ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1361 คุยธุระสักหน่อย

บทที่ 1361 คุยธุระสักหน่อย

หลังจากเตรียมงานแต่งงานมาหนึ่งเดือน พิธีแต่งงานเพียงวันเดียวก็เสร็จสิ้น ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขายังไม่มีสติกลับมา เขาและวินนี่เข้าร่วมพิธีแต่งงานไปเรียบร้อย กินเค้ก เลี้ยงแขก ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก

แต่ถึงอย่างนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย คนที่มาร่วมงานเยอะเกินไป ผู้ทรงอิทธิพลจากทั่วทุกมุมโลก ยังมีเจ้าชาย รัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งระดับสูงเช่นนี้อีก ความปลอดภัยของพวกเขาทำให้ฉินสือโอวรู้สึกตึงเครียด

หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ เจ้าชายน้อยทั้งสองก็ขอตัวกลับก่อน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่งานของฉินสือโอวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกันอีก จึงกลับไปที่ห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีทที่เมืองเซนต์จอห์นเพื่อเล่าเรื่องราวเก่าๆ และพูดคุยธุระกัน

ทั้งสองนำของขวัญมาให้มากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเจ้าชายมหาเศรษฐี มีทั้งถุงเล็ก ถุงใหญ่ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้าง มากมายจนห้องเก็บของขวัญของฉินสือโอวเต็มล้น

เจ้าชายฮามานแดนทิ้งเจ้าหญิงซาลามาห์ไว้ที่นี่ เขาไม่ได้กลับประเทศแต่ไปคุยธุระต่อเลย ตารางงานของเขายังยืดหยุ่นได้มากกว่าของเจ้าชายเฮนรี

แน่นอนว่าเจ้าหญิงโลลิต้าเที่ยวเล่นด้วยกันกับเชอร์ลี่ย์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาจนจะกลายเป็นเพื่อนสนิทแล้ว โลลิต้าพาเจ้าหญิงโลลิต้าไปดูม้าด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้ม้าตัวน้อยสองตัวคือม้าที่เธอโปรดปรานมากที่สุดแล้ว

น่าเสียดายที่เจ้าหญิงโลลิต้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หลังจากที่เธอมองผ่านๆ ก็ถามขึ้น “เธอชอบม้าเหรอ เชอร์ลี่ย์? ที่ดูไบเรามีม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตอยู่หลายตัว แล้วพอดีว่ามีตัวหนึ่งเป็นม้าเหงื่อโลหิต คุณลุงให้ฉันมา ฉันยกให้เธอได้นะ”

เชอร์ลี่ย์ส่ายหัวไปมา กอดคอตี้หลูแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ฉันชอบเพียงตี้หลูของบ้านเราเท่านั้น…”

หัวสีถ่านดำที่อยู่ด้านข้างพอได้ฟังคำพูดนี้ก็ยื่นหัวออกมาอย่างไม่พอใจร้องเสียง ‘ฮี่ฮี่’ ขึ้นมา พอเห็นแบบนี้เชอร์ลี่ย์ก็ยิ้มออกมา แล้วรีบวิ่งไปกอดมันพร้อมพูดว่า “แน่นอนว่ายังมีเปากงลูกน้อยของพวกเราด้วย”

จากนั้นเปากงก็ส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความพึงพอใจ ตี้หลูที่อยู่ด้านข้างก็มองด้วยสายตาเย็นชา คิดว่า ไอ้ตัวเล็กนี่เรียนรู้ที่จะแย่งความรักเป็นแล้วเหรอ? ดี วันหลังก็คงเป็นเพื่อนกันอย่างสบายใจไม่ได้แล้ว

ปฏิสัมพันธ์ที่รักใคร่ระหว่างม้าตัวน้องสองตัวและเชอร์ลี่ย์ทำให้เจ้าหญิงโลลิต้ารู้สึกอิจฉา เธอยื่นมือไปลูบคอของตี้หลูเพื่อปลอบประโลมอย่างเบามือ ซึ่งตี้หลูก็ให้เธอลูบ แต่ไม่ได้เขยิบเข้าใกล้เหมือนกับที่ทำกับเชอร์ลี่ย์

เจ้าหญิงโลลิต้าแอบสาบานอยู่ในใจเงียบๆ ว่าพอกลับไปบ้านเธอจะต้องไปเล่นกับพวกม้าตัวน้อยสักหน่อยแล้ว และต้องมีความรู้สึกรักใคร่แบบนี้ด้วย

งานเลี้ยงอาหารค่ำในงานแต่งงานสิ้นสุดลงในช่วงสายยามบ่าย พนักงานบริกรที่บริษัทจัดงานแต่งงานจ้างมาเริ่มเข้ามาเก็บหน้างาน ทำความสะอาด เพื่อนสมัยเรียนที่ดื่มจนหน้าแดงคอแดงไปหมดหาฉินสือโอวจนเจอ วินนี่จึงชงชาเขียวให้พวกเขาเพื่อแก้เมาค้าง

งานเลี้ยงงานแต่งงานทางตะวันตกจะไม่มีการมอมเจ้าบ่าว ดังนั้นทางฉินสือโอวจึงยังมีสติครบถ้วน ซึ่งทำให้คนทั้งกลุ่มอิจฉา เหมาเหว่ยหลงพูด “ไม่ได้ คืนนี้ต้องดื่มให้เต็มที่ ต้องล้มไอ้ฉินให้ได้สักครั้ง”

ฉินสือโอวไม่กลัวเพราะอยู่ในถิ่นตัวเอง เขามองไปที่กลุ่มคนแล้วเผยรอยยิ้มแอบแฝงอะไรไม่ดีอยู่ถามขึ้นว่า “นี่พูดเรื่องจริงเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงคุ้นเคยกับนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาดี พอเห็นสีหน้าที่เขาแสดงออกมา ในใจก็บ่นพึมพำ แต่เฉินเหลยใจร้อนรีบชิงตอบก่อน “แน่นอนสิ ครั้งนี้ที่พวกเรามา จะต้องให้นายได้ชดใช้แน่”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ดี ถ้าอย่างนั้นก็ชดใช้เลย เขาส่งสัญญาณโดยการทำเสียงดังร้องเรียกพวกชาวประมงและเหล่าทหารที่กำลังสนุกสนาน ถามขึ้นว่า “เพื่อนผอง กลางวันดื่มพอไหม?”

ชาร์คพูดอย่างเสียดายว่า “ไม่ครับบอส พูดจริงๆ เลยครับ พวกเรายังดื่มไม่ได้เต็มที่ เพราะกลัวอะไรผิดพลาดแล้วทำให้บอสขายขี้หน้า”

ฉินสือโอวตบไปที่แขนของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ดีใจจริงๆ ที่มีลูกน้องที่ดีแบบนายอย่างนี้ ชาร์ค บอกเพื่อนๆ เลยว่า ใครที่ยังดื่มไม่เต็มที่คืนนี้อยู่ก่อน พี่น้องของฉันไม่พอใจกับปริมาณเหล้าที่พวกเขาดื่มไป บอกว่าอยากจะเทียบขั้นกันสักหน่อย”

ทันใดนั้นดวงตาของชาร์คพลันสว่างขึ้นทันใด ประเมินคนกลุ่มนั้นโดยกวาดไล่ทีละคนราวกับหมีที่ประเมินกระต่าย แล้วก็รีบวิ่งกลับไปอย่างร่าเริงพร้อมตะโกนว่า “รีบมาทางนี้ รีบมาทางนี้เร็ว คืนนี้มีสงครามระดับชาติ เตรียมปกป้องศักดิ์ศรีของชาวไวกิ้ง”

“เชี่ย! ใครมันช่างกล้านัก?”

“ฉันชอบการท้าทายแบบนี้ แต่ฉันสงสัยความจริงเรื่องนี้ เพื่อนชาวจีนกล้าขนาดนี้เลยเหรอ?”

หลังจากนั้นเฉินเหลยและคนอื่นๆ เห็นพวกชาวประมงยกนิ้วโป้งให้พวกเขา บทสนทนาระหว่างชาร์คกับฉินสือโอวดำเนินเร็วเกินไป ภาษาอังกฤษของพวกเขาธรรมดา จึงไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ตอนนี้พอได้ยินพวกชาวประมงตะโกนคำพูดประมาณว่า ‘คือคนจีน’ ‘คืนนี้เจอกัน’ ‘จะต้องนอนแผ่กลับบ้านให้ได้’ จึงเดาได้เลยว่าฉินสือโอวกำลังเล่นตลกอะไรกับพวกเขาอยู่

เหมาเหว่ยหลงลูบจมูกแล้วเหล่มองเพื่อนๆ สมัยเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนอง เขาจึงเดินจากไปอย่างเงียบๆ เขาเดินไปหาพวกชาวประมงและพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “เฮ้ พี่น้องชาวไวกิ้ง พวกเราก็อยู่ฝั่งเดียวกัน ทุกคนก็รู้จักหน้าค่าตากันดี คืนนี้พวกเรามาดื่มกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง พวกพี่ๆ น้องๆ พร้อมไหม?”

บูลมองไปที่เหมาเหว่ยหลงด้วยความสงสัย พูดขึ้น “เหมา พวกเราไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันนะ”

เหมาเหว่ยหลงตบไปที่หน้าอกตัวเองแล้วพูดขึ้น “ใช่ พวกเราเป็นฝั่งเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติ แต่ฉันมีบัตรกรีนการ์ดของแคนาดาแล้ว และที่สำคัญ ฉันโหยหาวัฒนธรรมของชาวไวกิ้งมาตลอด โจรสลัดในใต้หล้านี้ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกเหรอ?”

คำพูดนี้ของเขาทำให้พวกชาวประมงรู้สึกยินดี แต่สุดท้ายชาร์คก็ยังคงผลักเขาออกไปอย่างโหดร้าย “เหมา นายคือพี่น้องของพวกเราแล้ว แต่จำนวนคนฝั่งนั้นมีน้อยเกินไป ถ้านายจะมาฝั่งเราอีก ก็คงไม่สนุกแล้วล่ะ คืนนี้พวกเราอยากดื่มให้สนุกเต็มที่ไปเลย”

เหมาเหว่ยหลงตกตะลึงในทันใด ซีมอนสเตอร์ลูบเคราที่ถักไว้ใต้คางเขาแล้วพูดขึ้น “อย่าทำแบบนี้เลยเพื่อนผอง ไว้คราวหน้าเถอะ คราวหน้าเมื่อพวกเราจัดกิจกรรมไวกิ้ง พวกเราจะเรียกนายละกัน”

บูลพูดอย่างมีความสุข “ไม่เลวเลย ครั้งที่แล้วที่เราดื่มกับพวกเอธิโอเปียที่เมืองเซนต์จอห์น ตอนนั้นคนเราน้อยจึงดื่มชนะพวกเขาไม่ได้ แต่ครั้งนี้รวมเหมาไปด้วย รับรองต้องจัดการได้สาสมแน่!”

เหมาเหว่ยหลงฝืนยิ้ม “พวกนายคุยกันไปก่อน ฉันไปก่อนละ”

หลังจากกลับไป สายตาเย็นชาของเฉินเหลย เฉินเจี้ยนหนาน หม่าจินและคนอื่นๆ จ้องไปที่เขา เหมาเหว่ยหลงถามอย่างไม่พอใจว่า “มองแบบนี้คืออะไร?”

“คนทรยศ!” “คนขี้โกง!” “สารเลว!” “เดรัจฉาน!” “ฉินโซ่ว!”

“ใครเรียกฉัน?” ฉินสือโอวถามขึ้นด้วยความตกใจ

เรื่องนี้ก็จบลงแบบนี้ ตอนเย็นฉินสือโอวและวินนี่จึงมองคนสองกลุ่มที่แข่งกันดื่มเหล้าด้วยรอยยิ้ม เนื่องด้วยเหมาเหว่ยหลงมีพฤติกรรมกบฏในตอนบ่าย เขาจึงถูกผลักไสให้ออกมาเป็นผู้นำตลอด

เมื่อมองเห็นเหมาเหว่ยหลงเดินออกมา บูลพูดด้วยความชื่นชมว่า “เหมาเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ! เพื่อแสดงความเคารพของพวกเราที่มีต่อเขา เพื่อนผอง พวกเราทุกคนจงอย่าออมมือ ทำให้เต็มที่ไปเลย!”

เหมาเหว่ยหลงเอ่ยขึ้น “คนดีต้องไว้ชีวิตสิ…”

ฉินสือโอวทางด้านนี้ยังมีธุระให้ทำอีกมากในช่วงเย็น เรื่องแรกเลย แมทธิว จินยังไม่ได้กลับไป บอกว่ามีธุระจะคุยกับเขาสักหน่อย สามีและภรรยาบรูซพาผู้นำด้านธุรกิจมากลุ่มหนึ่ง และยังอยากกินข้าวอย่างเป็นทางการกับเขาด้วย ท้ายสุดพิธีแต่งงานของเขาและวินนี่ยังมีสิ่งสุดท้ายที่ต้องจัดการด้วย

มิแรนดาเอาชุดแต่งงานชุดหนึ่งมอบให้กับวินนี่ ลักษณะของชุดแต่งงานชุดนี้เป็นแบบเรียบง่าย เป็นชุดสมัยที่เธอใช้ในงานแต่งงาน

โดยปกติแล้วชาวแคนาดาเวลาแต่งงานจะซื้อชุดแต่งงานมากกว่าเช่าชุด คนที่มีลูกสาวจะต้องส่งต่อให้ลูกสาวเมื่อพวกเขาแต่งงาน เช่นเดียวกับชาวจีนที่พ่อแม่จะมอบแหวนที่เป็นมรดกตกทอดให้กับลูกๆ ต่อไป

หลังจากที่ฉินสือโอวยุ่งกับงานของแม่ยายเสร็จ เขาก็ถูกแมทธิว จินเรียกไปหา บอกว่าอยากคุยธุระสักหน่อย

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท