว แต่เพราะวินนี่ใกล้คลอด ฉินสือโอวเลยไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ตอนที่เขาดูข่าวก็สังเกตเห็นข้อมูลหนึ่ง

การท่องเที่ยวกำลังเฟื่องฟูในจังหวัดชายฝั่งทะเลทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา สี่ปีที่ผ่านมารัฐบริติชโคลัมเบียจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาเกินหมื่นล้านดอลลาร์แคนาดาทุกปี แต่ปีที่แล้วยิ่งกว่านี้อีก รายได้จากการท่องเที่ยวและอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องสูงถึง 15 พันล้านดอลลาร์!

ในหมู่การท่องเที่ยวของรัฐบริติชโคลัมเบีย การชมวาฬเป็นหนึ่งในรายการท่องเที่ยวหลัก ทุกปีจะดึงดูดคนรักวาฬมาร่วมกลุ่มชมวาฬได้ไม่น้อย

โตฟิโนที่เกิดอุบัติเหตุดังในด้านชมวาฬ เคยได้รับเลือกโดยนิตยสารTravel+Leisureให้เป็นสถานที่ชมปลาวาฬที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือในปี 2010

ฉินสือโอวจึงเกิดแรงบันดาลใจ การท่องเที่ยวของเมืองเริ่มไปถึงทางตัน ทำไมไม่ทำจุดชมวาฬสักที่ล่ะ?

ที่ไม่ได้ทำโครงการนี้เสียทีก็เพราะมีเพียงฉินสือโอวที่รู้ว่าฟาร์มปลาของตัวเองมีวาฬกี่ตัว ฉลามกี่ตัว โลมากี่ตัว

ในหมู่เจ้าพวกนี้ มีแค่วาฬที่โผล่เหนือน้ำบ่อยๆ แต่ส่วนมากพวกมันจะโผล่ขึ้นมาตอนกลางคืน คนในเมืองรู้ว่ามีพวกมัน แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไร

ฉินสือโอวรู้ เพราะนโยบายการคุ้มครองของเขา เขตน่านน้ำลึกของฟาร์มมีวาฬหลายชนิด จำนวนก็เยอะ อย่างวาฬเบลูกา วาฬหลังค่อม วาฬสีน้ำเงิน วาฬสีเทา วาฬฟิน เป็นต้น มีหมดทุกอย่าง ปีนี้ยังดึงดูดวาฬจมูกขวดและวาฬไรท์ที่มีจำนวนน้อยมาได้ด้วย

เขตทะเลฟาร์มปลาต้าฉินสามารถเปิดกิจการท่องเที่ยวชมวาฬได้เลย

แน่นอนว่าเวลาปกติวาฬพวกนี้จะอยู่ในทะเล ถ้าไม่ถึงเวลาหายใจก็จะไม่โผล่ขึ้นมา พูดถึงก็เศร้า นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของวาฬ ที่จริงวาฬเป็นสัตว์ที่ชอบอาบแดดมาก

แต่เพราะการไล่ฆ่าของคน วาฬที่ไม่โง่ก็เรียนรู้ที่จะโผล่เหนือน้ำให้น้อยที่สุด ต่อให้จะโผล่ขึ้นน้ำก็ต้องเป็นกลางคืนไม่ใช่กลางวัน ตอนนี้วาฬก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อไปจำนวนครั้งที่คนจะได้เห็นวาฬโผล่เหนือน้ำก็จะน้อยลงเรื่อยๆ

ฉินสือโอวสามารถเปลี่ยนจุดนี้ได้ หัวใจโพไซดอนมีพลังอีกอย่าง นั่นก็คือออกคำสั่งกับสัตว์ทะเล ด้วยปัญญาของวาฬ ฉลาม และโลมา สามารถเข้าใจคำสั่งของเขาได้ง่ายๆ

สำหรับปัญหาความปลอดภัยของพวกวาฬกับฉลาม เขาจะจัดการเอง เขารู้ว่าการให้พวกวาฬและฉลามปรากฏตัวแบบโจ่งแจ้งจะดึงดูดสายตาพวกเรือจับวาฬ พวกเขาไม่กล้าลงมือในฟาร์มของฉินสือโอว แต่จะจับวาฬในเขตทะเลสาธารณะ

วาฬส่วนมากจะว่ายเป็นวงกว้างในมหาสมุทร พวกมันจะไม่หยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน ในหนึ่งปีจะวนจากเส้นศูนย์สูตรไปอาร์กติกรอบหนึ่ง แบบนี้ก็เลี่ยงการเข้าสู่ทะเลสาธารณะยาก เป็นการเปิดโอกาสให้เรือจับวาฬ

ฉินสือโอวไม่กลัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสามารถควบคุมเส้นทางเดินทางของวาฬ ต่อให้โดนจับขึ้นไปแล้วก็ยังมีคราเคนอยู่ไม่ใช่เหรอ?

เขาแกล้งทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็ปรบมือแล้วพูดว่า “คุณทำโครงการท่องเที่ยวได้นี่ ชมวาฬกลางทะเลเป็นไง?”

วินนี่พูดอย่างจนใจ “ก่อนอื่นจะต้องมีวาฬ…”

“มีสิ” ฉินสือโอวพูดต่อ “ตั้งแต่ปีที่แล้ว ฟาร์มเราก็มีวาฬ ฉลามมาเยอะแยะ คุณไม่รู้เหรอ? ปีนี้เยอะกว่าเดิมอีก ทุกครั้งที่ออกทะเลผมก็เห็นพวกมันจากเครื่องหาปลา”

วินนี่พูดด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอคะ? ฟาร์มปลามีวาฬกับฉลามเยอะเลย?”

ฉินสือโอวพยักหน้าว่า “แน่นอน คุณไปถามพวกชาวประมงดูก็ได้ พวกเขารู้หมด อีกอย่างเจ้าพวกนี้หลอกขึ้นมาง่ายจะตาย แค่เอาปลาซาร์ดีนไปด้วย ใช้เครื่องหาปลาหาแล้วปล่อยปลาซาร์ดีน พวกมันก็จะขึ้นมากินอาหาร”

วินนี่ดีใจ เข้าไปโอบกอดฉินสือโอวแล้วจูบเขาทีหนึ่ง ฉินสือโอวก็ดีใจ ตอนที่กำลังกอดเธออย่างหวานแหวว เถียนกวาที่กำลังเล่นกับเฟอเรทแบลคฟุตและแมวป่าก็ร้องเรียก ‘มะม๊า มะม๊า’ ขึ้นมา

วินนี่รีบเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมาทันที เด็กน้อยยื่นปากออกมาจูบ จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างอิ่มใจ

ฉินสือโอวก็ยื่นหน้าเข้าไปให้ลูกสาวจุ๊บ เสี่ยวเถียนกวายื่นมืออวบออกมาคว้าแก้มเข้าไว้แล้วหัวเราะคิกคักในขณะที่บีบดึงไปด้วย…

“ฟัค ฟัคยู” ฉินสือโอวเจ็บมาก เจ้าตัวน้อยนี่ตัวเล็กก็จริง แต่แรงเยอะมาก ปรากฏว่าพอเขาพูดออกไปก็ตระหนักได้ว่าซวยแล้ว วินนี่เบิกตาโพลงในทันที เขาเลยรีบเติมไปอีกคำหนึ่ง “มะม๊า!”

วินนี่โกรธมาก เธอพูดด้วยความไม่พอใจ “อย่าพูดคำหยาบ! อย่า! พูด! คำ! หยาบ!”

ฉินสือโอวพูดด้วยท่าทีน่าสงสาร “เปล่า ผมไม่ได้พูดคำหยาบ ผมแค่พูดถึงความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง”

วินนี่ “…”

ตกกลางคืนหลังกิจกรรมบนเตียงสิ้นสุดลง ฉินสือโอวก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปสี่สาย เริ่มค้นหาวาฬและโลมา

หนึ่งในนั้นถูกส่งไปอ่าวโตเกียว ที่นั่นมีที่หนึ่งที่เรียกว่าอ่าวไทจิ มีชื่อเสียงมาก ทุกปีในเดือนกันยายนที่นี่ก็จะเริ่มเทศกาลล่าโลมาอันเสื่อมเสีย

ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วฉินสือโอวก็จะไปวนบ้างตอนมีเวลา แล้วพาวาฬกับโลมาที่เข้าไปในอ่าวโตเกียวออกมา ปีนี้ก็ไม่ต่างกัน

ตอนนี้ห่างกับวันเริ่มเทศกาลล่าโลมาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น ในอ่าวกักโลมาไว้มากมาย มีเป็นหลักร้อยตัว ในนั้นมีโลมาปากขวดที่ฉลาดเฉลียวด้วย

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล่นผ่านไปในอ่าวอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวเจอโลมาก็พาไปทันที แต่พอหาไปได้ครึ่งหนึ่ง บางสิ่งที่เจอก็ทำให้เขาโกรธขึ้นมา

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท