ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1288 ม้าบิน

บทที่ 1288 ม้าบิน

ม้าสองตัวจากทางด้านหน้าและด้านหลังวิ่งตรงไปยังทิศตะวันออก ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นมามอง แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างสาดแสงอาบลงบนร่างอันสง่างามนั้นราวกับเทวทูต

คนที่ขี่ม้าตัวด้านหน้าคือวินนี่ ผมสีดำของเธอมัดรวบเป็นหางม้า ดังนั้นตอนที่เธอควบม้า ผมหางม้าของเธอจะส่ายไปมาเหมือนกับหางม้า ราวกับว่ามีกระแสจิตสื่อถึงกัน

ร่างกายของวินนี่ตอนอยู่บนหลังม้าตรงดิ่งเป็นแนวตั้ง แต่ก็ไม่ได้แข็งทื่อจนเกินไป ร่างกายขยับตามม้าอย่างนุ่มนวลและสะเทือนขึ้นลงตามจังหวะการวิ่ง ช่างดูเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ

ฉินสือโอวสะดุ้งตกใจ หลังจากขึ้นไปบนหลังฟรีดริชได้เขาก็ถามอย่างตกตะลึง “คุณขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ?”

วินนี่ยิ้มบาง “ไม่ใช่ว่าฉันเคยพูดกับคุณแล้วเหรอ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยสตรีเบรชชา ตอนปีสองกับปีสามพวกเรามีวิชาขี่ม้าด้วย แน่นอนว่าก็ต้องขี่เป็นสิคะ”

ฉินสือโอวนึกถึงตัวเองที่เพิ่งบอกว่าจะโชว์ให้วินนี่ดู ตอนนี้เห็นภรรยาของเขาขี่ม้าอย่างกล้าหาญแล้ว เขาก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองถูกเบิร์นไปแล้ว

โชคดีที่ตอนนี้เขาเป็นพ่อของลูกสาววินนี่ ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงจะถูกตีจนแตกไปแล้วจริงๆ

วินนี่เดาได้ถึงความคิดของเขา เธอจึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “ที่จริงแล้วฉันอยากจะให้คุณคุ้นเคยกับการเรียนขี่ม้าก่อน แล้วค่อยขี่ม้าตามมา แต่เมื่อกี้คุณจับบังเหียนไม่ถูกต้องฟรีดริชเลยไม่ยอมวิ่ง ฉันเลยต้องขี่นำสักหน่อย”

ปกตินั้นม้าพันธุ์ดีจะมีความคิดและทำแบบเดียวกันเป็นฝูง เมื่อดูรายการสัตว์โลกก็จะรู้ว่า ราชาม้าจะวิ่งอยู่ด้านหน้า ส่วนม้าตัวอื่นๆ ก็วิ่งตามอยู่ด้านหลัง

การวิ่งนำไปก่อนก็คือการนำจิตวิทยาของม้ามาใช้ ในตอนที่ม้าอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม พอม้าหนึ่งตัววิ่ง ม้าตัวอื่นก็จะวิ่งตาม และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ม้าทุกตัววิ่งไล่ตามกันระหว่างการแข่งม้า

การแข่งม้าที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องให้คนขี่ม้าใช้ตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูทเร่งให้ม้าวิ่งโดยสะกิดที่ท้องม้าหรือบังคับบังเหียนม้าเพื่อเพิ่มความเร็ว มันสามารถวิ่งได้เอง ถ้าหากม้าตัวอื่นอยู่ในสนามเดียวกัน มันก็จะพยายามวิ่งให้เร็วที่สุด

วินนี่คุมความเร็วค่อนข้างช้า เธอจึงถามฉินสือโอวว่า “เป็นไงบ้าง คุณคิดว่าตัวเองสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นอีกได้ไหมคะ?”

ฉินสือโอวตอบอย่างห้าวหาญ “ไม่มีปัญหา ทั้งหมดเรียบร้อยดี แต่แค่เจ็บก้นน่ะ”

ถึงแม้จะมีอานม้าช่วยรองก้นอีกชั้นนึง แต่พื้นผิวของมันก็แข็ง ทำให้ตอนที่ฟรีดริชวิ่งเกิดการสะเทือนขึ้นลง อานม้าก็กระแทกกับก้นของฉินสือโอวไม่หยุด อย่างนี้ไม่เจ็บสิถึงจะแปลก

วินนี่หุบยิ้มแล้วพูดขึ้น “ที่รัก คุณผ่อนคลายลงหน่อยก็ได้ อย่าเกร็งนักสิ”

ฉินสือโอวพูดอย่างกล้ำกลืน “ผมเกร็งตรงไหน? ผมผ่อนคลายอยู่ชัดๆ เลยเนี่ย?”

วินนี่พูด “ไม่ใช่ให้คุณผ่อนคลายแค่จิตใจนะคะ แต่ให้ผ่อนคลายร่างกายด้วย ดูฉันสิ ไม่ต้องเอาสะโพกกดแน่นกับอานม้าเกินไป ออกแรงที่สองขามันจะช่วยประคองร่างกายได้ดี และออกแรงที่สะโพกเล็กน้อยก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวมองวินนี่ ก็เห็นว่าสะโพกของเธอกับอานม้ามีช่องว่างอยู่เล็กน้อย แบบนี้ร่างกายของเธอจึงตรงมาก จริงๆ แล้วก็ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลมั่นคง เพื่อคอยปรับให้พอเหมาะพอดีอย่างต่อเนื่อง

วินนี่พาเขาวิ่งเป็นวงกลมเล็กๆ หลังจากนั้นจึงพากลับไปที่ที่พอลลี่และเหมาเหว่ยหลงอยู่ ขาเรียวสองข้างขนาบเบาๆ อยู่ที่ท้องม้าทั้งสองข้าง และขณะดึงบังเหียนเบาๆ และม้าก็เริ่มลดความเร็วลง

ฉินสือโอวเลียนแบบท่าทางของเธอ แต่แรงที่ใช้ดึงบังเหียนมากหน่อย ม้าดำฟรีดริชจึงหยุดวิ่งในทันที

ด้วยความที่ยังคงเคยชิน จากการที่ท่านชายฉินเกือบจะบินตกลงจากหลังม้า แต่โชคดีที่แรงหนีบม้าฟรีดรีชของขาทั้งสองข้างมั่นคงมากทำให้รักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ได้

แต่แล้วปัญหาก็มาเยือนอีกครั้ง ฟรีดรีชรับรู้ได้ถึงแรงของขาทั้งสองข้าง คิดว่าเขาให้มันออกวิ่ง ดังนั้นมันเลยพ่นลมจมูกออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วมันก็ก้าวเท้าออกวิ่งอีกครั้ง

วินนี่จึงให้ฉินสือโอวถอยกลับมา แต่ฉินสือโอวก็ถามอย่างไร้สติ “เชี่ย! ทำยังไงให้ม้าถอยกลับล่ะ? เกียร์ถอยหลังอยู่ไหนล่ะเนี่ย?!”

เหมาเหว่ยหลงที่อยู่บนม้าควอเตอร์สีน้ำตาลหัวเราะไม่หยุด แล้วตะโกนว่า “แกอย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนเกียร์สิ รีบเหยียบเบรกก่อน ไม่อย่างนั้นแกก็หมุนพวงมาลัยก็ได้ แกเป็นคนขับรถที่เก่งกาจไม่ใช่หรือไง?”

ฉินสือโอวรีบใช้มือดึงบังเหียน ฟรีดริชไม่มีทางเลือก นี่คือคำสั่งบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย? ข้าก็เป็นแค่ม้าตัวหนึ่งนะไม่ใช่คน นายสั่งแบบนี้จะไปเข้าใจได้อย่างไร

ในตอนนั้นความเร็วในการวิ่งของฟรีดรีชก็ช้าลง พอลลี่เข้ามาดึงบังเหียนม้าไว้ให้มันหยุดเดิน หลังจากนั้นก็ดึงกลับ เขายิ้มและพูดว่า “ที่จริงแล้วคุณทำได้ดีเลยทีเดียวนะฉิน”

ฉินสือโอวพูดอย่างท้อใจ “พอเถอะ ผมไม่ใช่เด็กนะครับ ผมรับได้ ไม่ต้องปลอบผมหรอก”

พอลลี่พูดอย่างจริงจัง “จริงๆ นะฉิน ก็นี่เป็นครั้งแรกที่คุณขี่ม้า ขี่ม้าครั้งแรกก็ยังไม่รู้แรงควบคุมม้าเป็นธรรมดา อย่างตอนที่เหมาขี่ม้าครั้งแรกก็…”

“อย่าพูดนะ พอลลี่!” เหมาเหว่ยหลงรีบพูดขึ้นมาเสียงดัง

ฉินสือโอวจึงถามอย่างสนอกสนใจ “พอลลี่ พูดเลย การขี่ม้าครั้งแรกของเสี่ยวเหมาเป็นยังไงเหรอ? จะกลัวจนฉี่ราดกางเกงเลยไหมนะ?”

พอลลี่ยักไหล่ “เรื่องนี้พวกคุณไปคุยกันส่วนตัวเถอะนะ มาฉิน ผมจะสอนวิธีทำให้ม้าถอยกลับ ฝึกทักษะพื้นฐานนี้ได้ ท่าทางอื่นๆ ก็ง่ายแล้ว”

พอลลี่จึงสอนความรู้เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพื้นฐานให้แก่ฉินสือโอว ส่วนวินนี่ที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าก็แสดงการที่ขี่ม้าแบบเร็วและช้า หรือจะเป็นเดินหน้าถอยหลังให้ดู การดูแลแบบนี้ทำให้เหมาเหว่ยหลงอิจฉาและเอาแต่บ่นว่า “ตอนผมเรียนขี่ม้าทำไมไม่เห็นมาดูแลกันแบบนี้บ้างเลย?”

ฉินสือโอวยิ้มเยาะ “ผู้ที่ตั้งตนอยู่ในธรรมย่อมจะมีแต่ผู้ให้การช่วยเหลือ แกไม่เข้าใจหลักการนี้เหรอวะ?”

วินนี่ทำท่าทางพื้นฐานอยู่พักหนึ่ง หลังจากคุ้นเคยกับม้าแล้ว เธอก็ใช้ผ้าพันคอยีนเช็ดเหงื่อที่คอม้า ให้มันได้พักผ่อน

ฉินสือโอวก็ถอดผ้าพันคอออกมา ฟรีดริชรอให้เขาเข้าไปเช็ดให้มัน แต่สุดท้ายฉินสือโอวก็หยิบมาเช็ดเหงื่อให้ตัวเอง เช็ดหน้าเสร็จก็เอาไปเช็ดตัวต่อ พลางถอนหายใจออกมา “ขี่ม้าก็เหนื่อยมากเลยนะเนี่ย”

ฟรีดริชก็อยากจะบอกเขาเหมือนกันว่า มันที่ต้องแบกเขาเนี่ยเหนื่อยกว่าไหม!

วินนี่พักสิบนาทีกว่า หลังจากนั้นก็พลิกตัวขึ้นขี่ม้า แล้วใช้เท้าด้านหลังแตะที่ท้องม้า มือก็บังคับบังเหียนแล้วร้องขึ้นมา จากนั้นม้าที่เธอนั่งอยู่ก็เริ่มเร่งความเร็ว

ร่างกายของวินนี่ก็ยังคงเหยียดตรงอยู่บนม้า มีแค่จังหวะการสะเทือนของร่างกายที่เร็วขึ้น แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สวยงาม เหมือนกับม้าที่อยู่ใต้สะโพกของเธอเป็นคู่เต้นรำ เธอเหมือนไม่ได้กำลังขี่ม้าแต่กำลังเต้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น

พอลลี่มองตาค้างแล้วอุทานออกมาอย่างตกตะลึง “พระเจ้า ฉิน ภรรยาของคุณต้องเคยเรียนการขี่ม้าของพระราชวังมาแน่เลย และอาจารย์ของเธอต้องมีฝีมือระดับเทพ! ผมเคยเห็นแบบนี้แค่ที่การแสดงขี่ม้าที่แฮมิลตันเท่านั้น!”

เหมาเหว่ยหลงมองอยู่พักหนึ่งแล้วก็มองไปยังฉินสือโอว สายตาซึ่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ

ฉินสือโอวจึงมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “แกมองอะไรวะ?”

เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยความประหลาดใจ “ฉันก็ไม่เข้าใจเลย วินนี่เป็นราชินีคู่กับเจ้าชายก็ยังได้ แต่ทำไมถึงได้มามองคนโง่อย่างแกกันนะ?”

“โอ้โห ฉันจะตีแกให้ตาย อย่าหนีนะ!” ฉินสือโอวยกบังเหียนม้าจะเฆี่ยนเหมาเหว่ยหลง เขารีบขึ้นขี่ม้า แล้วสะบัดบังเหียนควบคุมม้าให้วิ่ง

ฉินสือโอวก็ขึ้นขี่ม้า ครั้งนี้เขาควบคุมการวิ่งของม้าได้แล้ว ตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูทแตะท้องม้าเบาๆ ที่ด้านหลังตะปูมีลูกล้อกลิ้งอยู่ ฟรีดริชรู้สึกถึงมันจึงได้เร่งความเร็วขึ้นไปอีก

ครั้งนี้ ในที่สุดความเร็วมันก็เพิ่มขึ้น และความเร็วปานลมกรดและสายฟ้าแลบก็ปรากฏออกมา!

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท