ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1337 แหวนแต่งงาน

บทที่ 1337 แหวนแต่งงาน

ตอนนี้คุยกันถึงแค่เท่านี้ก่อน บัตเลอร์กลับไปแล้ว เนื่องจากว่าเขาต้องรวบรวมกำลังคนเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านสาขา ฉินสือโอวจึงขอติดเครื่องบินไปด้วย เพราะเขาต้องไปนิวยอร์กเพื่อเตรียมแหวนแต่งงาน

เครื่องบินมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติจอห์นเอฟ เคนเนดีแล้ว รถโรลส์รอยซ์คันหนึ่งขับเข้ามาหา หลังจากนั้นคนขับรถก็เปิดประตูรถ คนที่ออกมาจากรถคันนั้นก็คือชายวัยกลางคนท่าทางดูมีภูมิฐานคนหนึ่ง และชายผู้นั้นก็คือวินเซนต์ ทิฟฟานี่ ผู้อำนวยการบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคนั่นเอง

“เฮ้ คุณวินเซนต์เองเหรอครับ? เป็นเรื่องบังเอิญจังเลยนะครับที่ได้พบกับคุณที่นี่” ฉินสือโอวเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายเขาก่อน

วินเซนต์แย้มรอยยิ้มแล้วตอบเขากลับมาว่า “แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ ผมเชื่อว่านี่เป็นเพราะเจตจำนงของพระเจ้าที่ทำให้พวกเราได้มาพบกัน”

ฉินสือโอวพูดว่า “บางทีก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ถึงยังไงผมก็คิดว่าคุณคงไม่มาที่นี่เพื่อมารับผมหรอกครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงรู้สึกทึ่งมากๆ”

บัตเลอร์จึงพูดว่า “ไม่ใช่หรอก ‘บางที’ ก็อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ แต่ฉันก็เชื่อว่าพระเจ้าคงจะดลใจให้นายโทรไปหาคุณลีฟล่วงหน้า หลังจากนั้นก็ดลบันดาลให้คุณลีฟโทรไปแจ้งคุณวินเซนต์ ดังนั้นเขาถึงได้บอกว่าการที่ได้พบนายที่นี่เป็นเจตจำนงของพระเจ้า ใช่ไหมละครับ?”

วินเซนต์จับมือกับเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วล่ะครับ คุณบัตเลอร์ คุณขยายความได้ชัดเจนมาก”

หลังจากฉินสือโอวขึ้นมาบนรถโรลส์รอยซ์แล้ว รถยนต์คันนั้นก็ขับตรงไปที่ร้านแฟล็กชิพสโตร์ของทิฟฟานี่แอนด์โคทันที ลีฟได้เตรียมชาเขียวแบบที่เขาชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายคุยกันอยู่สักพักก็ตัดบทสนทนาเข้าสู่เรื่องสำคัญ แล้วฉินสือโอวหยิบเอากล่องผ้าไหมออกมา

พอเขาเปิดกล่องขึ้น ไข่มุกสีดำขนาดใหญ่พิเศษก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาจนครบทุกเม็ด

เมื่อได้เห็นไข่มุกเหล่านี้ต่อให้เป็นคนที่มีประสบการณ์กว้างขวางอย่างวินเซนต์ก็ยังถึงกับร้องอุทานออกมา “พระเจ้า ผมรู้สึกอับอายกับความภาคภูมิใจที่ผ่านมาจริงๆ ที่แท้บนโลกใบนี้ยังมีไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย!”

ไข่มุกเม็ดใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากันกับลูกวอลเลย์บอล แต่แน่นอนว่าพวกนั้นมักจะเป็นไข่มุกคุณภาพต่ำ ที่ขายเอาราคาจากขนาดเท่านั้น เป็นไข่มุกสำหรับนำไปทำงานแกะสลัก แท้ที่จริงกลับไม่ได้มีสุนทรียภาพของความงามแต่อย่างใด รูปร่างไม่กลมกลึง สีสันที่ได้ก็ไม่มีความสวยสดงดงาม

มีไข่มุกสีดำขนาดใหญ่อยู่ไม่มาก เนื่องจากหอยที่ให้กำเนิดพวกมันขึ้นมามีร่างกายเป็นของเพศเมีย หอยนางรมลอยจะเติบโตจนมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษได้ยากมาก แบบนี้จึงทำให้มันไม่สามารถสร้างไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ขึ้นมาได้

ไข่มุกสีดำพวกนี้ที่ฉินสือโอวนำมา เม็ดใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่สามเซนติเมตร รูปร่างของมันไม่ได้กลมกลึงมากนัก มันมีขนาดค่อนข้างคล้ายกันกับไข่เบอร์ใหญ่สุดของนกพิราบที่เลี้ยงกันในปัจจุบัน

หากไข่มุกไม่มีความกลมกลึงมากพอ มูลค่าของมันก็จะลดลงมาถึงครึ่งหนึ่ง ทว่าไข่มุกสีดำเม็ดนี้มีสีสันสวยงามมาก เป็นสีดำสนิทหากแต่เกลี้ยงเกลาเงางาม ดูงดงามสว่างสดใสและแฝงไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา ดังนั้นมูลค่าของมันจึงยังสูงอยู่มาก

ไข่มุกสีดำอีกสิบกว่าเม็ดที่เหลือแม้จะมีขนาดใหญ่ไม่เท่าไข่มุกเม็ดนี้ ทว่าพวกมันก็กลมกลึงยิ่งกว่า ทั้งยังมีไข่มุกที่มีความกลมกลึงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบอยู่ถึงสี่เม็ด ไข่มุกสีดำพวกนี้ล้วนแต่เป็นมีความล้ำค่าอย่างประเมินราคาไม่ได้

ได้เห็นไข่มุกพวกนี้วินเซนต์ก็ร้องอุทานด้วยความตกตะลึงไปพร้อมๆ กับความรู้สึกปีติยินดี โชคดีที่เขารู้ว่าฉินสือโอวจะมาที่นี่เลยตั้งใจไปรับเขาด้วยตัวเอง เพื่อแสดงออกถึงความเคารพ ถ้าดูแลลูกค้าอย่างเขาได้ไม่สมฐานะจนทำให้เกิดความไม่พอใจ ก็คงสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล

ลีฟร่วมงานกับฉินสือโอวมาหลายครั้งแล้ว พวกเขาค่อนข้างสนิทกัน เธอจึงเอ่ยปากถามเขาว่า “ฉิน นี่เป็นของของคุณทั้งหมดเลยเหรอคะ?”

ฉินสือโอวจึงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วครับ คุณก็รู้ว่าผมมีฟาร์มปลาที่ใหญ่มากอยู่หนึ่งที่ ผมชอบพูดคุยกับพวกคนแก่ที่หากินอยู่กับทะเล ที่จริงผมแค่อยากได้ประสบการณ์การดูแลฟาร์มปลาจากพวกเขา แต่หลายครั้งก็มักจะได้ของที่สร้างความประหลาดใจให้กับผมมาหลายอย่าง”

“อย่างเช่นปะการังน้ำลึกสีแดงชิ้นนั้นใช่ไหมคะ?” ลีฟถามด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม

“หรืออย่างเช่นไข่มุกสีดำพวกนี้” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “พวกคุณจะช่วยเก็บความลับให้ผมใช่ไหมครับ? ผมว่าในเมื่อพวกคุณกล้าปฏิเสธการขอต่อราคาของประธานาธิบดี ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็คงกล้าปฏิเสธคนที่มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับไข่มุกสีดำใช่ไหมครับ?”

ไม่ต้องให้ลีฟเป็นคนตอบ วินเซนต์ก็ยืนยันกับเขาด้วยความหนักแน่น “เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงเลย ฉิน พวกเรายินดีที่จะปกป้องความลับของลูกค้าอย่างเต็มที่!”

ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับหันไปมองท่าทีของลีฟด้วยสายตาแฝงความนัย

วินเซนต์ถามเขาว่าจะจัดการไข่มุกสีดำพวกนี้อย่างไร ฉินสือโอวจึงหยิบไข่มุกเม็ดที่ใหญ่ที่สุดออกมาแล้วพูดว่า “เริ่มจากมันก่อนเลยครับ ผมอยากได้แหวนแต่งงานหนึ่งคู่ พวกคุณยังมีแบบจำลองนิ้วมือของผมกับภรรยาอยู่ใช่ไหมครับ? ก็เอาตามนั้นเลยแล้วกัน”

พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้จังหวะหัวใจก็เต้นช้าลงทันที เขาแผ่มือออกแล้วพูดว่า “หมายความว่าคุณต้องการจะให้ทุบมันใช่ไหมครับ? โอ้ ไม่นะ อย่าทำอย่างนั้นเลย ฉิน นี่เป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์ คุณจะทำแบบนี้กับมันไม่ได้!”

ฉินสือโอวตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นของขวัญสำหรับภรรยาของผม เป็นแค่ของที่ส่งให้เธอด้วยมือของผมเท่านั้นเองครับ”

เขาชี้ไปที่ไข่มุกสีดำเม็ดอื่นๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าใช้ไข่มุกสีดำเม็ดแรกแล้วทำไม่สำเร็จ จะใช้ไข่มุกสีดำพวกนี้ก็ได้ ผมคิดว่าด้วยขนาดของพวกมันก็น่าจะจัดให้เข้ากันได้ใช่ไหมล่ะครับ?”

วินเซนต์ส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไม่ครับ ไม่มีทางทำพลาดแน่ คุณฉิน คุณวางใจได้เลยครับ พวกเราไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน”

ฉินสือโอวจึงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ ที่จริงแล้วผมก็เสียดายที่จะต้องทำลายไข่มุกสีดำมากขนาดนี้เหมือนกัน”

ที่เขาพูดคือเรื่องจริง เขาใช้พลังโพไซดอนไปกับไข่มุกสีดำล็อตนี้เป็นจำนวนมาก ใช้ทั้งพลังกายและกำลังสมองกว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ หลังจากนี้เขาคงไม่ปล่อยให้พลังโพไซดอนเสียไปกับหอยนางรมลอยมากขนาดนี้ แบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไป

ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มคุยกันถึงค่าใช้จ่ายสำหรับทำแหวนแต่งงาน ลีฟแนะนำเขาว่า “ฉิน ฉันขอแนะนำคุณว่าอย่าใช้ไข่มุกสีดำอย่างเดียวเลยค่ะ แบบนั้นมันสิ้นเปลืองเกินไปแถมยังขาดความแปลกใหม่ แหวนหมั้นของคุณก็ทำมาจากปะการังสีแดงทั้งชิ้นเลยไม่ใช่เหรอคะ? แบบนี้จะทำให้มันดูซ้ำกันหรือเปล่าคะ?”

ฉินสือโอวจึงถามเธอกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าควรจะทำแบบอื่นใช่ไหมครับ?”

ลีฟกล่าวว่า “ใช่แล้วค่ะ ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะลองใช้ไข่มุกสีดำเพื่อเป็นโครงของแหวน ตกแต่งมันด้วยทองคำขาว แล้วใช้เพชรเม็ดเล็กๆ มาประดับตกแต่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ฉันคิดว่าแบบนั้นถึงจะออกมาเป็นผลงานศิลปะ”

ฉินสือโอวพูดว่า “แบบนี้ก็ได้ครับ หวังว่าพวกคุณจะออกแบบมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะต้องเสร็จก่อนสิ้นเดือนนี้นะครับ แบบนั้นพวกคุณทำได้หรือเปล่า?”

ลีฟพยักหน้ารับ ฉินสือโอวก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายในการออกแบบกับค่าใช้จ่ายในการผลิตละครับ?”

“เกรงว่าจะน้อยเลยนะครับ” วินเซนต์ไม่ได้บอกราคาออกมาตรงๆ แต่ตอบเขากลับมาแบบนี้พร้อมกับแย้มรอยยิ้ม

ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “แต่ผมเดาว่าบางทีพวกคุณอาจจะทำให้ผมฟรีๆ ก็ได้”

วินเซนต์พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ครับ ฉิน พวกเราเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักบุญ จะช่วยคุณออกแบบช่วยคุณทำแหวนฟรีๆ ได้ยังไงกันละครับ? คุณต้องรู้ด้วยว่าการทำแหวนแต่งงานแบบนี้ ทำให้พวกเราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมหาศาลเลยล่ะ”

ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาต่อว่า “ใช่ครับ พวกคุณไม่ใช่นักบุญ แต่พวกคุณเป็นเพื่อนของผมไม่ใช่เหรอครับ?”

วินเซนต์ยื่นมือออกไปทำท่าจะชนหมัดกับเขา แล้วพูดว่า “เพื่อนเหรอ เพื่อน ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกัน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! ถ้าอย่างนั้นไข่มุกสีดำพวกนี้ที่เหลืออยู่ คุณจะฝากเพื่อนอย่างพวกเราให้ช่วยผลิตกับช่วยขายให้ด้วยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา แล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ผมคิดไว้อย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว”

วินเซนต์หัวเราะเสียงดังด้วยความพึงพอใจ ในตอนท้ายเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ได้คุยกับคนฉลาดแล้วมีความสุขมากจริงๆ มาเถอะ ฉิน ปล่อยให้ลีฟไปออกแบบแหวนเถอะ พวกเราไม่ต้องไปรบกวนเธอแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไปเที่ยวดูรอบๆ เอง”

จัดการเรื่องหลักๆ ที่เกี่ยวกับแหวนแต่งงานเสร็จแล้ว ด้วยความสามารถในการผลิตของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โค การออกแบบและผลิตแหวนแต่งงานสไตล์คลาสสิคภายในเวลาหนึ่งเดือนจึงไม่ใช่ปัญหา

หลังจากนั้นลีฟก็ตามเข้ามาคุยกับเขา แล้วใช้โอกาสตอนที่วินเซนต์ไม่อยู่พูดกับเขาว่า “คุณฉินคะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ คือว่าเรื่องปะการังสีแดงน้ำลึกชิ้นนั้นน่ะ ฉันไม่ใช่คนที่ทำให้ความลับเรื่องนั้นรั่วไหลนะคะ”

ฉินสือโอวสบตากับเธอ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ผมรู้ครับ ผมให้แหวนปะการังสีแดงเพื่อขอวินนี่แต่งงานไปแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทของพวกคุณก็มีปะการังสีแดงเพิ่มมาอีกชิ้น ใครๆ ก็คงคิดได้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไงใช่ไหมล่ะครับ?”

ลีฟแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ขอบคุณที่เห็นใจและให้อภัยกันนะคะ”

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท