ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1317 เสี่ยวหมิงไปไหนแล้ว

บทที่ 1317 เสี่ยวหมิงไปไหนแล้ว

เห็นฉินสือโอวจับพี่น้องเฟอเรทขึ้นมา วินนี่ก็เข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”

ฉินสือโอวรู้สึกกลุ้มใจอยู่นิดหน่อย เขากล่าวว่า “เฟอเรทสองตัวนี้จ้องพวกลูกกระรอกดินตาเป็นมันเลย ผมกลัวว่าพวกมันจะกินลูกกระรอกดินเข้าไปน่ะ”

พอพูดจบ เขาก็หันไปจ้องหู่จือกับเป้าจือที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย แล้วดุพวกมันว่า “ลุกขึ้น พวกแกสองตัวนั่งอยู่ตรงนั้นทำไม? ดูหนังหรือยังไง? ทำไมไม่รู้จักช่วยลูกกระรอกดิน?”

หู่จือกับเป้าจือรีบลุกขึ้นยืน แล้วส่ายหางเอาใจฉินสือโอว

วินนี่อุ้มลูกกระรอกดินที่ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หายตัวนั้นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ค่ะ อาจจะไม่ใช่การล่าอาหารก็ได้ ฉันคิดว่าพวกมันอาจจะแค่อยากจะเล่นเกมแมวจับหนู แกล้งลูกกระรอกดินเล่นๆ”

ในตอนนี้ก็มีหัวเล็กๆ สีเหลืองโผล่ออกมาจากพงหญ้าอีกครั้ง พอลูกกระรอกดินพวกนี้ยื่นหัวออกมามองแล้วเห็นฉินสือโอวกับวินนี่ พวกมันก็รีบวิ่งออกมาทันที บางตัวมีรอยเลือดติดอยู่บนขนสีเหลือง บางตัวก็ยกเท้าวิ่งโขยกเขยกเข้ามาที่ทางด้านหน้าของทั้งสองคนแล้วพากันร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร

พอพี่น้องเฟอเรทอ้าปากร้องเสียงแหลมใส่พวกมัน พวกลูกกระรอกดินก็ถอยไปข้างหลังด้วยความรีบร้อน พากันเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันด้วยท่าทางที่น่าสงสาร

ฉินสือโอวมองดูท่าทางของลูกกระรอกดินที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เขาก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ดีว่า “เฟอเรทสองตัวนี้เป็นสัตว์ป่าที่ยังไม่ได้รับการฝึก คุณดูที่พวกมันทำกับลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวสิ นี่คือท่าทางของสัตว์ที่แกล้งกันเล่นเหรอ?”

วินนี่มองดูเฟอเรทแบลคฟุต เธอควักมือถือออกมาออกมาค้นหาข้อมูลอยู่สักพัก หลังจากนั้นเธอก็คิดออกแล้วพูดขึ้นมาว่า “อ้อ ฉันรู้แล้วค่ะ พวกมันไม่ได้จะแกล้งเล่น เฟอเรทในช่วงอายุราวๆ สามสี่เดือนจะเริ่มฝึกล่าอาหาร พวกมันจะใช้ลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวเพื่อฝึกทักษะการล่าอาหารนั่นเอง”

เฟอเรทแบลคฟุตมีความชื่นชอบต่อสัตว์ตระกูลหนูเป็นพิเศษ อย่างในตอนที่แพรรีด็อกถูกญาติของพวกมันทำให้บาดเจ็บสาหัสจนทรมานยิ่งกว่าตาย

ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พี่น้องเฟอเรทยังอายุน้อย ขนาดตัวก็ยังเล็ก ตัวเล็กกว่าลูกกระรอกดินตั้งสองเท่า เขาคาดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกลูกกระรอกดินก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเฟอเรทแบลคฟุต

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการสยบศัตรูทางธรรมชาติ เดิมทีลูกกระรอกดินก็เป็นสัตว์ป่าตัวน้อยที่ว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว พวกมันมีนิสัยขี้ขลาด แค่ลมพัดหญ้าไหวพวกมันก็มุดเข้าไปซ่อนตัวในรูแล้ว โดยเฉพาะกับเฟอเรทแบลคฟุตที่เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของพวกมัน พวกมันก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

ฉินสือโอวจิ้มหน้าผากพวกลูกกระรอกดินอย่างพ่อที่อยากให้ลูกทำตัวดีขึ้น เขาพาพี่น้องเฟอเรทมาไว้ตรงหน้าพวกมัน แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “สัตว์ที่ตัวเล็กแค่นี้พวกแกกลัวทำไมกัน?”

พอพี่น้องเฟอเรทเข้ามาใกล้ ลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวก็พากันก้าวถอยหลังทันที ต่อจากนั้นก็มุดหัวลงไปขุดรูอย่างรวดเร็ว แล้วมุดลงไปติดๆ กัน ผ่านไปได้สักพักถึงเพิ่งจะกล้าโผล่หัวออกมาอย่างเหนียมอาย

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “พอไม่มีเสี่ยวหมิงที่คอยปกป้องพวกมัน เจ้าพวกนี้ก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ใช่แล้ว เสี่ยวหมิงล่ะ? ทำไมมันถึงได้ยอมให้เพื่อนตัวน้อยของตัวเองถูกรังแกจนมีสภาพแบบนี้กันล่ะ?”

วินนี่มองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “น่าจะไม่อยู่ที่นี่นะคะ ไม่อย่างนั้นพวกกระรอกดินคงจะไปหามันตั้งแต่นานแล้ว ลูกเฟอเรทเองก็คงไม่กล้ารังแกพวกมันแบบนี้แน่”

ตามหาอยู่สักพักแต่ก็หาเสี่ยวหมิงไม่เจอ ฉินสือโอวลองไปดูที่ใต้ต้นชูการ์เมเปิล แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเสี่ยวหมิง เขาจึงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว

กลับไปที่บ้านก่อนแล้ว ที่นั่นเธอกำลังอุ้มลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมาสองวันพร้อมกับเรียกว่าลูกรักๆ อยู่อย่างนั้น เสี่ยวเถียนกวาบิดตัวอย่างแรง เพราะไม่อยากให้เธออุ้ม เธอแค่อยากคลานเล่นด้วยตัวเธอเองก็เท่านั้น

แม่ของฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจว่า “เด็กน้อยในครอบครัวของพวกเราโตเร็วจริงๆ เลย ดูสิตอนนี้เธอก็สามารถคลานได้แบบนี้แล้ว ใช้เวลาอีกไม่เท่าไรเดี๋ยวก็คงเดินได้แล้วล่ะ”

วินนี่พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ถ้าเสี่ยวเถียนกวาวิ่งเป็น พวกสัตว์เลี้ยงในบ้านก็คงซวยแล้วละค่ะ เธอค่อนข้างเหมือนฉันตอนยังเป็นเด็กอยู่นิดหน่อย ตอนเป็นเด็กฉันเป็นหัวหน้าแก๊งเลยละค่ะ แล้วฉินละคะ? ฉินเป็นแบบนั้นไหม?”

พ่อของฉินสือโอวพ่นลมหายใจต่ำออกทางจมูก พูดว่า “หนูถามถึงเสี่ยวโอวน่ะเหรอ? เสี่ยวโอวเป็นพวกแข็งในอ่อนนอก อย่างกับหมัดกระโดดใส่ไฟสุมเตียง เก่งแต่ตอนอยู่ในบ้าน พอพ้นประตูบ้านไปก็กลายเป็นคนขี้กลัวแล้ว”

ฉินสือโอวร้องเหอะอย่างอ่อนระโหยโรยแรง หลังจากนั้นก็กลับมาร้อนรุ่มกลุ้มใจต่อ

แม่ฉินมองดูเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ แล้วถามขึ้นมาว่า “แกเป็นอะไรไป? สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เรียกหมอโอดอมมาดูอาการหน่อยไหม?”

ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญาว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกำลังเป็นห่วงเสี่ยวหมิงอยู่น่ะ ใช่แล้ว พ่อครับแม่ครับ หลายวันมานี้มีใครเห็นเสี่ยวหมิงบ้างไหม?”

กระรอกน้อยมีความอยากอาหารต่ำ โดยทั่วไปแล้วมันจะจัดการปัญหาเรื่องอาหารด้วยตัวเอง มันปีนป่ายกระโดดโลดเต้นได้ วิ่งก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดสน เบอร์รีหรือผักสด ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับมัน ดังนั้นปกติแล้วมันจึงไม่ได้กลับมากินอาหารที่นี่

พ่อฉินแม่ฉินส่ายหัว แม่ฉินพูดว่า “ใช่แล้ว หลายวันมานี้ไม่ได้เห็นกระรอกน้อยเลย”

ฉินสือโอวก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก เขาพูดว่า “ไม่ได้การแล้ว ผมต้องออกไปตามหามัน”

เขาคนเดียวอาจจะหามันไม่เจอ ทว่าเขามีหู่จือกับเป้าจืออยู่ด้วย เขาจึงหยิบรูปถ่ายออกมาให้สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวดู แล้วถามว่า “มันหายไปไหนแล้ว?”

หู่จือกับเป้าจือมองดูฉินสือโอวอยู่สักพัก หลังจากนั้นจึงหมุนตัววิ่งออกไปข้างนอก ฉินสือโอวจึงวิ่งตามพวกมันไปด้วยความเร่งรีบ

ปรากฏว่าพอออกมาข้างนอกแล้ว พวกสุนัขแลบราดอร์ก็วิ่งตะบึงเข้าไปทางป่าเล็กโดยพลัน ฉินสือโอววิ่งตามไม่ทัน เขาทำได้แค่ตะโกนบอกให้พวกมันวิ่งช้าลงอีกหน่อย

วินนี่เรียกเขาให้กลับเข้า เธอพูดกับเขาว่า “หาเสี่ยวหมิงไม่เจอ บางทีมันน่าจะเข้าไปหาสัตว์ชนิดเดียวกันบนภูเขาแล้วหรือเปล่าคะ? ฤดูร้อนเป็นฤดูติดสัดของกระรอกแดง นี่มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี เสี่ยวหมิงเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่กับเขามาตั้งแต่แรก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นกระรอกแดง สัตว์ชนิดนี้ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกมันจึงไม่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเท่าไรนัก

ดังนั้นหลังจากที่เลี้ยงหู่จือกับเป้าจือ ฉินสือโอวก็ปฏิบัติกับมันอย่างเย็นชา ตอนนี้เมื่อลองมาคิดดูเขาก็รู้สึกอยากจะขอโทษเสี่ยวหมิงบ้างแล้ว

หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นหันมามองเขาจากที่ไกลๆ เขากัดฟันแน่น แล้วรีบขับรถเอทีวีตามเข้าไป

เป็นอย่างที่คิดไว้ สุนัขแลบราดอร์วิ่งเข้าไปในป่าเล็กแล้ว พอวิ่งเข้ามาข้างในป่าเล็กพวกมันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้วเหมือนกัน ทำได้แค่ร้องโฮ่งๆ แหงนหน้ามองฉินสือโอวอยู่อย่างนั้น

ฉินสือโอวอุ้มสุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวขึ้นมาอยู่บนรถ ใจของเขาเริ่มนิ่งขึ้นมาบ้างแล้ว แบบนี้ดูเหมือนว่าวินนี่น่าจะพูดถูก เสี่ยวหมิงขึ้นเขาไปหาคู่แล้วนั่นเอง

เมื่อคิดถึงเรื่องหาคู่ ฉินสือโอวก็อดหันไปมองหู่จือกับเป้าจือไม่ได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มโสดตามมาตรฐานเลยล่ะ ตอนนี้พวกมันก็อ้วนท้วนแข็งแรงบึกบึนแล้ว ถึงวัยที่ควรจะได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาจะเมินเฉยกับปัญหานี้ไม่ได้

หู่จือกับเป้าจือติ๊งต๊องไม่รู้เรื่องรู้ราว พอเห็นฉินสือโอวมองมา พวกมันก็เกาะไหล่เขาไว้ โน้มเข้าไปใกล้ๆ เริ่มออดอ้อนเขาด้วยการใช้หน้าผากนุ่มลื่นถูกับใต้คางของเขาทันที

เห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จากเรื่องของเสี่ยวหมิงทำให้ฉินสือโอวนึกได้ว่าเขาไม่ได้เล่นกับพวกสัตว์เลี้ยงมานานมากแล้ว เขาจึงกลับไปลากฉงต้า ปอหลัว ราชาเจ้าป่าซิมบ้ากับหลัวปอมาด้วยกัน แล้วขับเจ็ทสกีลากพวกมันออกไปที่ทะเล

นี่ทำให้หลัวปอตกใจจนขวัญเสีย มันกลัวน้ำสุดขีด จึงใช้อุ้งเท้ากดกับแผ่นพลาสติกนอนหมอบอยู่บนเกาะล่องแก่ง มันแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าร้องครวญครางออกมาไม่หยุดไม่หย่อน “บรู๊วๆ! บรู๊วๆๆๆ!”

ขับเคลื่อนเทพเจ้าสายฟ้ามืดสาดละอองคลื่นไปทั่ว พวกชาร์คนั่งเรือกลับมาเจอพอดี เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็เอ่ยชมออกมาว่า “เฮ้ บอสครับ สมแล้วที่หลัวปอเป็นถึงราชาหมาป่า คุณดูท่าร้องคำรามตอนที่อยู่บนน้ำของมันสิ สง่างามไม่แพ้ภาพหมาป่าภูเขาร้องคำรามใต้แสงจันทร์เลย!”

“ผมกล้าพนันเลยว่า หลัวปอต้องอยากลงน้ำแน่ๆ มันกำลังร่ำร้องเพราะต้องการจะเอาชนะมหาสมุทรให้ได้ ใช่ไหม?”

หลัวปอหันหัวกลับไปถลึงตาใส่พวกชาวประมง มันไปทำอะไรให้โกรธแค้น? ไม่รู้เหรอว่าถ้าลงน้ำแล้วฉันจะกลายเป็นลูกหมาตกน้ำน่ะ?

ขณะที่ทางฝั่งของสาวน้อยหมาป่าขาวกำลังหวาดกลัว ทันใดนั้นฉงต้าก็ลุกยืนขึ้น มันหันไปถลึงตาโตใส่พวกชาวประมง ต่อจากนั้นก็แหงนหน้าร้องคำรามออกมาสองครั้ง แล้วเริ่มวิ่งอยู่บนเกาะล่องแก่ง

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท