ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1435 กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัด

บทที่ 1435 กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัด

กลับถึงโรงแรม วินนี่ที่กำลังเล่นกับลูกสาวอยู่บนเตียง พอเธอเห็นฉินสือโอวกลับมาก็ทำตาขวางใส่เขาแล้วทอดเสียงถามเขาว่า “ทำไมถึงเพิ่งกลับมาล่ะค่ะ? ไม่ต้องการพวกเราสองคนแล้วงั้นเหรอ?”

เธอหันหน้ามา เถียนกวาเลยถือโอกาสยื่นมืออ้วนน้อยๆ จั๊กจี้ไปที่หน้าอกของเธอ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นกันยกใหญ่

แล้วฉินสือโอวก็เข้าไปบีบแก้มวินนี่จากทางด้านข้าง ขณะที่กำลังจะพูดขึ้น วินนี่ก็ผละตัวถอยออก เอามือจับหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขยาดว่า “พระเจ้า ทำไมมือคุณเย็นขนาดนี้? เย็นอย่างกับวิญญาณแน่ะ! อย่ามาโดนตัวฉันนะ ฉันกลัวความเย็น…”

“ให้ความอุ่นแก่มือผมหน่อยนะ” ฉินสือโอวเขยิบเข้าใกล้เธอ

วินนี่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะรีบยัดเยียดลูกสาวที่อยู่ข้างหลังให้เขาแล้วพูดว่า “ฉันเอาเด็กตัวอุ่นให้คุณแล้วกัน ตัวเธอร้อนมาก ร้อนกว่าฉันอีก ใช้เธอทำให้มือคุณอุ่นแล้วกันนะคะ”

ภรรยาผู้เด๋อด๋าของเขา ฉินสือโอวมองบน แล้วไปศึกษากล่องที่โต๊ะหนังสือแทน

วินนี่จึงถามด้วยความสงสัยขึ้น “นี่คืออะไรน่ะ?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่บาร์แพ้พนันเลยให้สิ่งนี้มาแทนแล้วบอกว่าเป็นสมบัติที่ดึงขึ้นมาจากในทะเล” ฉินสือโอวพูดลอยๆ วินนี่เลยหัวเราะเขาที่โดนหลอก แล้วไม่ได้สนใจอะไรอีก และหันมาเล่นกับลูก

รูปแบบของกล่องนี้เป็นแบบโบราณและเรียบง่าย ทั้งกล่องถูกปกคลุมด้วยน้ำมันวาฬ จึงมองไม่เห็นรายละเอียดข้างในเท่าไร เหมือนจะเห็นแค่ลวดลายสลับซับซ้อนด้านบนพอเลือนราง น้ำมันวาฬพวกนี้แช่อยู่ในก้นทะเลที่เย็นยะเยือกมาประมาณสองสามร้อยปี จนแข็งแกะไม่ออก ไม่ว่าเขาจะใช้ทั้งมือแงะหรือเคาะด้วยไม้ก็ตาม

จึงนำมันไปวางไว้บนเครื่องทำความร้อน แล้วก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับมันผิงมันไปก่อนแล้วค่อยมาดูกันอีกที

กลางคืนผ่านไปอย่างไร้กังวล เขาตื่นหกโมงเช้าตามปกติ พอออกไปดูข้างนอกก็พบว่ามันยังคงมืดสนิทเหมือนกับว่าตอนเก้าโมงสิบโมงพระอาทิตย์ก็ยังคงไม่ขึ้นอยู่ดี

พอไม่มีอะไรทำ เขาจึงกลับไปศึกษากล่องต่อ เป็นเพราะเวลาที่นานเกินไป แรงดันน้ำทะเลลึกสูงไป อุณหภูมิต่ำหรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ทำให้ตอนนี้น้ำมันวาฬมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป เพราะย่างทั้งคืนแต่ยังคงแข็งอย่างกับหิน

เพื่อเป็นการไม่รบกวนการนอนของวินนี่และเถียนกวา เขาลงไปที่ล็อบบี้ชั้นล่าง ภรรยาเจ้าของโรงแรมก็ตื่นแล้วและกำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาด และในอ้อมแขนฉงต้าเต็มไปด้วยคุกกี้ที่มันกำลังกินอย่างมีความสุข

พอคุณยายเห็นฉินสือโอวก็ยิ้มทักทาย “พ่อหนุ่ม เธอนี่ตื่นเช้าจังเลยนะ ที่นี่น่ะนอกจากคนที่เลยช่วงวัยรุ่นไปแล้วเขาจะตื่นกันประมาณสิบโมงเลยล่ะ”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ผมติดนิสัยตื่นเช้าแล้วน่ะครับ ถ้าคุณกำลังยุ่งอยู่ไม่ต้องมาสนใจผมก็ได้นะ ผมก็ว่าจะหาอะไรทำเหมือนกัน”

จากนั้นเจ้าของโรงแรมก็ยกถาดคุกกี้ช็อกโกแลตอันหอมหวนและกาแฟหนึ่งแก้วออกมา พอฉงต้าได้กลิ่นหอมหวานของช็อกโกแลตมันก็รีบลุกขึ้นและมานั่งข้างฉินสือโอวพร้อมกับคุกกี้ที่มันกอดอยู่

พอคุณยายได้เห็นฉากนี้ก็ถึงกับหุบยิ้มไว้ไม่อยู่พลางเข้าไปลูบหูกลมๆ ของฉงต้าแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม หมีตัวนี้ของเธอมันสุดยอดมากเลยนะ มันฉลาดเป็นพิเศษเลยนะเธอรู้ไหม? เพื่อนตัวน้อยที่น่ารักแสนเจ้าเล่ห์”

ฉินสือโอวมองไปยังหน้าอ้วนโง่ๆ ของฉงต้า และมองก้อนร่างที่คล้ายกับภูเขาลูกเล็กๆ ก็ไม่เห็นตรงไหนเลยที่ดูเจ้าเล่ห์และตรงไหนที่เรียกว่าเพื่อนตัวน้อย

มันกินคุกกี้ในอ้อมแขนหมดภายในสองสามคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วไปสะบัดขนให้เศษคุกกี้ที่อยู่บนตัวมันหลุดออก แล้วมาตะกายไหล่ฉินสือโอวให้ลุกขึ้น พลางมองไปยังคุกกี้ในถาดด้วยตาปริบๆ

ฉินสือโอวจึงหยิบยัดเข้าปากมันไปสองสามชิ้นแล้วขอค้อน มีดหั่นอาหาร และสว่านอย่างละเล่มเพื่อเอามาแงะน้ำมันวาฬที่แข็งตัวออกด้วยความระมัดระวัง

และตอนที่เจ้าของโรงแรมเอาเครื่องมือมาให้ฉินสือโอวพอเห็นเข้ากับกล่องในมือของเขา ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา “เอ้า พ่อหนุ่ม นายไปได้กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัดมาจากไหนเนี่ย?”

“กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัด?” ฉินสือโอวจึงถามอย่างสงสัย

เจ้าของโรงแรมพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัด นายรู้ใช่ไหมว่าชื่อกรีนแลนด์ได้มาจากอะไรน่ะ? เป็นชื่อที่พวกโจรสลัดตั้ง เพราะเมื่อก่อนที่นี่เป็นสวรรค์ของพวกคนชั่ว ทำผิดกฎหมายและโจรสลัด รู้ใช่ไหม?”

เรื่องพวกนี้ฉินสือโอวรู้อยู่แล้ว ชื่อภาษาอังกฤษของเกาะกรีนแลนด์คือ Greenland ซึ่งหมายความว่าเกาะกลางแม่น้ำสีเขียว ถูกตั้งชื่อโดยโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่นามว่าอีริค และเขาก็ได้อธิบายไว้ในบันทึกถึงเหตุผลที่ตั้งเช่นนั้น “สมมติว่าที่แห่งนี้มีชื่อเรียกที่ซึ้งกินใจ มันจะดึงดูดคนจำนวนมากให้มาที่นี่อย่างแน่นอน ถ้าเป็นอย่างนั้นตอนนี้ฉันคงมีอะไรให้ทำมากกว่านี้แล้ว”

ฉินสือโอวบอกว่าเขารู้แล้ว เจ้าของโรงแรมก็พยักหน้ารับทราบแต่ก็พูดขึ้นอีกว่า “แล้วนายรู้ว่าค้นพบบันทึกของอีริคอยู่ที่ไหน?” เขาชี้ไปยังกล่องที่อยู่บนโต๊ะนั่น “กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัด เป็นกล่องที่เหล่าโจรสลัดเก็บของสำคัญเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นบันทึกการเดินเรือ บันทึกการปล้นและอื่นๆ”

“แล้วทำไมคุณถึงดูออกว่านี่คือกล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัดล่ะครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก

เจ้าของโรงแรมเลยพูดขึ้น “ก็ง่ายมาก เพราะพวกไวกิ้งนั้นรู้กันทุกคน แล้วอีกอย่างปกติแล้วกล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัดจะใช้น้ำมันสัตว์หรือไม่ก็น้ำมันวาฬมาเคลือบไว้หนึ่งชั้นเช่นนี้ถึงจะได้กันน้ำกันความเย็น และยังป้องกันของข้างในโดนพวกน้ำทะเล ความชื้นหรืออากาศกัดกร่อน ซึ่งกล่องนายมันก็ดูเป็นอย่างนั้นนิ”

พอพูดจบ เจ้าของโรงแรมก็เดินออกไปแล้วไปเก็บของ ฉินสือโอวถามเขา “แล้วคุณไม่สงสัยเหรอว่าของข้างในคืออะไร?”

เจ้าของโรงแรมตอบกลับ “ไม่ ฉันไม่สงสัยหรอก พูดจริงๆ นะพ่อหนุ่ม อย่าไปตั้งความหวังกับมันไว้มากเกินไป อันดับแรกเลย นี่อาจจะไม่ใช่กล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัดจริงๆ ก็ได้ เพราะพวกเราชาวประมงในกรีนแลนด์ส่วนมากจะใช้วิธีนี้ในการปิดตายกล่อง รองลงมาถึงนี่จะเป็นกล่องเวทมนตร์แห่งโจรสลัดจริงแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องลึกลับที่คนพวกนี้เขียนไว้เพื่อหลอกให้สับสน”

ฉินสือโอวยังคงอดทนในการเปิด เขาไม่ได้คาดหวังอะไรเพียงแค่ใช้ของสิ่งนี้เพื่อฆ่าเวลาเฉยๆ

น้ำมันวาฬเมื่อจับตัวกันแล้วยิ่งแข็งเข้าไปใหญ่ แต่ก็กรอบมากเช่นกัน ฉินสือโอวตีๆ เคาะๆ อยู่สักพัก ก้อนน้ำมันวาฬก็แตกออก เผยให้เห็นกล่องน้ำตาลดำ เขาเปิดมันอย่างระมัดระวัง แล้วข้างในก็มีสมุดหนึ่งเล่มจริงๆ นอกจากนั้นยังมีเหรียญกษาปณ์ทรงกลมอีกด้วย

เนื่องจากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทั้งแรงดันสูงและความเย็นจัด บวกกับมีทั้งน้ำทะเลและน้ำมันวาฬคอยกั้นอากาศเอาไว้ เหรียญกษาปณ์พวกนี้จึงไม่เหมือนกับที่ฉินสือโอวเจอตอนอยู่ก้นทะเล ไม่มีแม้แต่คราบน้ำ และพอแผ่ออกก็สะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ

พอฉินสือโอวเห็นแล้ว เขาก็รีบใส่กุญแจกล่องทันทีทันใด เวลานี้พวกชาวประมงพากันตื่นแล้ว ล็อบบี้ก็มีคนเยอะขึ้น ถ้าให้เหรียญกษาปณ์พวกนี้ถูกคนเห็นคงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร

พอปิดกล่องไว้เรียบร้อย เขาก็เปิดสมุดดู ซึ่งกระดาษของสมุดเล่มนี้เป็นหนังแกะฟอก นิ่มแต่แข็งแรง อีกทั้งเมื่อสัมผัสกับอากาศอย่างกะทันหันกลับไม่เกิดการออกซิเดชันจนขาดยุ่ย เพราะถ้าเป็นกระดาษธรรมดาทั่วไป ที่ถูกป้องกันไม่ให้โดนอากาศมาสองสามร้อยปีขนาดนั้นหากได้สัมผัสกับอากาศอย่างกะทันหันคงไม่เหลือแล้ว

แต่ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ในสมุดเขียนด้วยภาษาละติน ซึ่งเขาอ่านไม่ออกสักประโยค นี่จึงทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก

ยังดีที่เขามีคนที่จะสามารถไปขอความช่วยเหลือได้อยู่ หลังจากที่เขาทำการถ่ายภาพทุกหน้าและถ่ายเหรียญกษาปณ์อย่างละเอียดแล้ว เขาก็ส่งให้บิลลี่และเบลคช่วยแปลให้เขา

แต่ตอนนี้ทั้งสองคนไม่ได้ออนไลน์อยู่ ฉินสือโอวรออยู่สักพักไม่มีคนตอบกลับ แต่พอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้วเขาจึงออกจากโรงแรมไป

……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท