ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1470 ตรุษจีนมาถึงแล้ว

บทที่ 1470 ตรุษจีนมาถึงแล้ว

เมื่อเทียบกับการออกทะเล การใช้ชีวิตในฟาร์มปลานั้นสงบและปลอดภัย แต่มันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

ปีนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินสุริยคติเป็นช่วงวันเพ็ญของปฏิทินจันทรคติ ครอบครัวของฉินสือโอวฉลองงานตรุษจีนกันที่ฟาร์มปลา ก่อนหน้าที่จะลาไปแต่งงาน วินนี่ทำงานอย่างหนัก เธอบินไปมาจนไม่มีเวลาพอที่กลับบ้าน ดังนั้นจึงเกิดการตัดสินใจเช่นนี้ขึ้น

ปีที่แล้วก็อยู่ที่ฟาร์มปลาฉลองตรุษจีน แต่ปีที่แล้ววินนี่กำลังจะคลอดลูก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ปีนี้ก็ยังคงจะจัดที่นี่ต่อไป และสามารถใช้อุปกรณ์ของตบแต่งต่างๆ จากปีที่แล้วได้

อันที่จริงแล้วมีบทเรียนจากปีที่แล้วอยู่ เมื่อปีนี้ต้องจัดเทศกาลตรุษจีนที่ต่างประเทศ พ่อแม่ของฉินสือโอวก็สบายเป็นอย่างมาก คนแก่ทั้งสองคนไม่ให้ฉินสือโอวเตรียมโคลงคู่ พวกเขาเลือกซื้อจากในออนไลน์แทน

เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวเสียใจเป็นอย่างมาก เขาพูดออกมาว่า “ปีที่แล้วโคลงคู่ไม่ดีเหรอครับ? ‘นั่งสักพัก จะช่วยผ่อนคลายจิตใจ’ ‘พักสักหน่อย ก็จะกลายเป็นเทพ’ ออกจะมีสีสัน!”

พ่อของฉินสือโอวถลึงตาใส่เขาแล้วพูดว่า “แต่ไม่ได้มีรสนิยมเลย ทุกคนกลายเป็นเทพกันหมดแล้ว กลิ่นธูปก็แรงมาก”

ฉินสือโอวหัวเราะแหยออกมา ปีที่แล้วเขารู้สึกว่าโคลงที่เขาเลือกนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่พ่อแม่กลับบอกว่าไม่เหมาะสม บอกได้เพียงว่านี่เป็นเพราะความต่างของอายุ

แต่ว่าเขาก็ยังมีงานอยู่ในมือเหมือนกัน พ่อของเขาให้เขาเข้าไปซื้อเครื่องบรรจุไส้กรอกขนาดเล็กที่มหานครเซนต์จอห์น นี่เป็นประเพณีประจำบ้านเขา ในทุกปีเมื่อถึงวันตรุษจีนจะมีไส้กรอกมากมายหลายรสชาติ มีไส้กรอกถึงจะเรียกได้ว่าเข้าปีใหม่แล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นไส้กรอกทำเอง จึงจำเป็นต้องไปซื้อของจำพวกเนื้อและซอสปรุงรสด้วยตัวเอง จุดเด่นอยู่ที่การปรุงรส ดังนั้นทุกบ้านจะมีรสชาติที่แตกต่างกันไป แต่ก็อร่อยหมดทุกบ้าน

อันที่จริงสองสามปีมานี้ เนื่องจากมาตรฐานค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ ของอย่างไส้กรอกจึงไม่น่าดึงดูดอีกต่อไป

สมัยที่ฉินสือโอวเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ไส้กรอกถือว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดในช่วงตรุษจีน ตอนนั้นเนื้อราคาแพง จึงต้องนำเนื้อแข็งมาใช้ทำไส้กรอก คนธรรมดาทำไส้กรอกกินได้เพื่อฉลองปีใหม่ ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็ไม่เต็มใจ

ฉินสือโอวยังจำได้ ก่อนที่เขาจะขึ้นมัธยมต้น ไส้กรอกที่จะกินฉลองตรุษจีนในตอนเด็กของที่บ้านเป็นไส้กรอกนึ่ง ไส้กรอกนึ่งจะมีน้ำซุป ก่อนปีใหม่จะต้องใช้นิ้วจิ้มลงไปในซุปที่อยู่ในซาลาเปาแล้วกินมันเข้าไป ไส้กรอกจะสามารถกินได้เมื่อเข้าสู่ปีใหม่แล้วเท่านั้น

เพราะความทรงจำอันสวยงาม เขาจึงไปยังซูเปอร์มาเก็ตในมหานครเซนต์จอห์นแล้วซื้อเครื่องอัดไส้กรอกมา หลังจากนั้นเขาก็โทรศัพท์หาเหมาเหว่ยหลง ให้เขารีบพาภรรยาและลูกมาที่นี่ เพื่อที่จะเตรียมตัวฉลองตรุษจีนด้วยกัน

ทุกคนกำลังเตรียมของสำหรับขึ้นปีใหม่อย่างขะมักเขม้น ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แมทธิว จินก็ได้โทรมาหาเขา เขาบอกว่า “เฮ้ ฉิน ลาไปจัดงานแต่งเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

ฉินสือโอวรู้จุดประสงค์ที่เขาโทรมา “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา คุณรัฐมนตรี ผมพร้อมที่จะไปทำงานได้ทุกเมื่อ แต่ว่าดีที่สุดผมขอให้ผ่านตรุษจีนไปก่อน”

เขาไม่ได้สนใจอะไรในพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้องค์กรอยู่ในมือของผู้ที่มีความต้องการแอบแฝงไม่ได้ ในกรณีนี้ การให้เขาไปทำคงจะดีกว่า อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เขาเคยสัญญากับแมทธิว จินไว้ว่า จะดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการในฐานะคนกลาง อย่างน้อยเขาก็ต้องทำตามที่พูด ดังนั้นเขาจึงต้องไปจัดการเรื่องนี้

แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังมีความต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อย ดังนั้นการตอบสนองจึงค่อนข้างอ่อนแรง

เมื่อแมทธิว จินได้ฟังดังนั้น เขาก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องมาทำงาน เพื่อนยาก นายคิดว่างานเป็นแบบเดียวกับฉันงั้นเหรอ ยังต้องนั่งทำงานอีกเหรอ? ไม่ๆๆๆ ไม่ต้อง นายแค่จัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐก็พอ ทางนี้ให้ผู้ช่วยของคุณจัดการเถอะ งานธรรมดาทั่วไปผู้ช่วยของนายสามารถช่วยนายตัดสินใจได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมา เขาพูดว่า “คุณรัฐมนตรี คุณมีลูกรึยัง?”

แมทธิว จินตอบกลับว่า “แน่นอน ผมมีลูกสองคน คนเล็กสุดของผมอายุมากกว่าคุณห้าปี”

ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยความโล่งอก “ผมยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าหากว่าคุณไม่มีลูก งั้นคุณรับผมไปเป็นลูกได้นะ”

แมทธิว จินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความลังเลว่า “ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดของคุณเป็นการยกย่องหรือดูถูกกันแน่”

“ผมกำลังคุกเข่าคุยโทรศัพท์อยู่ คุณว่ายังไงล่ะ?”

“โอ้ ฉิน คุณนี่กะล่อนมากขึ้นทุกวันๆ นะ จู่ๆ ผมก็เสียใจที่ผมเลือกคนคนนี้มาเป็นผู้ช่วยของคุณ หวังว่าเธอจะไม่หลงเสน่ห์ไปกับคำพูดหวานๆ ของคุณนะ”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา “วางใจเถอะครับ ไม่หรอก ผมรักวินนี่คนเดียว อ้อ เธอเป็นใครเหรอครับ? ส่งข้อมูลของเธอให้ผมหน่อยได้ไหม?”

แมทธิว จินยิ้มออกมา “งั้นก็ดี เรื่องข้อมูลช่างมันเถอะ เป็นคนที่คุณรู้จัก เธอจะไปหาคุณหลังตรุษจีนนะ เท่านี้แหละ ไว้เจอกัน คุณประธานที่รักของผม”

เมื่อได้ยินเสียงตัดสายจากโทรศัพท์ ฉินสือโอวก็ถอนหายใจออกมา เขาบ่นพึมพำออกมาว่า “ฉันละเกลียดคนที่พูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ เสียจริง แกล้งคนสนุกนักเหรอ? ผู้หญิงคนนี้เรารู้จักงั้นเหรอ? ใครกันนะ”

คิดไปคิดมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เพราะว่าเขาจำผู้หญิงที่เขารู้จักไม่ได้จริงๆ ใครกันนะที่อยู่ทำงานเป็นข้าราชการในแคนาดา

ชีวิตในฟาร์มช่วงฤดูหนาวไม่มีอะไรมากนัก งานของเหมาเหว่ยหลงตอนนี้คือเอาใจลูกชายที่เอาแต่ร้องไห้และนอนหลับ ใช้ชีวิตทั้งวันอย่างน่าเบื่อ เพราะแบบนี้ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงตรุษจีน เขาจึงรีบพาครอบครัวมาหาฉินสือโอวด้วยความกระตือรือร้น

เหมาเหว่ยหลงไม่ได้มาอย่างไร้จุดหมาย เขาขับรถมาด้วยตัวเอง เขาขับกระบะเชฟโรเลตมา หลังรถเต็มไปด้วยธัญพืชห้าชนิด ยาสูบ แอลกอฮอลล์และเนื้อ ฉินสือโอวเห็นแล้วตกใจเป็นอย่างมาก

“เป็นอย่างไร น่าสนใจพอไหม? ขอปฏิเสธว่าไม่ได้มาหาแกเพื่อกินและดื่มเท่านั้น” เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ

ฉินสือโอวพยักหน้า แล้วชมกลับว่า “เป็นพ่อคนแล้วก็เปลี่ยนไป เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ มากขึ้น ดี ฉันทำความสะอาดคอกม้าให้แกแล้ว สำหรับของขวัญพวกนี้ เอาไว้ที่ที่แกนอนได้เลย”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะออกมาพลางบอกให้เขาถอยไป หลังจากนั้นเขาก็กอดอุ้มลูกชายราวกับต้องสมบัติ เพื่อให้ฉินสือโอวดู “ดูเร็วเข้า ลูกชายของฉันเป็นยังไง? น่ารักมากเลยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า “อือ อันที่จริงก็น่ารักมากเลย แต่ทำไมมีกลิ่นแบบนี้ล่ะ?”

“อ้อ เขาคงจะอึอีกแน่เลย เด็กคนนี้กินก็เก่งถ่ายก็เก่ง เพราะเจ้าแม่งเอ๊ย นายรู้สึกไหมว่าฉันผอมลง? ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กินอะไรเลย เพราะทำให้เด็กคนนี้กินหมด!” พอพูดแบบนี้ ใบหน้าของเหมาเหว่ยหลงก็เต็มไปด้วยการแสดงออกที่เกินความจริง และยังมองไปยังฉินสือโอวเป็นครั้งคราวด้วย

พวกเขาทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมเตียงกันมา ฉินสือโอวจะไม่เข้าใจหลานชายคนนี้ได้อย่างไร? มองดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร เขากำลังเยาะเย้ยที่ฉินสือโอวไม่มีลูกชาย

ฉินสือโอวกลับไปและออกมาพร้อมกับหมีขั้วโลก จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างภูมิใจว่า “ฉันหาเพื่อนให้ลูกสาวของฉัน แกละคิดจะหาอะไรให้ลูกชายของตัวเอง?”

เมื่อเห็นลูกหมีขนสีขาว เหมาเหว่ยหลงก็ยอมแพ้ทันที “แกไปกรีนแลนด์ แล้วไปเอาหมีขั้วโลกกลับมาหนึ่งตัวงั้นเหรอ? พระเจ้า งั้นถ้าแกไปแอฟริกา แกไม่พาสิงโตกลับมาด้วยเหรอ?”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าประโยคนี้ค่อนข้างคุ้นหู เหมือนว่าเคยมีใครพูดมาก่อน ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ถ้าเช่นนั้นถ้าไปแอฟริกาล่าสัตว์สักรอบ ไม่แน่ว่าอาจจะพาสิงโตกลับมาด้วยก็ได้

เหมาเหว่ยหลงนำเนื้อวัวมาสองกล่อง พอดีสำหรับเอามาทำเป็นไส้กรอก ฉินสือโอวนำเครื่องอัดไส้กรอกออกมา จากนั้นเขาก็ใส่เนื้อลงไป

เหมาเหว่ยหลงเริ่มวิตกกังวลจึงพูดออกมาว่า “นี่เป็นเนื้อวัวชั้นดีทั้งหมด ใช้สำหรับตุ๋นมันฝรั่งและทำเกี๊ยวถึงจะดี น้ำเกรวี่ก็หอมมาก แต่แกใช้มันเพื่อทำไส้กรอก แบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท