ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1486 กระบี่อาญาสิทธิ์

บทที่ 1486 กระบี่อาญาสิทธิ์

“ขอบคุณสำหรับความพยายามที่ทำเพื่อความยุติธรรม ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ คนหนุ่มผู้กล้าหาญ!” คาร์เมนจูเนียร์พูดประโยคตามมารยาทง่ายๆ จากนั้นมีคนส่งเหรียญรางวัลที่มีริบบิ้นติดอยู่ให้เหรียญหนึ่ง

ฉินสือโอวพูดอย่างมีมารยาทว่า “ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าต่อไปในชีวิตผมน่าจะทำได้ยิ่งขึ้นอีก ทำให้ตัวเองคู่ควรกับเหรียญรางวัลเหรียญนี้”

เหรียญรางวัลทำมาจากทองชุบ ด้านหน้ามีดอกไม้สีเหลืองทองดอกหนึ่ง ซึ่งก็คือดอกผักกาดนอ ด้านหลังเหมือนกับเหรียญกษาปณ์ มีรูปของพระราชินีเอลิซาเบธอยู่ โดยรอบมีตัวหนังสือบรรทัดหนึ่ง ‘Desiderantes-meliorem-patriam’ เป็นคำขวัญเหรียญรางวัล ความหมายก็คือ ‘ต้องการประเทศที่ดีกว่า’

ฉินสือโอวรู้สึกว่าคำขวัญเหรียญรางวัลนี้ไม่ค่อยดี แก้เป็น ‘แคนาดาเป็นบ้านของฉัน การปกป้องต้องพึ่งทุกคน’ ยังจะดีกว่า

จากนั้นคาร์เมนจูเนียร์ก็เดินไปหาแบล็คไนฟ์ที่อยู่ด้านหลัง เหรียญรางวัลที่เขามอบให้กับแบล็คไนฟ์ไม่ใช่เหรียญรางวัลแคนาดา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนแคนาดา แต่เป็นคนอเมริกัน ไม่มีสิทธิ์ได้รับเหรียญรางวัลชนิดนี้ เขาให้เหรียญรางวัลสีเขียวกับแบล็คไนฟ์เหรียญหนึ่ง นี่ใช้สำหรับให้รางวัลแก่ชาวต่างชาติที่ทำประโยชน์เพื่อแคนาดาโดยเฉพาะ

อีกสองคนเหมือนกันกับฉินสือโอว เป็นเหรียญรางวัลแคนาดาเหมือนกัน สุดท้ายคือหู่จือและเป้าจือ วินนี่ให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองสวมเสื้อกั๊กของสัตว์เลี้ยง ผูกหูกระต่าย สีของเสื้อกั๊กและหูกระต่ายของพวกมันเป็นสีดำหนึ่งและสีขาวหนึ่ง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบร้อย หลังคาร์เมนจูเนียร์เดินมาก็รีบลุกขึ้นมาทันที

คาร์เมนจูเนียร์นั่งลงยื่นมือออกไป หู่จือเองก็ยกเท้าวางบนมือของเขา ในที่สุดท่านายกรัฐมนตรีที่มีรอยยิ้มทางการตลอดงานก็เผยรอยยิ้มจริงๆ ออกมา เขาหันไปถ่ายรูปคู่กับหู่จือ ยิ้มหัวเราะพูดกับนักข่าวว่า “มหัศจรรย์แค่ไหน ภายในตัวของเจ้าตัวน้อยนี้จะต้องมีวิญญาณของคนอยู่เป็นแน่ ผมไม่เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่สัตว์เลี้ยงสามารถแสดงออกมาได้!”

เหรียญรางวัลของหู่จือและเป้าจือเรียกว่า ‘เหรียญดิกกิน’ นี่เป็นเหรียญรางวัลที่ประเทศอังกฤษและประเทศสหพันธรัฐเตรียมไว้ให้กับสัตว์ที่ทำคุณงามความดีไว้โดยเฉพาะ

เหรียญดิกกินเป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้กับสัตว์ ถูกขนานนามว่าเป็นวิคตอเรียครอสแห่งโลกของสัตว์ ปรากฏมาในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ขยายตัวในสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง กองกำลังพันธมิตรได้ออกเหรียญดิกกินไปแล้วทั้งหมด 54 เหรียญ เพื่อเป็นการยกย่องเหล่าสัตว์ผู้กล้าหาญที่ช่วยชีวิตคนในสงครามนับไม่ถ้วน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีสุนัขทั้งหมด 18 ตัวที่เคยได้รับเหรียญรางวัลนี้ ส่วนใหญ่พวกมันใช้ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่นของตัวเอง สร้างผลงานระหว่างการค้นหาช่วยเหลือ สุนัขตัวล่าสุดที่ได้รับเหรียญรางวัลนี้เป็นสุนัขทหารอังกฤษมีชื่อว่า ‘บัสเตอร์’ เนื่องจากมันค้นพบคลังแสงแห่งหนึ่งของศัตรูในสงครามอีรักจึงได้รับเหรียญรางวัลจากราชวงศ์อังกฤษ

ฉินสือโอวไม่คาดคิดว่าหู่จือและเป้าจือก็รับเหรียญรางวัลนี้ด้วย ที่จริงแล้วเจ้าสองตัวไม่ได้ทำอะไรเลยบนเรือ ผลงานที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันคือค้นพบแมวน้ำลายพิณ แต่ว่าช่วยเหลือแมวน้ำก็ไม่สามารถได้รับเหรียญรางวัล

หู่จือและเป้าจือได้รับรางวัล เหตุผลหลักเป็นเพราะฐานะสุนัขดาราของพวกมัน ตังแต่ต้นจนจบคดีนี้เต็มไปด้วยเลือด ความรุนแรงและเลือดเย็น ทางการคิดว่านี่ส่งผลกระทบไม่ดีต่อการพัฒนาสังคมเป็นอย่างมาก แต่หู่จือและเป้าจือเป็นแสงสว่างที่อบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในคดีนี้

บวกกับนาวาเอกได้แก้ไขข้อมูลคดี เขาบอกว่าหู่จือและเป้าจือได้ขึ้นเรือบูลด็อกในรัฐเมนทำการค้นหาช่วยเหลือก่อน แบบนี้ทางการแคนาดาจึงตัดสินใจยื่นเรื่องรับรางวัลให้แลบราดอร์ทั้งสองตัว แน่นอนว่าพวกเขาเองก็มีเหตุผลส่วนตัวด้วย เพราะว่าในอดีตแคนาดายังไม่เคยมีสัตว์ได้รับเหรียญดิกกินมาก่อน

ตอนกลางคืนรัฐบาลได้เปิดงานปาร์ตี้รับเหรียญรางวัลขึ้น ตอนแรกคาร์เมนจูเนียร์กล่าวคำเปิดงานแล้วก็จากไป ฉินสือโอวรู้สึกว่างานเลี้ยงแบบนี้ก้ไม่เลว เขายังได้รู้จักคนเพิ่มอีกไม่น้อย

ในบรรดาคนที่ได้รับเหรียญรางวัลทั้งสี่คน ฉินสือโอวเป็นจุดโฟกัสของงานเลี้ยง คนส่วนใหญ่ต่างก็ทักทายเขา อย่างแบล็คไนฟ์ถูกมองข้ามโดยตรง ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นบอดี้การ์ดของฉินสือโอว

ฉินสือโอวเข้าใจเหตุการณ์นี้ เหตุผลที่คนพวกนี้เข้าใกล้เขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาได้สร้างผลงานอะไรไว้ในคดีนี้ แต่เป็นเพราะฐานะของเขา เขาเป็นหุ้นส่วนสำคัญของบอมบาร์เดียร์ เขาเป็นประธานของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ที่สำคัญที่สุดคือเขายังหนุ่ม ยังมีศักยภาพไม่จำกัด

วันที่สองเป็นวันเสาร์ ฉินสือโอวไปพบแมทธิว จินตามกำหนดการ พูดคุยกันถึงเรื่องงานของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์

ประเด็นหลักของการประชุมครั้งนี้คือการรับสมาชิก ผ่านการคัดกรอง ทั่วแคนาดามีเจ้าของฟาร์มปลา 65 คน เข้าร่วมพันธมิตร ส่วนใหญ่ในนี้เป็นเจ้าของฟาร์มปลาในรัฐโนวาสโกเชียและรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ เจ้าของฟาร์มปลาบริเวณรอบมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าร่วมพันธมิตรไม่มาก พวกเขาส่วนใหญ่กำลังสังเกตการณ์

พูดคุยเรื่องงานแล้ว สุดท้ายแมทธิว จิน ตบไหล่ฉินสือโอวเบาๆ ให้กำลังใจเขาว่า “ทำดีๆ พ่อหนุ่ม นายเป็นประธานที่ฉันสนับสนุน ฉันไม่อยากเห็นนายถูกคนอื่นไล่ลงจากตำแหน่ง”

ฉินสือโอวบอกอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “วางใจได้ครับ ท่านรัฐมนตรีแมทธิว สมาชิกมีเพียงแค่ 65 คนเท่านั้น ผมเคยเป็นสมาชิกกรรมการการเรียนของห้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน เคยเป็นผู้นำทีม 50 คนมาก่อน ความหมายของผมคือ ผมสามารถนำทีมได้แน่”

แมทธิว จิน ฟังเขาพูดแบบนี้ มุมปากจึงอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมา “ฉันว่านะเพื่อน นายจริงจังหน่อยจะได้ไหม? พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ไม่ได้เอามาเล่นนะ!”

ฉินสือโอวไม่ล้อเล่นต่อ พูดว่า “โอเคครับ โอเค ท่านรัฐมนตรี ผมเพียงปรับบรรยากาศสักหน่อยเท่านั้น ผมรับปาก ผมจะปฏิบัติอย่างจริงจังกับงานนี้ ผมจะพาการประมงของแคนาดาฟื้นคืนความรุ่งเรืองดั่งในอดีต! เริ่มจากฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ เริ่มต้นทันที!”

แมทธิว จิน จ้องมองดวงตาของเขา จ้องไปกว่าสิบกว่าวินาที เขาถึงพยักหน้าอย่างพอใจว่า “นี่ถึงเป็นฉินที่ฉันอยากจะเห็น ทำอย่างสบายใจ ฉันเชื่อว่านายสามารถสร้างปาฏิหาริย์นี้ได้สำเร็จ และคงมีแต่นายเท่านั้นที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์นี้ได้สำเร็จ!”

ฉินสือโอวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ที่แท้การฟื้นฟูความรุ่งเรืองของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ดั่งในอดีต ได้กลายเป็นปาฏิหาริย์ไปแล้ว

เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง ว่า “ท่านรัฐมนตรีแมทธิว ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมยังหนุ่มเกินไป ในพันธมิตรคงมีคนไม่ทำตามคำสั่งของผมเป็นแน่ เจอเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ควรจะทำอย่างไรดี?”

เขาอยากจะวางกลอุบายให้กับแมทธิว จิน เอากระบี่อาญาสิทธิ์เล่มหนึ่งจากมือเจ้าหมอนี่ ด้ามกระบี่อยู่ในมือเขา แต่ว่าคมกระบี่ที่ฆ่าคนกลับเขียนชื่อของรัฐมนตรีเอาไว้

แต่เขาดูถูกแมทธิว จิน เกินไป เขาเป็นถึงพี่ใหญ่ของการเมือง สองมือของเขากอดประสานกันอยู่ตรงหน้าท้องน้อย เอนพิงบนเก้าอี้ แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉันเชื่อว่านายสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ฉันคิดว่านายน่าจะมีวิธีแล้ว เพราะว่านายเคยนำทีม 50 กว่าคนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวแอบด่าเงียบๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องการกระบี่อาญาสิทธิ์แล้ว เขาต้องเตรียมความพร้อมทั้งหมดก่อนค่อยลงมือ “อย่างนั้นผมต้องการเมล็ดพันธุ์ของสาหร่ายทะเลสองชนิด ยิ่งเยอะยิ่งดี สาหร่ายเขียวใบเล็กและสาหร่ายหิมะน้ำแข็ง”

แมทธิว จิน ยักไหล่ ไม่ได้ใส่ใจกับคำขอของเขาสักนิด เขาบอกว่า “นี่มันยากมาก สาหร่ายทะเลสองชนิดนี้ต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่จะผลิตได้ในน่านน้ำชายฝั่งทะเลทั้งสองของแคนาดา”

ท่านชายฉินหัวเราะหลังได้ยินคำนี้ อ้อมค้อมกับฉันเหรอ? ขอโทษด้วย ด้านนี้ท่านชายฉินเองเป็นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ “ถ้าหากไม่มีสาหร่ายทะเลที่เหมาะสม อย่างนั้นก็เลี้ยงฝูงปลาไม่รอด ไม่มีฝูงปลา ผมไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูปริมาณปลาที่ได้ของฟาร์มปลาได้อย่างไร”

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท