ฉินสือโอวขับรถไปที่ร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์ก่อน ฮิวจ์กำลังอ่านอะไรบางอย่างใต้โคมไฟที่เคาน์เตอร์ พอเขาเข้าไปก็ถามทันที “ที่นี่มีเทียนไหม?”
“ใครใช้?” ฮิวจ์ถาม
ฉินสือโอวแปลกใจ ถึงตอนนี้ฟ้าจะมืดมากแล้ว แต่ก็ไม่น่าถึงขนาดมองไม่ออกว่าตัวเขาเป็นใครมั้ง? เขาได้แต่บอกว่า “ฉันใช้เอง ฉัน ฉินสือโอว”
ฮิวจ์หัวเราะแบบมีเลศนัย จากนั้นก็พลิกหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นเทียนยาวประมาณสิบเซนติเมตรให้เขา
ฉินสือโอวพึมพำ “สั้นไปไหมเนี่ย?”
ฮิวจ์พูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนมีประสบการณ์มาก่อน “พ่อหนุ่ม นายต้องยับยั้งชั่งใจหน่อย เทียนเล่มนี้ทางที่ดีต้องแบ่งใช้สี่ครั้ง! ไม่อย่างนั้นฉันไม่แน่ใจว่าสุดท้ายนายจะนอน**อยู่บนเตียงหรือนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินของโอดอม**”
ฉินสือโอวงง ไม่เข้าใจว่าหมอนี่พูดเรื่องอะไร เขาหยิบเทียนขึ้นมาแล้วพูดแซวไปตามประสา “นายเล่นยามาหรือไง? เอ๊ะ ทำไมมันเป็นหลอดแก้ว? ฉันต้องการเทียนนะ”
ฮิวจ์ตอบ “ก็ต้องเป็นหลอดแก้วสิ วัสดุเทียนอุณหภูมิต่ำเป็นขี้ผึ้งธรรมชาติไม่ใช่ขี้ผึ้งพาราฟิน มันนิ่มและเสียรูปง่ายมาก ถ้าไม่เอาไว้ในหลอดแก้ว พอนายจุดมันก็ละลายหมดแล้ว”
ฉินสือโอวยิ่งงุนงงสับสนหนักกว่าเดิม เขาพูดอึ้งๆ “เทียนอุณหภูมิต่ำ? หมายความว่าไง? ตอนนี้ที่แคนาดานิยมใช้เทียนชนิดนี้กันเหรอ? มันสว่างไหม?”
คราวนี้ถึงตาฮิวจ์อึ้งบ้าง เขาจ้องตรงมาที่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “เพื่อน นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? นายจะซื้อเทียนไปทำไม?”
ฉินสือโอวเริ่มจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขาชี้ไปที่เทียนบนโต๊ะแล้วพูดยิ้มๆ “เฮ้ย นี่ไม่ใช่เทียนแบบนั้นใช่ไหม? เทียนเร้าอารมณ์? ฉันจะซื้อเทียนธรรมดา ไฟมันดับ ฉันจะจุดให้แสงสว่าง!”
ฮิวจ์เขินขึ้นมาทันใด เขาพูดว่า “ฉันถามว่าใครใช้ นายก็บอกว่านายใช้เอง? ฉันนึกว่านายจะเล่นอะไรกับวินนี่เสียอีก”
เขายื่นมือจะเก็บเทียนอุณหภูมิต่ำนั้นกลับมา ฉินสือโอวเอามือกดไว้ แล้วพูดยิ้มๆ “อันนี้ฉันก็เอา แล้วก็เอาเทียนธรรมดาด้วย”
“อันนั้นไม่มี” ฮิวจ์ยักไหล่สบายๆ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่โคมไฟแบบชาร์จไฟได้บนโต๊ะ “ฉันเข้าใจความหมายของนายแล้ว แต่ว่าฉิน นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยังมีใครใช้เทียนอีกล่ะจริงไหม? ฉันไม่เคยสำรองเทียนไว้เลย”
ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “งั้นคืนนี้ตอนกินข้าวคงต้องลำบากหน่อย”
ฮิวจ์มองดูเทียนอุณหภูมิต่ำในมือเขาแล้วเขยิบเข้ามาบอก “ไอ้สิ่งนี้ก็ให้แสงสว่างได้ แน่นอนว่าแสงมีไม่มาก”
ฉินสือโอวถามราคาจนรู้เรื่องและจ่ายเงิน หิ้วเทียนแบบใหม่แล้วกลับบ้านอย่างตื่นเต้น ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง? เขาไม่ไปหรอก อย่างไรเสียคืนนี้ก็มีโปรแกรมแล้ว เขาซื้อเทียนมาก็เพราะกลัวกลางคืนไม่มีอะไรทำแล้วจะเบื่อ อย่างน้อยก็จะได้จุดเทียนเล่นไพ่อะไรแบบนี้
ฉินสือโอวกลับวิลล่าไปอย่างตื่นเต้น พอเข้าบ้านไปก็พบว่าในห้องอาหารสว่างมาก เขาเข้าไปดูก็พบว่าเป็นแบตเตอรี่สำรองที่เชื่อมกับหลอดไฟ
วินนี่ถามเขาว่าไปทำอะไรมา ฉินสือโอวก็ตอบพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ซื้อเทียน ผมกลัวว่าตอนกินข้าวจะไม่มีอะไรให้ความสว่าง ดูท่าผมจะคิดมากไปเอง”
เชอร์ลี่ย์เข้ามาหาแล้วพูดขึ้น “ฉิน ให้เทียนหนูหน่อยสิคะ หนูกลัวความมืด”
ฉินสือโอวรีบเก็บเทียนไปทันที ของแบบนี้ให้ใครมั่วๆ ได้เสียที่ไหน? เชอร์ลี่ย์เบ้ปากแล้วบ่นว่าขี้เหนียวก่อนจะเดินจากไปแบบไม่สบอารมณ์
วินนี่เรียกทุกคนให้กินข้าว ทุกคนต่างก็นั่งลง มีแค่ไวส์ที่ยังคงยุ่งกับบางอย่างอยู่
“รีบมากินข้าวสิไวส์” วินนี่ตะโกนเรียก
ไวส์ตอบ “อาจารย์หญิงกินก่อนเลยครับ ผมฝึกวิชาเนตรอัคคีของวันอาทิตย์นี้เสร็จแล้วค่อยไป ผมฝึกนวดจุดฟ้าสนอง กดจุดจิงหมิง กดนวดจุดซื่อไป๋สามกระบวนท่านี้เสร็จแล้ว ที่เหลือก็คือกดจุดไท่หยางแล้วก็นวดวนเบ้าตา”
พ่อฉินมองดูอย่างสนใจแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กนี่วินัยดีจริงๆ ไฟดับก็ยังนวดบำรุงตา”
ฉินสือโอวแอบยิ้ม วินนี้ดึงเขาอย่างจนใจทีหนึ่งและว่าเขาว่าหลอกไวส์ได้อย่างไร
ตอนกินข้าวฉินสือโอวกำลังวางแผนอย่างอารมณ์ดีว่าอีกสักพักจะเล่นอะไรกับวินนี่ดี ปรากฏว่าก็มีคนมาหา ชาร์คนั่นเอง ซีมอนสเตอร์กับคนอื่นๆ และภรรยา มาหาวินนี่เพื่อขอน้ำแข็ง
“น้ำแข็งอะไร?” ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ
วินนี่วางส้อมลงแล้วเช็ดปากจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ในเมืองไฟดับหมดไม่ใช่เหรอ? ตู้เย็นของทุกคนมีของไม่น้อย อาจจะเสียได้ ฟาร์มปลาเรามีห้องแช่ ฉันทำน้ำแข็งไว้เยอะให้ทุกคนเอาไปใส่ในตูเย็น ช่วยในการแช่แข็งได้ในระดับหนึ่ง”
พ่อฉินชื่นชม “วินนี่คิดดี ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีได้ไม่เลวเลย ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนแบบนี้แหละ”
ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถาม “ทั้งเมือง?”
วินนี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “มันใช้ไฟไม่เยอะ อย่างไรห้องแช่ก็อุณหภูมิต่ำพอ ทำไมไม่เอามาใช้ประโยชน์ล่ะคะ ใช่ไหม?”
ฉินสือโอวทำหน้าเศร้าสร้อยพลางตอบว่าถูกต้องแล้ว พ่อฉินส่งสายตาพิฆาตมาให้ ความหมายประมาณว่าวินนี่ทำเรื่องดีให้เมือง แกที่เป็นสามีจะไม่สนับสนุนได้อย่างไร?
ฉินสือโอวอยากร้องไห้ ใครสนับสนุนเขาล่ะ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้จะต้องมีคนมาเอาน้ำแข็งเรื่อยๆ ไม่ขาดสายแน่ งั้นเขาจะไปจู๋จี๋กับวินนี่ได้อย่างไร?
เขาเดาถูกแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขากินข้าวเสร็จก็มีคนมาเอาน้ำแข็งอยู่เรื่อยๆ
ชาร์คและคนอื่นๆ ไม่มีไฟที่บ้าน ก็เลยพากันมาหาฉินสือโอวบอกเรามาหาอะไรทำกันเถอะ อย่างจุดเทียนเล่นไพ่กันอะไรแบบนี้
ฉินสือโอวหน้าบูด เล่นไพ่อะไรกันเล่า วันดีจะตาย ทำไมไม่ไสหัวไปนอนกันให้หมด?
ตอนที่ชาวเมืองมารับน้ำแข็งก็ถือโอกาสเล่าถึงวิธีที่พวกเขาใช้ฆ่าเวลาในค่ำคืนอันยาวนาน แบ่งปันพูดคุยกัน ฉินสือโอวก็ถือโอกาสฟังไปด้วย
เมืองไม่ได้ไฟดับครั้งแรก ทุกคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ บางคนจุดเทียนเล่นเกมกระดาน บางคนจุดเตาผิงแล้วย่างพิซซ่าในไฟ บางคนตั้งเตาปิ้งบาร์บีคิว บางคนใช้เตาก๊าซซิไฟเออร์ต้มกาแฟ…
ฟังมาถึงตรงนี้ ชาร์คก็ดันฉินสือโอวแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “บอส คุณมีเตาเผาไม้ไม่ใช่เหรอ? เอามาต้มกาแฟเถอะ? ผมนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว คุณต้องไม่เคยเล่นมาก่อนแน่ พวกเราดื่มกาแฟไปเล่นไปกันดีกว่า”
“กิจกรรมอะไรที่ฉันไม่เคยทำ?” ฉินสือโอวถามแบบไม่เชื่อ
ชาร์คกระแอมไอปรับอารมณ์แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ค่ำคืนไร้แสงสว่าง วิญญาณภูตผีจะออกมา!”
ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วถามอย่างระมัดระวัง “พวกนายจะเล่นเกมอัญเชิญผีเหรอ?”
อันนี้เขาก็ไม่เคยเล่นจริงๆ เพราะที่จริงเขาขี้กลัวมาก กลัวผีกลัววิญญาณอะไรพวกนี้ ตอนมัธยมต้นมีคนเล่นเกมพวกกระดานวีจี เวียนเปลี่ยนสี่มุมห้อง เขาก็ไม่เคยเล่นด้วย
ชาร์คหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า “เชิญผีอะไร? ไม่ใช่ พวกเราจะเล่าเรื่องผี มาเล่าด้วยกัน”
คนอื่นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา บูลพูดขึ้นว่า “ไอเดียดี มา เรายังไม่เคยเล่าตำนานผีของเกาะแฟร์เวลให้บอสฟังเลย พอดีเลย วันนี้บอสจะได้เปิดหูเปิดตา”
ฉินสือโอวกลอกตา เปิดหูเปิดตาบ้านแกสิ วัตนธรรมผีสางกับระยะเวลาที่เผ่าพันธุ์หนึ่งดำรงอยู่นั้นมันสัมพันธ์กัน ด้านนี้อเมริกาเหนือเทียบไม่ได้แม้ปลายก้อยของจีน สรุปใครเปิดหูเปิดตาใครกันแน่?
วินนี่ได้ยินแบบนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เธอพูดว่า “ดีเลย ฉันเอาด้วย ฉันเล่าก่อนเป็นไง? เล่าเรื่องให้ฟัง เรื่องจริงที่เจอมากับตัว…”
ชาร์คพูด “ให้บอสเล่าก่อนดีกว่า นี่เป็นธรรมเนียม”
ชาวประมงเป็นแถวต่างหาที่นั่งลงทันใด แม้แต่พวกหู่เป้าฉงหลัว พี่น้องเฟอเรท แม้แต่แมวป่าซิมบ้าก็มานั่งเรียงกัน
ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โอเค งั้นฉันเล่าก่อน เรื่องที่ฉันจะเล่าชื่อว่าผีเป่าไฟ!”
……………………………………..