ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1341 แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม

บทที่ 1341 แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม

“ขอบคุณครับ ปู่เฉิน ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่ามันคือของขวัญอะไร?” ฉินสือโอวกล่าว

นายทหารเก่าพูดพึมพำกับตัวเองว่า “กี่ปีแล้วนะ ผ่านมากี่ปีแล้ว ฉันเก็บมันไว้ตลอดเลย ตอนที่ฝึกทหารอยู่ที่แวนคูเวอร์ พี่ฉินดูแลฉันดีมากๆ น่าเสียดาย หลังจากกลับมาจากหนานหยางฉันก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเลี้ยงปลาอยู่ที่นิวฟันด์แลนด์”

พอพูดจบเขาก็หันมามองฉินสือโอว “ถ้าไม่ใช่เพราะเทศบาลนครเซนต์จอห์นเชิญฉันให้มาที่นี่ ฉันอาจจะได้ไปพบพี่ฉินอีกทีตอนตายเลยก็ได้ แล้วถึงตอนนั้นคงจะเพิ่งได้รู้ข่าวคราวของเขา”

เอี๋ยนตงเหล่ยพูดอย่างทอดถอนใจด้วยความรู้สึกเสียดาย “ใช่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีแถมยังอยู่ในยุคสงครามอีก แบบนี้ถ้าขาดการติดต่อกันก็คงไม่ได้เจอกันอีกเลยตลอดชีวิต”

ฉินสือโอวก็พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าปู่เฉินจะยังจำปู่ของผมได้ สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะความวุ่นวายจากการทำสงคราม บางทีตอนนั้นปู่ของผมก็อาจจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีเพื่อนร่วมรบคนหนึ่งที่ยังระลึกถึงตัวเองอยู่”

นายทหารเก่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องจำพี่ฉินได้อยู่แล้ว ฉันยังจำงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใครของเขาได้อยู่เลย ฮ่าๆ พี่ชายคนนี้ชอบกินอำพันทะเลล่ะ”

เอี๋ยนตงเหล่ยใช้สายตาแปลกๆ มองไปที่ฉินสือโอว ฉินสือโอวเองก็รู้สึกสับสนอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แต่พอเขาลองนึกถึงอีกชื่อหนึ่งของอำพันขี้ปลา เขาก็ใจกระตุกขึ้นมาทันที แล้วจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจว่า “ปู่หมายถึงอำพันทะเลใช่ไหมครับ?”

อำพันทะเลแท้จริงแล้วของชนิดนี้คืออะไรกันแน่ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบอย่างละเอียด รู้เพียงว่ามันเกิดขึ้นในทะเลลึก ในปัจจุบันมีคำอธิบายเชิงตัวแทนว่ามันคือสารคัดหลั่งของวาฬหัวทุย เนื่องจากมันไม่สามารถย่อยหมึกและคอราคอยด์ของหมึกยักษ์ได้ เมื่อผสมกับของเหลวในทางเดินอาหารจึงแข็งตัวจนกลายเป็นก้อนแล้วจะคายออกมาอีกที

แต่ฉินสือโอวรู้ว่ายังมีคนบางส่วนที่เรียกของสิ่งนี้ว่าอำพันขี้ปลาด้วย…

นายทหารเก่าพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราฝึกอยู่ที่แวนคูเวอร์ เขาพกติดตัวไว้ก้อนหนึ่ง ก่อนจะเข้านอนเขาจะเอามันออกมากินทีละนิด เขาบอกว่าร่างกายของเขามีอาการผิดปกติ อำพันขี้ปลาประเภทนี้เป็นยาสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้”

ในใจของฉินสือโอวรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าปู่สองรับพลังจากของสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่แค่ได้พบมัน เขาก็สามารถซึมซับพลังมาได้แล้ว แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ “ปู่เฉินครับ อำพันขี้ปลาก้อนนั้น ปู่ยังเก็บไว้ตลอดเวลาเลยใช่ไหมครับ?”

นายทหารเก่าพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มันเหมือนกับก้อนหินเลย ไม่มีทางเสียหายแน่นอน ฉันเก็บมันไว้ตลอดแหละ คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้เจอพี่ฉินอีกฉันจะมอบมันเป็นของขวัญให้กับเขา”

ฉินสือโอวจึงถามว่า “แล้วปู่ได้มันมายังไงเหรอครับ?”

นายทหารเก่าขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วใช้น้ำเสียงราวกับกำลังรำลึกถึงอดีตพูดให้เขาฟังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ตอนอายุประมาณ 42 ปี ตอนไปรบที่สิงคโปร์ฉันบังเอิญได้มาหนึ่งก้อน หลังจากนั้นเลยเอามันกลับมาที่แคนาดาด้วย แต่ก็หาพี่ฉินไม่เจอแล้ว”

ได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน เอี๋ยนตงเหล่ยก็ถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจว่า “อำพันขี้ปลาพวกนี้มีเรื่องเล่าอะไรอย่างนั้นเหรอ? ผมเห็นว่าพวกคุณดูจะให้ความสำคัญกับมันมาก”

ฉินสือโอวถึงกับตกใจ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองแสดงอาการตื่นเต้นออกไปมากเกินไป จึงหัวเราะออกมาแล้วพูดเบาๆ ว่า “ก็คุยกับผู้ใหญ่นี่ อีกอย่างคุณปู่เขาก็เตรียมของขวัญไว้ตั้งครึ่งศตวรรษแล้ว คุณไม่รู้สึกว่ามันมีกลิ่นอายของความเป็นตำนานบ้างเหรอ?”

เอี๋ยนตงเหล่ยยกมือขวาชี้นาฬิกาบนข้อมือให้เขาดูแล้วพูดว่า “เป็นตำนานก็จริง แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อพวกเราจะพากันไปสายแล้วนะ”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับ ช่วยเอี๋ยนตงเหล่ยประคองนายทหารเก่าไว้คนละฝั่งแล้วพาไปที่โถงใหญ่ของโบสถ์ ที่นั่นเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมในวันนี้

บรรดานายทหารเก่าชาวจีนนั่งอยู่ตรงแถวหน้าสุด พร้อมกับภรรยาทหารเก่าอีกหลายคน พวกเธอสวมเครื่องแบบทหารแบบเก่า ติดเหรียญตราไว้บนเสื้อผ้าเยอะบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป

ฉินสือโอวเป็นตัวแทนของคนจีนที่นั่งของเขาอยู่ในแถวที่สอง หลังจากตามมานั่งกับวินนี่และเออร์บักแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า “คุณผู้หญิงพวกนั้น พวกเธอเป็นทหารหญิงที่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองเหรอ?”

วินนี่จึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ พวกเธอคือเป็นแม่หม้ายที่สามีเคยเป็นทหาร ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมการรำลึกแทนสามี พวกเธอมางานนี้ทุกปีอยู่แล้วค่ะ คุณหันไปมองทางนั้นสิคะ คนพวกนั้นคือญาติพี่น้อง ลูกชายลูกสาวของทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทั้งนั้นเลยค่ะ”

ฉินสือโอวหันไปมองเออร์บักที่อยู่ข้างๆ กัน แล้วพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ปู่สองของผมก็เป็นทหารที่เคยสร้างคุณงามความดีเหมือนกัน ทำไมถึงไม่เชิญปู่เออร์ไปนั่งตรงนั้นบ้างล่ะ?”

ทว่าเออร์บักกลับทำตัวอย่างสบายๆ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทหารผ่านศึกพวกนั้นเขาขึ้นทะเบียนกันหมดแล้ว ปู่ของนายไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียน ฉันก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ปู่ฉินไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตอนที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่สอง บางทีสงครามอาจจะทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา”

ส่วนสำคัญของกิจกรรมงานรำลึกก็คือการประมูล ชาวอเมริกาและชาวแคนาดาชอบที่จะจัดการประมูลไว้ในช่วงท้ายของงาน และในช่วงเวลานี้พวกคนมีเงินที่มาเข้าร่วมกิจกรรมก็ไม่เคยหวงเงินในกระเป๋าตังค์ของตัวเองเลย

เงินทุนที่ได้จากการประมูลในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในสองด้าน ด้านที่หนึ่งจะถูกใช้สำหรับเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของทหารผ่านศึกและบรรดาแม่หม้ายให้ดีขึ้น ส่วนด้านที่สองก็คือการนำไปบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือสุสานทหารผ่านศึกเพื่อเป็นทุนสำหรับการบำรุงรักษา

ทีแรกฉินสือโอวคิดว่าตัวเองมาเข้าร่วมงานแค่พอเป็นพิธีเฉยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคนอื่นเข้าใจว่าเป็นตัวแทนชาวจีนจากนครเซนต์จอห์นจนได้ ปู่สองของเขาก็เคยสร้างคุณงามความดีไว้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงอย่างไรเขาก็ควรจะเข้าร่วมกิจกรรมนี้จริงๆ นั่นล่ะ

แต่ปรากฏว่าพอเข้ามาถึงบริเวณงานประมูล คนที่ทำหน้าที่ดำเนินงานประมูลกลับกลายเป็นวินนี่เสียได้

ฉินสือโอวรู้สึกสับสนงงงวยขึ้นมาทันที เขาถามเธอว่า “คุณเป็นพิธีกรเหรอ? ทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ?”

วินนี่ไหวไหล่พูดกับเขาว่า “เทศบาลนครเชิญให้ฉันเป็นนะคะ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแถมยังไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ก็เลยไม่ได้บอก”

ฉินสือโอวแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “ทำไมถึงพูดว่าไม่เกี่ยวกับผมล่ะครับ? เกี่ยวกันมากๆ เลยต่างหากล่ะ!”

วินนี่ยิ้มแล้วตบหลังมือของเขาเบาๆ เธอเดินขึ้นไปบนเวทีประมูลท่ามกลางเสียงปรบมือ ต่อจากนั้นแฮมเล็ตก็แนะนำทุกคนให้รู้จักเธอ หลังจากนั้นการประมูลจึงเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เมื่อวินนี่มีฐานะเป็นพิธีกรดำเนินการประมูล ฉินสือโอวก็ต้องจริงจังกับการมูลในครั้งนี้แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบขึ้นในงาน

ของประมูลชิ้นแรกถูกนำมาโชว์บนเวทีแล้ว วินนี่จึงเอ่ยแนะนำว่า “วันนี้เราได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงแคนาดามีส่วนร่วมอย่างมหาศาลในการสนับสนุนสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานั้น พวกเธอต้องดูแลครอบครัวและเลี้ยงดูลูกๆ อย่างยากลำบากและยังต้องอดทนต่อความวิตกกังวลที่กดทับอยู่ในใจโดยลำพัง ตอนนั้นพวกเธอกลัวว่าสักวันหนึ่งจะได้รับโทรเลขหรืออาจสายโทรศัพท์ที่ไม่อยากรับโทรเข้ามาที่บ้าน เนื่องจากหลายๆ ครั้งมันมักจะหมายความว่าคนที่พวกเธอกำลังรออยู่จะไม่กลับมาหาพวกเธออีกตลอดกาล…”

“และการสนับสนุนของเหล่าสุภาพสตรีในช่วงสงครามยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่พวกเธอยังได้ระดมเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อการทำสงครามในครั้งนี้อีกด้วย สินค้าประมูลชิ้นแรกที่ถูกนำมาจัดแสดง มีชื่อว่า ‘แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงคราม’ เริ่มตั้งแต่ปี 1993 คนเป็นแม่เป็นพี่สาวน้องสาวหรือลูกสาวจำนวนนับไม่ถ้วนยืนขายแสตมป์ชนิดนี้อยู่ตามริมถนน ซึ่งสามารถระดมเงินเป็นเงินทุนในการทำสงครามให้กับกองทัพของเราได้มากถึง 500 ล้านดอลลาร์แคนาดา…”

แสตมป์ที่แสดงจำนวนตั้งแต่ 5 จนถึง 25 ดอลลาร์จำนวนหนึ่งชุดก็ปรากฏขึ้นบนจอใหญ่ประกอบกับการนำเสนอของวินนี่ นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายอีกหนึ่งชุด เป็นภาพของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สวมผ้ากันเปื้อนแบบเดียวกันไว้ที่เอว ในภาพถ่ายเหล่านั้นพวกเธอกำลังเร่ขายแสตมป์ชนิดนี้ให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

หลังจากนำเสนอแสตมป์ชุดนี้ไปแล้วเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นวินนี่จึงเริ่มประกาศราคาประมูล “ราคาประมูลขั้นต่ำของการประมูลครั้งนี้อยู่ที่ 4,500 ดอลลาร์แคนาดา โดยทุกครั้งที่เสนอราคาจะเพิ่มขึ้นครั้งละ 100 ดอลลาร์ ทุกๆ ท่านเริ่มเสนอราคาได้เลยค่ะ!”

ฉินสือโอวยกหนังสือแนะนำในมือขึ้นเป็นคนแรก แล้วพูดว่า “4,600 ดอลลาร์!”

วินนี่แย้มรอยยิ้มหวานๆ พร้อมกับผายมือไปทางเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษท่านนั้นเสนอราคาประมูลครั้งแรกที่ 4,600 ดอลลาร์…”

“4,700 ดอลลาร์!” มีคนเสนอราคาขึ้นอีกครั้ง

“4,800 ดอลลาร์” เสียงเสนอราคาประมูลดังขึ้นติดต่อกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามและท่าทางสง่าผ่าเผยของวินนี่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ในตอนนี้การแข่งขันประมูลก็เริ่มดุเดือดขึ้นแล้ว

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท