ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1457 ลาก่อน ออโรร่า

บทที่ 1457 ลาก่อน ออโรร่า

หลังจากที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกกว่าการขี่เจ็ทสกีในสภาพแวดล้อมแบบนี้นั้นน่าอภิรมย์มากกว่าที่ฟาร์มปลามาก

การขี่เจ็ทสกีในฟาร์มปลา ด้านหน้าเป็นผืนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ทำแค่เพิ่มความเร็วเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เจ็ทสกีนั้นมีความสมดุลที่ดีมาก ไม่เหมือนกับมอเตอร์ไซต์ที่สามารถเอนล้มได้ง่าย และตราบใดที่ไม่เสียสมดุลนี้ในทะเล อุบัติเหตุทางรถจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

ดังนั้น เขาจึงเร่งความเร็วได้ตามใจ ทำให้ได้สัมผัสกับความงดงามของความเร็วนี้

แต่ทะเลแบบนั้นมันเรียบเกินไป ทำให้ขาดความรู้สึกท้าทาย เพียงแค่เพิ่มความเร็วก็พอแล้ว เหมือนกับการเล่นเกม ทำเพียงแค่กดแป้นคันเร่งส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ให้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาไป

แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน บางครั้งบนผืนทะเลจะมีแผ่นน้ำแข็งลอยขึ้นมา ฉินสือโอวจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงแผ่น้ำแข็งอย่างระวัง ไม่อย่างนั้นหากชนกับมันเข้าคงจะไม่ใช่เรื่องตลกแน่นอน แม้ว่าความเร็วของเขาจะไม่ได้เร็วมากจนถึงร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่การชนเข้ากับแผ่นน้ำแข็งจะทำให้เจ็ทสกีพลิกคว่ำ แบบนั้นก็ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมอยู่

ด้วยความเร็วเช่นนี้ ทำให้ผิวทะเลกลายเป็นของแข็งที่เหมือนกับไม้ ช่วงเวลที่ร่างกายกระทบกับทะเล การบาดเจ็บ เช่นกระดูกหักหรือแตกถือว่าเป็นการบาดเจ็บที่เบาที่สุด

ความกลัวและการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ทำให้การขี่เจ็ทสกีสนุกมากขึ้น

ฉินสือโอวขี่เจ็ทสกีหลบแผ่นน้ำแข็งแผ่นแล้วแผ่นเล่า แต่ความเร็วก็ยังคงไม่เปลี่ยน ผืนน้ำแข็งที่ถูกทำลาย ทำให้เกิดน้ำกระเซ็นขึ้นมาตามหลัง เมื่อความเร็วจากทานด้านหลังเพิ่มขึ้น น้ำที่กระเซ็นขึ้นมาก็สูงขึ้น จนเหมือนกับหางของจรวดก็ไม่ปาน

นอกจากคอร์กินจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังตั้งแต่หนึ่งกิโลเมตรแรกแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ ความเร็วของเขาอยู่ที่สี่สิบห้าสิบกิโลเมตรเท่านั้น หากเร็วกว่านี้ก็เหมือนเป็นการรนหาที่ตาย แผ่นน้ำแข็งไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็ง จะมองเห็นพวกมันได้ก็ต่อเมื่อพวกมันมาอยู่ตรงหน้า!

คอร์กินอยากจะเอาชนะ แต่เขาไม่อยากที่จะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง

เขามองดูฉินสือโอวที่ขี่เจ็ทสกีออกไปไกล เขายอมแพ้แล้ว ระยะห่างของพวกเขาห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ…

“เฮ้ นายกลับมาเถอะ ฉันยอมแพ้!” คอร์กินตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เพราะความเร็วในการขี่เจ็ทสกีของฉินสือโอว ทำให้เขาหวาดกลัวจริงๆ

ไม่เพียงแต่เขาที่กลัวเท่านั้น ผู้คนที่ยืนมองอยู่ที่ท่าเรือก็พากันตกตะลึงเช่นกัน พวกของแบล็คไนฟ์ยังดี พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของฉินสือโอวที่สุด บอสคนนี้เป็นคนในมหาสมุทรที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมา ตราบใดที่เขายังคงสัมผัสกับทะเล ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้

พวกแบล็กไนฟ์มีกันห้าคน มีสองคนที่เป็นทหารนาวิกโยธินชั้นสูงของอเมริกา ในตอนที่พวกเขาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาต่างพูดว่าอยากจะชวนฉินสือโอวเข้าร่วมหน่วยนาวิกโยธิน หลังจากนั้นสิบปี การให้ตำแหน่งนายพลแก่เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของฉินสือโอวมาก จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา ทุกคนกำลังอยู่ภาวะวิตกกังวล ทอโรถามออกมาว่า “พวกนายเข้าใจเรื่องกฎหมายไหม? ถ้าชายคนนี้ถูกชนตาย พวกเราต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือเปล่า?”

“พวกเราจะรับผิดชอบร่วมกันได้อย่างไร?” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความหดหู่

ทอโรอธิบายออกมาอย่างระมัดระวังว่า “นายดูสิ เพราะพวกเรากับเขาพนันกัน ถ้าหากว่าคนที่เดิมพันเสียชีวิต พวกเราเป็นคนพนัน ไม่ต้องรับผิดชอบเหรอ?”

พูดไป เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นขี่สโนว์โมบิลแล้วพูดว่า “อ่า ฉันนึกขึ้นได้พอดี ที่บ้านไม่มีเกลือ ฉันต้องไปซื้อเกลือ ต้องไปก่อนแล้วล่ะ”

เมื่อเขาจากไป ก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นของการกระทำต่อเนื่องกัน มีคนขึ้นขี่สโนว์โมบิลและพูดออกมาว่า “ฟัค จู่ๆ ท้องฉันก็ปวดขึ้นมา ฉันต้องกลับไปถ่ายก่อน ไปก่อนนะ!”

ลอเรนซ์พูดขึ้นว่า “เพื่อน ที่นี่มีห้องน้ำนะ”

ชายคนนั้นถลึงตามองเขาพลางพูดว่า “ฉันจะถ่ายในห้องน้ำที่คุ้นเคย เข้าห้องน้ำคนอื่นแล้วถ่ายไม่ออก!” “รอฉันก่อนสิวะ ฉันก็จะไปห้องน้ำเหมือนกัน ฉันจะต้องไปห้องน้ำที่บ้าน ฉันก็คุ้นเคยกับห้องน้ำบ้านนายเหมือนกัน”

“พวกนายจะไปไหม? ฉันง่วงแล้ว ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ ฉันไปนอนก่อนล่ะ”

เพราะแบบนี้ คนพวกนั้นก็จากไปทันที ก่อนที่พวกเขาจะไป พวกเขายังคงมองไปยังฉินสือโอวที่ขี่เจ็ทสกีอยู่ไกลๆ อย่างดุดัน ราวกับกำลังมองคนตาย

ดังนั้น เมื่อฉินสือโอวกลับมา พวกเขาก็เห็นพวกของแบล็คไนฟ์ห้าคนเท่านั้น ส่วนพวกของคอร์กินไม่อยู่สักคน

“เกิดอะไรขึ้น คนไปไหนกันหมด?” ฉินสือโอวจึงถามอย่างสงสัย

แบล็คไนฟ์หัวเราะแห้งออกมาว่า “พวกเขาไปกันแล้วครับ”

“คอร์กินก็ไปแล้วเหรอ?” ฉินสือโอวไม่อยากจะเชื่อ คนพวกนี้ขี้ขลาดกันจริงๆ ที่แท้ก็ไม่กล้ารอให้เขากลับมาก่อน ไม่สนุกเลย เขายังอยากที่จะอธิบายถึงเชื้อสายชาวจีนของเขาอยู่

แบล็คไนฟ์พูดออกมาว่า “ใช่ครับ เขาถูกคุณทำให้กลัวจนหนีไปแล้ว”

หลังจากการแข่งขัน ข่าวเรื่องนี้ถือลือสะพัดไปทั่วเมืองอิลูลิสแซท ว่ากันว่าในเดือนมกราคม มีชายชาวอินูเปียตร่างใหญ่แข็งแรงคนหนึ่งจากอาร์กติกมายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ในอุณหภูมิที่เย็นจัด เขาขี่เจ็ทสกีไปรอบๆ ทะเลอยู่พักใหญ่ ด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง!

แน่นอนว่าในตอนแรกไม่มีใครเชื่อ แต่คอร์กินสาบานออกมา เขาบอกว่าตอนนั้นเขาแข่งขันกับชายอินูเปียตผู้ร้ายกาจคนนี้ เขาเห็นความมหัศจรรย์นี้ด้วยตาของตัวเอง

ทอโรและคนอื่นๆ พูดเสริมคำพูดของคอร์กินด้วยเช่นกัน ต่อมาก็เป็นลอเรนซ์ที่เข้ามาร่วมผสมโรง คนทั้งสามคนกลายเป็นเสือทันที ชาวเมืองต่างยอมรับในเรื่องที่พวกเขาเล่า ทำให้กลายเป็นตำนานท้องถิ่นตำนานหนึ่ง…

แน่นอนว่าฉินสือโอวไม่ได้รู้เรื่องตำนานไร้สาระนี้ พวกเขาอยู่ในเมืองเล็กๆ นี้แค่สิบวันหลังจากนั้นก็บินกลับไปยังเกาะแอตตู

อันที่แล้วหลังจากที่พวกเขาอยู่ที่มาหนึ่งสัปดาห์ เขาก็อยากที่จะออกมาแล้ว ใช่แล้ว แสงออโรร่า ณ เมืองอิลูลิสแซทในยามค่ำคืนนั้นสวยงามมาก แต่เมืองมองดูสิ่งสวยงามนี้ถึงเจ็ดวันติดกัน มันก็ออกจะน่าเบื่อนิดหน่อย

ในทางกลับกันในฤดูนี้ เวลากลางวัน ณ เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ต่อให้กลางวันยาวนานก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมืองนี้ค่อนข้างเล็ก ใช้เวลาสิบนาทีก็เที่ยวทั่วทั้งเมืองแล้ว ฉินสือโอวรู้สึกว่าการตั้งถิ่นฐานของคนที่นี่ไม่ได้ต่างจากหมู่บ้านของเขาเท่าไรนัก

อันที่จริงแล้วกรีนแลนด์ไม่มีเมือง ที่นี่มีเพียงพื้นที่สำหรับตั้งถิ่นฐานเท่านั้น…

เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง นอกจากแสงออโรร่าแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก หลังจากที่ฉินสือโอวได้รับเครื่องแก้วรูปคนและเครื่องแก้วรูปสัตว์เลี้ยงแล้วเขาก็อยากจะออกจากเมืองแล้ว น่าเสียดายที่หลังจากสัปดาห์นั้นอากาศไม่ดี หิมะตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินได้ พวกเขาจึงติดอยู่ที่นี่

สองสามวันมานี้ เรื่องที่ท่านชายฉินทำได้มีเพียงมองหาปลาค็อดอาร์กติดเพื่อการดึงดูดงานประมง เขาเจอพวกมันจำนวนไม่น้อย ถือว่าเป็นกำไรที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ในที่สุดอากาศก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดูพยากรณ์อากาศแล้วสองสามวันจากนี้จะไม่มีหิมะและลมแรงอีก พวกเขาจึงเช่าเครื่องบิน และลากกระเป๋าพาพวกเด็กๆ และคนอื่นๆ รีบกลับอย่างรวดเร็ว

เครื่องบินกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ท้องฟ้ามืดสนิท แสงออโรร่าสีเขียวปรากฏขึ้นมาจางๆ อีกครั้ง

ฉินสือโอวเอนตัวมองออกไปนอกหน้าต่าง เขารู้สึกในเสี้ยววินาทีว่าเขาอยู่ใกล้แสงออโรร่ามาก ราวกับว่าหากเขายื่นมือออกไปเขาจะสามารถสัมผัสกับผ้าไหมสีเขียวอ่อนนี้ได้ทันที

เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินลำเล็ก ความเร็วไม่ได้เร็วมากนัก เมื่อไม่ได้บินผ่านก้อนเมฆก็จะเห็นแสงออโรร่าได้ หลังจากที่บินไปได้สองชั่วโมง แสงออโรร่าก็จะหายไปกลับมาเป็นท้องฟ้าอันมืดมิดนี้

พื้นหลังคือท้องฟ้าสีดำสนิท ด้านหน้าเป็นแสงออโรร่า ราวกับว่าเครื่องบินกำลังบินเข้าไปในมิติลึกลับ ในตอนนี้ เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ชั่วคราว

ฉินสือโอวหันมามองแสงออโรร่าที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและถ่ายภาพนั้น พลางพูดออกมาว่า “ลาก่อน แสงออโรร่า ลาก่อน อิลูลิสแซท ลาก่อน ค่ำคืนอาร์กติกในวัยหนุ่มของฉัน…”

เมื่อได้ยินเขาพึมพำขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย คิ้วของวินนี่ก็ขมวดเข้าหากัน “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ? กำลังทำอะไรอยู่น่ะ? คุณเป็นซูจือโมวเหรอ? รีบๆ มาหาฉันเร็ว ลูกสาวคุณกับฉงเอ้อจะทะเลาะกันอีกแล้ว…โอ้ย ปล่อยมือนะลูก มือลูกกำลังดึงผมของม่าม๊าอยู่!”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท