ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1483 ยังต้องเป็นฉันออกโรงสินะ

บทที่ 1483 ยังต้องเป็นฉันออกโรงสินะ

อย่ามองว่าแมวน้ำมีหัวโตๆ สมองใหญ่ๆ ดูท่าทางงี่เง่าแล้วพวกมันจะเป็นสัตว์เลี้ยงในธรรมชาติ

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าพวกแมวน้ำจะโตมาด้วยลักษณะที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่พวกมันก็ไม่เคยใช้จุดนี้ในการหากิน แต่กลับเหมือนกับสัตว์ดุร้ายอย่างพวกฉลาม หู่จือ เป้าจือ เป็นต้น ที่ใช้พลังที่แข็งแกร่งในการหากิน

สัตว์ที่ทรงพลังหลายชนิดในธรรมชาติได้สูญพันธุ์หรือใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว รวมไปถึงพวกเสือ สิงโต จระเข้ อินทรีและฉลาม สัตว์ดุร้ายพวกนี้ แต่สำหรับแมวน้ำกลับมีจำนวนน้อยที่ใกล้สูญพันธุ์ เพราะจำนวนทวีคูณเพิ่มขึ้นตลอด

ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สามารถอธิบายถึงปัญหาได้แล้วกล่าวคือในหมู่มวลธรรมชาติสิ่งที่จะทนกับแมวน้ำได้มีจำนวนไม่มาก

ชื่อของหน่วยรบพิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสหรัฐอเมริกาคือหน่วยซีล ถ้าพูดโดยทั่วไปแล้วชื่อนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องมากนักกับแมวน้ำ ชื่อของหน่วยนี้มาจากตัวย่อ SEAL ซึ่งคำนี้มาจากตัวย่อของคำที่แปลว่าบนทะเล (SEA) บนท้องฟ้า (AIR) และบนพื้นดิน (LAND) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถในการต่อสู้รอบด้านและเป็นสามมิติ

แต่นี่ก็เป็นเพียงคำบอกเล่าของพวกทหาร เพราะอันที่จริงแล้วตอนนี้โลโก้ของหน่วยซีลหลายหน่วยก็ยังคงใช้ลักษณะแมวน้ำที่โกรธอยู่

แมวน้ำที่โมโหเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะสามารถฉีกฉลามเป็นชิ้นๆ ได้ แล้วก็กลืนกินอวัยวะภายในของฉลามเข้าไป

เหมาเหว่ยหลงประเมินพวกมันต่ำไป เพราะเขามักจะเห็นฉินสือโอวเดินเข้าไปในฝูงแมวน้ำง่ายๆ และยังเคยเห็นพวกมันดูท่าทางใสซื่อนอนเล่นบนชายหาด ดังนั้นเมื่อจับแมวน้ำตัวน้อยได้ ก็หัวเราะแล้วคิดจะเดินออกมา

แต่ในเวลานี้เขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถออกมาได้แล้ว

กลุ่มแมวน้ำที่โตเต็มวัยทำการปิดล้อมเหมาเหว่ยหลงอย่างเงียบ ๆ พวกมันเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ผู้ค้ามนุษย์ที่กล้าขโมยลูกตัวน้อยอวบอ้วนของตัวเองอย่างเย็นชา กลิ่นอายสังหารกำลังก่อตัวขึ้น

แมวน้ำที่แข็งแกร่งหลายร้อยตัวปิดกั้นหนทางในการล่าถอยของเหมาเว่ยหลงโดยตั้งแถวเป็นรูปวงแหวน เหลือเพียงทางเดียวที่จะไป และนั่นคือการหนีไปทางทะเล

ถ้าจะทำการต่อสู้กับแมวน้ำต้องเลือกบนฝั่งเท่านั้น เพราะว่าทะเลคือถิ่นของพวกมัน และอย่ามองว่าท่าทางของพวกมันดูโง่เง่าตอนอยู่บนชายฝั่ง แต่หากอยู่ในทะเลเมื่อไรพวกมันยังคล่องแคล่วกว่าปลาทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นพวกมันจะจับปลากินได้อย่างไร?

เหมาเหว่ยหลงถูกแมวน้ำพวกนี้จ้องจนไม่กล้าขยับ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงเจตนาฆ่าในสายตาของเจ้าอ้วนเหล่านี้และร้องออกมาด้วยความตกใจ “เชี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ฉิน พวกแมวน้ำมันกัดคนได้ไหมนะ?”

ฉินสือโอวยิ้มมีเลศนัยแล้วพูดขึ้น “กัดคน? ฉันอธิบายกับแกแบบนี้ละกัน พวกมันตอนอยู่ในทะเลเจออะไรก็กินสิ่งนั้น เจอฉลามก็กินฉลาม เจอหมีขั้วโลกเหนือดำน้ำอยู่ก็ออกล่าหมีขั้วโลกเหนือ!”

“วู้ วู้!” เสียงคำรามต่ำดังต่อเนื่อง พวกแมวน้ำมันย่นคอแล้วส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา ซึ่งเป็นเสียงที่ทรงพลังและน่ากลัว

หยาดเหงื่อเย็นไหลออกมาสองสามหยด เหมาเหว่ยหลงตะโกนว่า “แกยืนอยู่นั่นรออะไรฮะ? ดูหนังฮอลลีวูดเรื่องดังหรือไง? รีบเข้ามาช่วยสิ!”

ฉินสือโอวกล่าวอย่างเจ็บปวด “แกไปสบายเถอะ พี่น้องที่ดีของฉัน เมียและลูกของแกฉันจะช่วยเลี้ยงเอง ลูกชายแกก็จะมาเป็นลูกเขยฉัน ส่วนลูกสาวก็จะมาเป็นลูกสะใภ้ฉัน … “

“เลิกล้อเล่นได้แล้ว รีบเข้ามาช่วยฉันเร็วสิ เชี่ย แมวน้ำพวกนี้บุกเข้ามาแล้ว!” เหมาเหว่ยหลงตะโกนขึ้นมาด้วยความร้อนใจ เจ้าแมวน้ำตัวอ้วนหลายตัวยื่นสีหน้าถมึงทึงเข้ามาใกล้ เขี้ยวที่น่ากลัวของพวกมันเปล่งประกายแวววับเมื่อต้องแสง

ฉินสือโอวกลอกตามองบน แล้วพูดว่า “แกกระวนกระวายไปจะมีประโยชน์อะไร รู้ว่าพวกมันจะโจมตีแกแล้ว แกจะยังอุ้มลูกๆ ของพวกเขาไว้ทำไม? รีบวางลงได้แล้ว!”

เหมาเหว่ยหลงก้มศีรษะลง เห็นลูกแมวน้ำสองตัวอ้วนขนนุ่มเงยหน้ามองเขาอย่างมึนงง และเมื่อพบว่าเขามองไปที่พวกมัน เจ้าลูกแมวน้ำสองตัวก็เริ่มอ้าปากแลบลิ้น ทำท่าน่าเอ็นดู

แต่เหมาเหว่ยหลงไม่กล้าคิดว่าพวกมันน่ารักจริงๆ ถ้าจะบอกว่าพวกมัน ‘ดุร้าย’ ยังใกล้เคียงกว่า เขารีบวางลูกแมวน้อยสองตัวลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นค่อยๆ ก้าวไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง

แมวน้ำน้อยเล่นกับเถียนกวาบ่อยมากแล้ว จึงมีความรู้สึกที่ดีต่อมนุษย์ หลังจากอยู่บนพื้นแล้วยังคลานเข้าไปเอาหัวไปถูๆ เหมาเหว่ยหลง เป็นการขอร้องให้เขาอุ้มขึ้นมา

เหมาเหว่ยหลงกล้าที่ไหนกันล่ะ เขารู้ว่าถ้ายังจะอุ้มเจ้าสองตัวน้อยนี้ขึ้นมาอีก คาดว่าพวกแมวน้ำคงไม่เตือนเขาแล้ว แต่จะพุ่งเข้าหาเขาแล้วดับชีวิตเขาเลยทันที

เมื่อเห็นว่าผู้ค้ามนุษย์วางเด็กๆ ลงแล้ว อารมณ์ปะทุด้วยความโกรธของพวกแมวน้ำจึงค่อยบรรเทาลงหน่อย

แม่แมวน้ำสองสามตัวร้อง บุ๋งๆ เรียกให้เด็กน้อยกลับมาในฝูง แมวน้ำผู้แข็งแกร่งฝูงหนึ่งสบตากันอย่างแปลกประหลาดเพื่อสื่อสารกัน “พี่น้อง เอาไงจัดไหม?” “จัดการไอ้ตัวเล็กนี่เลย!” “ใช่ เอาให้ตายเลย!” “ช่างเถอะๆ พี่ๆ น้องๆ ถือว่าไว้หน้าฉันเถอะ ไว้ชีวิตเขาไป”

ความผิดถึงตายเว้นได้ แต่ความผิดเบื้องต้นเลี่ยงได้ยาก พวกแมวน้ำจึงเขยิบเข้าไปใกล้อย่างดุร้าย บังคับให้เหมาเหว่ยหลงถอยลงทะเลไป จนสุดท้ายเขาถอยไปจนถึงความลึกของระดับน้ำอยู่ที่เอว ตัวสั่นงกๆ อยู่ในน้ำ

เมื่อเป็นแบบนี้ พวกแมวน้ำถึงค่อยยอมจากไป เหมาเหว่ยหลงรีบวิ่งขึ้นฝั่ง พึมพำด่าตลอดทาง “แม่ง แม่งเอ๊ย หนะ หนะหนาวจริงๆ เลย! ฉิน แก แก ทำไมถึงไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องเลย!”

ฉินสือโอวถอดเสื้อคลุมให้เขาตามหน้าที่ กลอกตามองบนแล้วพูดว่า “ฉันไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง? แล้วฉันควรทำยังไง? ใครให้แกไปยั่วเจ้าพวกแมวน้ำเหล่านี้ก่อนล่ะ? ยังถือว่าแกโชคดี ที่นี่ไม่มีวอลรัส ไม่เช่นนั้นป่านนี้แกได้กลายเป็นกองขี้ไปละ”

แมวน้ำไม่ได้ลงไปในทะเล ส่วนเขาเองก็ไม่ได้มีคำสั่งให้พวกมันล่าถอยออกมา แต่ทว่าเขาเชื่อมั่นในสติปัญญาของแมวน้ำมาก มั่นใจว่าแมวน้ำจะไม่ฆ่าเหมาเหว่ยหลงตาย

แมวน้ำเหล่านี้ได้รับการปรับปรุงด้านสติปัญญาโดยพลังงานโพไซดอน โดยปกติแล้วฉินสือโอวและชาวประมงจะให้อาหารพวกมัน พวกนี้จึงยังคงมีความประทับใจในตัวมนุษย์ หากเหมาเหว่ยหลงไม่ได้ขโมยลูกๆ ของพวกมัน พวกมันก็จะไม่สนใจเขา

ยังต้องเป็นฉินสือโอวออกหน้าเอง เขาเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยสองตัวขึ้นมา พวกแมวน้ำแข็งแกร่งที่เชื่องช้าหลายตัวเมื่อเห็นว่ายังมีพวกค้ามนุษย์อีก ก็โกรธขึ้นมาทันใด พยายามขยับตัวอวบอ้วนของพวกมันเพื่อจะกัดเขา

แมวน้ำบางตัวที่มีสติปัญญาสูงกว่ารีบวิ่งออกมาแล้วเอาหัวกระแทกพวกมันให้พลิกตัว ชนจนพวกมันหงายคว่ำ “ไอ้บ้าเอ๊ย พวกแกไม่มีสมองหรือไม่มีจมูกหรือไง? ไม่ได้กลิ่นอายของพลังโพไซดอนจากคุณปู่ท่านนี้เหรอ? ไม่อยากจะใช้ชีวิตที่ฟาร์มปลาแล้วหรือยังไงฮะ?”

ฉินสือโอวอุ้มแมวน้ำน้อยสองตัวออกมาอย่างง่ายดาย เหมาเหว่ยหลงจ้องจนตาถลน พูดด้วยความโมโหว่า “ทำไมพวกมันไม่โจมตีแกละ?”

ฉินสือโอวนายใหญ่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ทำไมพวกมันต้องโจมตีฉัน? ฉันป้อนข้าวมันทุกวันนะ ฉันเลี้ยงมันมาหนึ่งเดือนแล้ว แม้แต่สุนัขก็เลี้ยงจนสนิทกัน นอกจากนี้แมวน้ำลายพิณยังฉลาดกว่าสุนัขอีกด้วย?”

หู่จือและเป้าจือเห่าตอบสนองอย่างไม่สบอารมณ์ พวกมันฉลาดน้อยกว่าพวกนี้ได้อย่างไร?

วางเจ้าแมวน้ำน้อยไว้บนผืนหญ้า ฉินสือโอวหาลูกบอลสองสามลูก แล้วก็เห็นเหมาเหว่ยหลงเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา จึงโยนลูกฟุตบอลให้เขาไปหนึ่งลูก “มา กัปตันซึบาสะ แสดงความสามารถให้สาวๆ ปลื้มตอนสมัยมหาวิทยาลัยออกมา เลี้ยงลูกบอลด้วยหัว”

สิ่งนี้เขาทำไม่ได้ เขาเล่นเป็นแค่บาสเกตบอล เตะฟุตบอลไม่เป็นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลี้ยงลูกบอล แต่เหมาเหว่ยหลงกลับเก่งในศาสตร์พวกนี้หมด ทั้งบาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล ปิงปอง เล่นได้ดีทุกอย่าง

เหมาเหว่ยหลงไม่ทำ ฉินสือโอวจึงชี้ไปที่ตั๋วตั่วแล้วพูดว่า “ลูกสาวพวกเรากำลังรอดูแมวน้ำเลี้ยงลูกบอลอยู่นะ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหมาเหว่ยหลงก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที ตบๆ ลูกบอลแล้วก็เอามาเลี้ยงบนศีรษะ

ฉินสือโอวเอาลูกบอลนิ่มๆ ลูกเล็กวางบนหัวของแมวน้ำน้อย ตบมือขึ้นลงเพื่อส่งสัญญาณ ว่าให้พวกมันเล่นด้วยการเลี้ยงลูกบอลกัน

…………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท