ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1329 ซูเปอร์เทเลสโคป

บทที่ 1329 ซูเปอร์เทเลสโคป

ปลาหัวเมือกแต่ละอวนถูกทยอยยกขึ้นมา เนื่องจากความกดอากาศทำให้ปลาทะเลน้ำลึกเหล่านี้ตายทันทีหลังจากโผล่ขึ้นมาสัมผัสกับอากาศ ดังนั้นชาวประมงจึงต้องนำพวกมันไปแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาความสดของปลาเอาไว้

ในตอนนี้ฉินสือโอวก็ต้องเข้าไปช่วยงานด้วยเหมือนกัน ไม่จำเป็นเอาไปใส่ห้องแช่แข็ง พวกเขาเตรียมกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิมาก่อนแล้ว ข้างในมีน้ำแข็งอยู่ แค่เก็บปลาพวกนี้แยกตามขนาดก็พอแล้ว

จับขึ้นมาห้าอวน ได้ปลาหัวเมือกราวๆ สองตัน ส่วนใหญ่ยาวยี่สิบเซนติเมตรกว่าๆ ลำตัวอวบอ้วน ดูแล้วไม่นับว่ามีขนาดใหญ่นัก แต่ที่จริงที่ปลาพวกนี้โตได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าตัวใหญ่มากแล้ว เพราะปกติต้องใช้เวลาตั้งแปดสิบถึงหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว

ปลาหัวเมือกเป็นผู้เฒ่าในหมู่ปลาทะเล จากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ พบว่าพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี!

เนื่องจากเติบโตได้ช้า ปลาชนิดนี้จึงมีปริมาณน้อยมาโดยตลอด ที่ฟาร์มปลาต้าฉินสามารถจับขึ้นมาได้คราวละสองตันก็น่าประหลาดใจมากแล้ว อย่างที่เม็กซิโก ผลการผลิตรวมทั้งประเทศ ยังจับขึ้นมาได้เพียงปีละสี่ร้อยตันเท่านั้น

ที่ปลาหัวเมือกมีราคาแพง ไม่ใช่เพียงเพราะการเจริญเติบโตที่ช้าและความขาดแคลนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเนื้อของปลาชนิดนี้มีแร่ธาตุและวิตามินที่ร่างกายมนุษย์ต้องการมากกว่า 20 ชนิดทั้งยังมีโปรตีนสูง มีไขมันต่ำและคอเลสเตอรอลต่ำ

แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งล้ำค่าที่สุด สิ่งที่ล้ำค่ากว่านั้นคือ “สมองทองคำ” ที่อยู่ในหัวและกระดูกของปลาหัวเมือก ที่สามารถกระตุ้นเซลล์สมอง เพิ่มความจำและชะลอความชราได้ต่างหาก สามารถนำกระดูกของมันมาต้มดื่มเพื่อบำรุงตับและไตได้ หากดื่มเป็นประจำก็จะสามารถยืดอายุได้ด้วย

ปลาหัวเมือกของฟาร์มปลาต้าฉินเป็นปลาที่ฉินสือโอวล่อมาจากเขตน่านน้ำภายนอก เขาควบคุมปริมาณการจับปลา โดยหนึ่งเดือนเขาจะจับขึ้นมาแค่หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะได้ปลาเท่าไรเขาก็จะทิ้งอวนลงไปแค่ห้าปากเท่านั้น

สำหรับฝูงปลาหัวเมือกหนึ่งฝูงแล้ว ปริมาณการจับเท่านี้ถือว่ามีสิทธิ์ทำให้พวกมันสูญพันธุ์ได้เลย แต่ฉินสือโอวก็เพิ่มพลังโพไซดอนให้พวกมันทุกวัน ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันอ้วนพีขนาดนี้ พวกปลาหัวเมือกไม่ได้อ้วนเพราะกินอาหารเยอะหรอกนะ

พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด สำหรับปลาหัวเมือกแล้วมันมีผลในด้านการช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตเหมือนกันกับปะการัง หลังจากที่ปลาชนิดนี้ดูดซึมพลังโพไซดอนเข้าไปแล้วก็จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

วันนี้พวกเขามาจับปลาหัวเมือกโดยเฉพาะ และปลาหัวเมือกทั้งสี่ตันนี้ก็คุ้มค่ากับแรงกายแรงใจและเวลาที่เสียไปของพวกเขาแล้ว

ในบรรดาอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ปลาหัวเมือกหนึ่งกิโลกรัมมีมูลค่ากว่าห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ และในร้านอาหารชั้นนำเมนูปลาหัวเมือกหนึ่งจานก็มีมูลค่าหลายพันดอลลาร์ แตกต่างกันไปตามระดับของร้านอาหาร

นำปลาหัวเมือกแต่ละตัวลงไปเก็บไว้ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิตามขนาดของปลาเสร็จ เรือฮาวิซทก็เดินทางกลับ หลังจากเข้าเทียบท่าเรือ ก็มีรถกระบะขับเข้ามาแล้วรีบขนย้ายเข้าไปไว้ในห้องแช่แข็งทันที ครั้งนี้ต้องแช่แข็งเอาไว้ หลังจากนั้นก็จะนำไปส่งให้กับร้านจำหน่ายอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินอีกที

ฉินสือโอวโทรไปหาบัตเลอร์ แล้วพูดกับเขาว่า “เฮ้ เพื่อน จับปลาหัวเมือกขึ้นมาแล้วนะ นายจะมารับไปตอนไหน? รอบนี้หนักประมาณห้าพันปอนด์”

บัตเลอร์ก็ตอบเขากลับมาว่า “รอฉันก่อน พรุ่งนี้ฉันก็จะไปหานายที่นั่นแล้ว ตอนนี้ปลาพวกนี้ขายได้ค่อนข้างดีเลย ฉันรอให้นายจับพวกมันขึ้นมาตั้งนานแล้ว”

ฉินสือโอวได้ยินว่าเขาจะมาที่นี่พรุ่งนี้ จึงถามเขาด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “ถ้านายจะมาพรุ่งนี้ งั้นนายพอจะหากล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์มาด้วยได้ไหม? อันที่ดูเหมือนปืนใหญ่น่ะ คืนพรุ่งนี้จะได้ดูพระจันทร์ด้วยกัน”

เสียงหัวเราะของบัตเลอร์ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ “เฮ้อ ฉันว่านะ นี่นายคอยจับตามองฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย? เมื่อวานฉันเพิ่งจะซื้อกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงมา ทำไมวันนี้นายก็ถามหามันแล้วล่ะ?”

ถือว่าบังเอิญมากจริงๆ ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แบบนี้ก็พอดีเลย มีกล้องโทรทรรศน์ของบัตเลอร์พวกเขาก็ไม่ต้องเข้าไปในเมืองแล้ว ทุกคนแบ่งกันดูอยู่ที่บ้านก็พอ

เขาว่าแบบนี้มันดีจริงๆ เช้าวันต่อมาบัตเลอร์ก็นั่งเครื่องบินมาที่นี่ แถมยังนำของที่เหมือนกับปืนใหญ่มาด้วยสองอัน ซึ่งนี่ก็คือกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงนั่นเอง ตอนที่เห็นฉินสือโอวก็ถึงกับตกใจเช่นกัน

“ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ

บัตเลอร์บอกว่า “แน่นอนสิ นี่มันถึงแสนดอลลาร์สหรัฐเลยนะ! ตอนนี้นักดาราศาสตร์ที่นิวยอร์กก็ใช้เจ้านี่แหละในการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า ฉันได้ยินมาว่าสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 40,000 ปีแสงเลยนะ!”

“ฟัค 40,000 ปีแสงเลยเหรอ!” บูลหลุดอุทานอย่างแตกตื่น “ขนาดแสงยังใช้เวลาเดินทางตั้งสี่หมื่นปี มันต้องไกลแค่ไหนกัน?”

เบิร์ดพูดแกมหัวเราะว่า “พูดแบบนี้ทำให้นายยิ่งดูซื่อบื้อกว่าเดิมอีกนะ ใครบอกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่มองได้ไกลถึงสี่หมื่นปีแสงจะต้องเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ดีกันน่ะ?”

“ถ้าอย่างนั้นนายอยากจะให้มันมองได้ไกลแค่ไหนกันล่ะ? อย่าทำตัวเป็นพวกไม่รู้จักพอไปหน่อยเลย” บัตเลอร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์

เบิร์ดจึงไหวไหล่แล้วพูดว่า “กล้องโทรทรรศน์มองไปได้ไกลแค่ไหนไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าจะตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี ก็ต้องดูว่ามันช่วยให้มองเห็นได้ชัดแค่ไหนต่างหาก พวกนายรู้ไหม ดวงตาของคนทั่วไปก็สามารถมองออกไปไกลได้ถึงสี่หมื่นปีแสงเหมือนกันนะ”

“จะเป็นไปได้ยังไง?” สีหน้าของบัตเลอร์เต็มไปด้วยความงงงวย

เบิร์ดจึงถามว่า “พวกนายไม่เคยใช้ตาเปล่ามองดูกาแล็กซีแอนโดรเมดามาก่อนเลยเหรอ?”

“ต้องเคยอยู่แล้วสิ แอนโดรเมดา เนบิวลา กลุ่มดาวนายพราน แล้วก็มีอะไรอีกนะ?”

“มีอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจแล้ว แค่รู้ไว้ว่าแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากโลกสี่หมื่นปีแสงก็พอ” เบิร์ดกล่าว

บัตเลอร์ยังพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ที่นายพูดก็อาจจะไม่ถูกก็ได้”

เบิร์ดจึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “นี่มันความรู้รอบตัวนะ ฉันอาจจะไม่ได้รู้ลึกเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ แต่ตอนที่พวกเราฝึกวิชาซุ่มยิง พวกเราก็ต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ด้วย ถามนีลเซ็นสิ”

นีลเซ็นไหวไหล่แล้วตอบว่า “ความรู้พื้นๆ แบบนี้ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงด้วยซ้ำ”

หลังจากนั้นบัตเลอร์ก็ควักมือถือออกมาต่อสายโทรทันที หลังจากอีกฝั่งรับสายแล้วเขาก็เริ่มตะโกนออกไปว่า “ฟัคยู! เนวิล ไอ้ลูกหมา! นายกล้าหลอกฉันเหรอ? นายตายแน่! นายตายแน่!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง รอจนบัตเลอร์คุยโทรศัพท์ด้วยความโมโหเสร็จแล้ว เบิร์ดที่กำลังส่องดูกล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์อยู่ตลอดเวลาก็พูดขึ้นมาว่า “แต่นี่เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่สุดยอดมากๆ เลยนะ คืนนี้พวกเราอาจจะมองเห็นรอยเท้าที่อาร์มสตรองทิ้งไว้บนดวงจันทร์ก็ได้”

บัตเลอร์เบิกตาโต “นายรีบบอกฉันให้มันครบๆ ตั้งแต่แรกไม่ได้หรือไงวะ”

เบิร์ดไหวไหล่ตอบว่า “เมื่อกี้แค่แก้ไขความเข้าใจผิดของนายที่มีต่อความรู้รอบตัวก็เท่านั้น ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ากล้องโทรทรรศน์ตัวนี้ดีหรือไม่ดี”

คราวนี้พวกชาวประมงคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาแล้วเช่นกัน

ช่วงเที่ยงฮิวจ์คนน้องถามฉินสือโอวผ่านวิทยุสื่อสารว่าอยากจะไปดูพระจันทร์สีเลือดด้วยกันไหม ฉินสือโอวก็พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ไม่ล่ะ เพื่อน พวกเราไม่ต้องไปที่นั่นหรอก ที่บ้านฉันก็มีกล้องโทรทรรศน์อยู่ตัวหนึ่งเหมือนกัน ราคาถึงแสนดอลลาร์สหรัฐเลยนะ!”

“ชิท นายนี่เป็นมหาเศรษฐีของแท้เลยนะ”

“ขอบคุณนะ แต่ก็ไม่เท่าไรหรอก”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันสิต้องขอบคุณนาย ฉิน นายขนกล้องโทรทรรศน์เข้ามาในเมืองหน่อยสิ พวกเราจะจัดปาร์ตี้หมาป่าก่อจลาจลกันในเมือง นายน่าจะไม่เคยไปงานปาร์ตี้ที่มีธีมแบบนี้มาก่อนใช่ไหมล่ะ มาเถอะนะ”

ฉินสือโอวก็อยากจะปฏิเสธ เพียงแต่ว่าหลายๆ คนก็ไปร่วมงานนี้ แถมยังมีคนโทรศัพท์มาหานายกเทศมนตรีอีกต่างหาก บอกว่าจะให้นายกเทศมนตรียึดกล้องโทรทรรศน์ของเขามาใช้

ท่านชายฉินกลัวการคุกคามของคนพวกนี้นี่แหละ ดังนั้นเขาจึงบอกพวกนั้นไปอย่างไม่ลังเลว่า บ่ายวันนี้เขาจะเอากล้องโทรทรรศน์เข้าไปไว้ที่สนามบาสตรงหัวมุมถนนในเมือง “เรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปรบกวนนายกเทศมนตรีของพวกเราหรอกใช่ไหม?”

เสียงร้องดีใจของคนกลุ่มนั้นดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร ฮิวจ์คนน้องก็ร้องเอ็ดตะโรโวยวายว่า “เพื่อน นายทำตัวจองหองต่อไปเถอะ ตอนนี้พวกเรามีวิธีควบคุมนายแล้ว”

“แต่คืนนี้ฉันจะจัดการนายแน่” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท