ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1525 นกนางนวลที่หยุดพักการเดินทาง

บทที่ 1525 นกนางนวลที่หยุดพักการเดินทาง

ได้ยินวินนี่พูดแบบนี้ ฉินสือโอวก็ถึงกับต้องส่งรอยยิ้มจืดเจื่อน ยัยเด็กโง่ เธอคิดว่าผักผลไม้ในฟาร์มปลาออกดอกออกผลได้ดีขนาดนี้เป็นเพราะดินกับน้ำดีหรือยังไงกัน? ผิดแล้วล่ะ เป็นเพราะสามีของเธอใช้พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำให้มันโตได้ดีขนาดนี้ต่างหากเล่า

ตรงข้ามกันกับเขา คาปาไลกลับถามเธอด้วยตาที่เป็นประกายว่า “ท่านนายกเทศมนตรีวินนี่ครับ ถ้าทางเทศบาลจะสร้างโรงเรือนปลูกผักก็ต้องใช้คนงานเยอะกว่าเดิมใช่ไหมครับ?”

วินนี่พยักหน้าตอบ เธอถามเขากลับไปด้วยความประหลาดใจ “คุณมีเพื่อนที่กำลังทำงานอยู่ในแคนาดาเหรอคะ?”

คาปาไลตอบคำถามเธอด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน “ผมอยากรับภรรยามาทำงานที่นี่น่ะครับ ที่บ้านของเราพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากมากๆ ผมคิดว่าถ้ามาทำงานที่นีjน่าจะมีชีวิตดีกว่ากันเยอะ”

เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินมากพอที่จะนำมาสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการทางสังคม ดังนั้นนโยบายการอพยพจึงถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เช่นครอบครัวของคาปาไลที่แทบจะอพยพเข้ามาที่นี่ไม่ได้เลย ทว่า แคนาดามีพื้นที่กว้างขวางแต่มีประชากรเพียงน้อยนิด ทั้งยังต้องการแรงงานจำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงรัฐบาลจึงเปิดกว้างในด้านการนำเข้าแรงงาน

ฉินสือโอวไม่อยากให้วินนี่ทำเรื่องพวกนี้เป็นอาชีพเสริม เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเองเลย สุดท้ายแล้วคนที่เหนื่อยที่สุดก็คือเขาอยู่ดี ดังนั้นขณะที่กำลังแทะน่องนกหอมๆ เขาก็ล้วงมือถือออกมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพทางเศรษฐกิจไปด้วย เขาจะลองค้นหาดูว่าพอจะมีเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมวินนี่ได้บ้างไหม

ฉงต้ายื่นอุ้งเท้าออกมาจับไหล่ของเขาพร้อมกับมองดูน่องนกย่างชิ้นอวบอ้วนที่เขากำลังถืออยู่ในมืออย่างน่าสงสาร ทั้งยังกลืนน้ำลายลงคอเรื่อยๆ แต่น่าเสียดายที่ฉินสือโอวไม่ทันได้สังเกต

จากการประกาศของสำนักงานสถิติแคนาดา ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้ราคาอาหารในประเทศจะเพิ่มขึ้นถึง 3.2% เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.4% และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตจะเพิ่มขึ้น 3.5%

ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นเท่านี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ฉินสือโอวเอาข้อมูลพวกนี้ให้วินนี่แล้วบอกกับเธอว่านี่คือผลสำรวจของสำนักงานสถิติ เศรษฐกิจของแคนาดายังไม่ย่ำแย่ถึงขนาดนั้น ในช่วงเวลาเดียวกันราคาอาหารที่อเมริกาก็เพิ่มขึ้น 2.2%

ฟังจากที่เขาพูด ไม่จำเป็นต้องให้วินนี่เป็นคนเอ่ยปาก พวกชาวประมงก็ส่งเสียงบ่นกันระงม “ไปตายเถอะพวกสำนักงานสถิติ ปล่อยให้ไอ้โง่พวกนั้นพล่ามไปเถอะ! พวกนั้นบอกว่าราคาอาหารในตลาดเพิ่มขึ้นแค่ 3.5% จากปีที่แล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ? ไอ้ขี้หมา ดูยังไงก็ 35% เถอะ”

“จริงๆ นะครับบอส เวลาไปซื้อของคุณรูดบัตรอย่างเดียวแต่ไม่ได้ดูราคา ของในซูเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มมากขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตั้ง 20 ถึง 30% อย่างปีที่แล้วพาร์สลีย์หนึ่งปอนด์ราคาต่ำสุดก็แค่ 3.5 ดอลลาร์ ส่วนปีนี้น่ะเหรอ? ผมยังไม่เคยเจอที่ไหนขายถูกกว่า 5 ดอลลาร์เลย!”

“และเพราะว่าต้นทุนของอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ซูเปอร์มาร์เก็ตเลยอยากจะประหยัดต้นทุน ไม่ยอมเอาผักกับผลไม้ที่เสียแล้วไปทิ้ง แต่เอามาขายเป็นสินค้าราคาพิเศษ ต่อให้เห็นว่าเป็นของไม่ดีก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ซูเปอร์มาร์เก็ตในแคนาดาจัดสินค้าราคาพิเศษอยู่ทุกวัน และเพราะว่าเป็นสินค้าราคาพิเศษจึงทำให้หลีกเลี่ยงของมีตำหนิได้ยาก จะเลือกซื้อสินค้าพวกนี้คงต้องพึ่งดวงกับสายตาของแต่ละคนแล้ว ถ้าสินค้ามีปัญหาจะกลับไปขอเปลี่ยนหรือเอาเงินคืนไม่ได้

คาปาไลที่ได้ยินพวกชาวประมงพากันบ่นก็พูดพึมพำขึ้นมาบ้างว่า “ช่วงวันหยุดเมื่อสัปดาห์ก่อนผมกับซ่งไปซื้อของที่นครเซนต์จอห์น ซ่งซื้อผักกวางตุ้งลดราคามาหนึ่งห่อ แต่วันต่อมาตอนที่เอาออกมาจากตู้เย็นมันก็เน่าแล้ว ผมซื้อลูกพีชจากเฟรสโกมาหนึ่งกล่อง ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตบอกว่ามันคือพีชออร์แกนิค ราคาพิเศษกล่องละ 3.99 ดอลลาร์ แต่พอกลับมาเปิดดู ก็เห็นว่าลูกพีชเน่าไปครึ่งลูกแล้ว แถมยังมีแมลงวันบินตอมอีกต่างหาก ผมนึกว่าตัวเองได้กลับไปที่คิวบาแล้วเสียอีก!”

ฉินสือโอวคิดว่าที่พวกเขาพูดก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย เขาเคยอ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ต ตามการรายงานของ Trading Economics ได้บอกไว้ว่าปีนี้ราคาอาหารในแคนาดาเพิ่มสูงขึ้น 3.2% ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้สูงจนเกินไป

แต่จากการสัมภาษณ์ประชาชนในทุกๆ พื้นที่ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นมีราคาสูงกว่าที่ข้อมูลของสำนักงานสถิติได้ระบุไว้เป็นอย่างมาก อีกทั้งแคนาดายังประสบกับวิกฤตด้านความปลอดภัยของอาหาร เพื่อที่จะชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งจึงไม่เพียงแต่ปรับราคาขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกันเพื่อที่จะประหยัดต้นทุนก็ได้ลดคุณภาพของผักและผลไม้ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตลงอย่างเห็นได้ชัด

ชาวประมงจำนวนยี่สิบกว่าคนรวมถึงคาปาไลต่างก็เห็นด้วยกับนโยบายใหม่ของวินนี่ พวกเขาคิดว่าภาครัฐควรเข้ามาอำนวยการสร้างฟาร์มเกษตรปลูกผักผลไม้และเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะเพื่อควบคุมราคาสินค้าในเมือง

แต่ฉินสือโอวกลับคิดว่าแนวคิดนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตลาดก็คือตลาด มันมีกฎเกณฑ์ในตัวมันเอง เทศบาลต้องร่วมมือกันกับตลาด อย่างมากที่สุดก็แค่เพิ่มเงินเดือนให้สูงขึ้น จะสร้างฟาร์มเกษตรไปทำไมกัน เล่นเป็นคอมมิวนิสต์อย่างนั้นเหรอ? ถึงต้องนั้นต้องมีปัญหาตามมาอีกหลายอย่างแน่นอน

วินนี่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หลายปีมานี้ที่ฟาร์มปลาได้เพาะพันธุ์พืชผักผลไม้มาโดยตลอด ทั้งยังสะสมเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้เป็นจำนวนมาก และบนเกาะแฟร์เวลก็มีพื้นที่รกร้างหลายแห่ง การเข้าไปบุกเบิกเพื่อหารายได้เสริมก็ถือเป็นความคิดที่ไม่เลว

ฉินสือโอวอยากจะหาข้อโต้แย้งแต่ก็ไม่รู้จะแย้งยังไง ตำแหน่งที่ตั้งของเกาะแฟร์เวลอยู่ห่างไกลกับแผ่นดินใหญ่ การขนส่งผักผลไม้มาที่นี่เป็นไปอย่างยากลำบาก ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่ข้อเสียข้อนี้ก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นข้อดีได้ นั่นเป็นเพราะว่าถ้าหากเมืองนี้สร้างตลาดค้าขายขึ้นมาเองจริงๆ ก็คงจะไม่ค่อยมีคนจากภายนอกเข้ามาซื้อของเท่าไรนัก ทำให้ง่ายต่อการรักษาเสถียรภาพของตลาด

ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าไปหาพื้นที่ขนาดใหญ่ในนครเซนต์จอห์นแล้วสร้างตลาดค้าผักราคาต่ำโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ หากทำแบบนั้นคนในพื้นที่คงจะถูกผู้คนจากภายนอกแย่งซื้อของไปจนหมด

ฉินสือโอวส่ายหัวให้กับความคิดนี้ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามือที่เคยถือกลับรู้สึกเบาขึ้น พอหันไปดูก็เห็นฉงต้ากำลังเคี้ยวน่องนกย่างของเขาที่ตอนนี้เหลือแค่กระดูกอยู่อย่างเต็มปากเต็มคำ

หลังจากดื่มเบียร์และกินปลาทอด หอยย่างกับนกย่างสไตล์คิวบาเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกัน ใครต้องไปเข้างานก็ไป ใครใคร่จะพักผ่อนก็พัก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน พอถึงช่วงปลายเดือนมีนาคม การพักผ่อนของฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นก็สิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาที่พวกมันต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางการอพยพอีกครั้ง การอพยพในครั้งนี้คือการบินไปสู่ทิศเหนือ จากทางตอนเหนือของแคนาดามุ่งหน้าสู่เกาะกรีนแลนด์

หลังจากที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นจากไป ฉินสือโอวก็นึกว่าตัวเองจะได้นอนหลับอย่างสบายๆ แล้วเพราะถึงแม้ว่าจะมีแก๊งนกทั้งสามตัวคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก แต่ตกกลางดึกก็ยังมีเสียงนกร้องคอยรบกวนจนเขานอนไม่หลับอยู่ดี ตลอดสองวันนี้คุณภาพของการนอนหลับของเขาจึงลดต่ำลง

ปรากฏว่าพอฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นจากไป แต่ที่นี่ก็ยังมีนกนางนวลอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากลูกนกกับนกแก่ที่ยังเหนื่อยล้าก็ยังมีนกนางนวลอยู่เยอะมาก หรือพูดได้ว่านกที่ยังอยู่ต่อก็คือนกนางนวลเป็นส่วนใหญ่

เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นตอนได้ที่เห็นนกนางนวลเมื่อเขามาถึงเกาะแฟร์เวลในช่วงแรก ตอนนี้ฉินสือโอวมีภูมิคุ้มกันต่อนกที่มีชื่อเหมือนชื่อของตัวเองแล้ว ที่ฟาร์มปลามีนกนางนวลให้เห็นตลอดทั้งปี แถมเขายังพบว่านกนางนวลพวกนี้ไม่ได้น่ารักตามที่ใครเขาพูดกัน ที่จริงแล้วพวกมันเป็นนกที่น่ารำคาญมาก

นกนางนวลชอบสร้างรังไว้ไม่เป็นที่ อึถ่ายเรี่ยราด สู้นกจมูกหลอดหางสั้นไม่ได้เลย นกจำพวกหลังจะสร้างรังอยู่บนต้นไม้ ขับถ่ายในทะเล และในบางครั้งเนื้อของพวกมันก็เป็นแหล่งอาหารสำหรับคนในฟาร์มปลา

ส่วนนกนางนวลน่ะเหรอ? นกพวกนั้นมีแต่ทำลาย

อีกทั้งอาหารของนกนางนวลก็คือปลาในฟาร์ม ตอนที่มีจำนวนน้อยๆ ก็ยังไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ตอนนี้น่ากลัวว่านกนางนวลที่พากันปรากฏตัวขึ้นในฟาร์มปลาจะมีมากถึงหลายหมื่นหลายแสนตัว ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิม

ตอนแรกฉินสือโอวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ด้วยคิดว่าเดี๋ยวนกนางนวลก็ตามนกจมูกหลอดหางสั้นไป เนื่องจากพวกมันบินมาที่นี่พร้อมกันกับฝูงนกจมูกหลอดหางสั้น แต่หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ จนเข้าสู่ต้นเดือนเมษายนแล้ว แต่นกนางนวลพวกนี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่ต่อ

ทั้งยังดูเหมือนว่าพวกนกนางนวลจะเรียกเพื่อนพ้องให้มาอยู่ที่ฟาร์มปลามากขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก!

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท