ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1541 ตามไล่ล่า

บทที่ 1541 ตามไล่ล่า

เรือคายัคถูกพลิกคว่ำ มีคนโผล่ออกมาจากน้ำ แล้วตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “ฟัคยู! ไอ้บ้านนอก ฉันต้องฆ่า…”

ฉินสือโอวสะบัดมือทีหนึ่ง ปืนน้ำตรงด้านข้างกราบเรือก็ยิงออกมา ทำให้มีห้วงน้ำพุ่งออกไปอีกระลอกหนึ่ง เนื่องจากว่าอยู่ใกล้ทำให้เล็งเป้าได้แม่น ห้วงน้ำได้พุ่งเข้าไปโดนหน้าของคนคนนี้เต็มๆ ทำเอาคำพูดของเขาถูกน้ำสาดพุ่งกลับเข้าไปในลำคอทันที!

จากนั้นก็มีเจ้าของฟาร์มปลาถึงกลับฝืนกลืนน้ำลายไม่ไหว ให้ตายเถอะ ผู้อำนวยการคนนี้อารมณ์ร้ายเสียจริง!

นีลเซ็นโผล่หัวออกมาจากห้องบังคับการเรือ แล้วพูดว่า “บอสครับ ไอ้โง่ข้างหน้าขอพูดสายกับคุณครับ!”

ฉินสือโอวพูดว่า “ผ่านไปแล้ว!”

“อะไรนะครับ?” นีลเซ็นงง

ฉินสือโอวได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบเปลี่ยนคำพูดว่า “บอกมันไป เมื่อวานฉันได้เตือนพวกมันแล้ว ให้พวกมันรีบไสหัวออกไปจากทะเลแถบนี้ เจ้าโง่พวกนี้กลับเลือกที่จะต่อกรกับฉัน งั้นก็ให้พวกมันค่อยๆ รับผลกรรมแล้วกัน!”

เรือกำปั่นทะเลใต้ขับเข้ามา ปืนน้ำอีกกระบอกถูกเปิดออก แล้วยิงรัวๆ ไปที่เรือเหล่าคนเถื่อนหลี่หนาตู้ ห้วงน้ำขนาดใหญ่กระแทกไปที่เรือลำนั้น มีคนหลบไม่ทัน ทำให้ถูกห้วงน้ำขนาดใหญ่ยักษ์ซัดจนร่วงลงไปในทะเล!

เรือหาปลาลำอื่นไม่ได้มีอาวุธที่ร้ายแรงขนาดนี้ ปกติแล้วจะมีแค่เรือบรรทุกขนาดใหญ่นอกชายฝั่งทะเลเท่านั้นที่จะติดตั้งปืนน้ำแบบนี้ แต่เรือหาปลาที่ขับมาที่นี่มากสุดก็มีขนาดแค่เจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตัน เป็นเพียงเรือหาปลาลำเล็กทั่วไปเท่านั้น

แต่ทว่าพวกเจ้าของฟาร์มปลามีวิธีอื่น เรืออื่นๆ ที่ขับตามเรือสองลำที่ขับตามเรือกำปั่นทะเลมา ผู้คนบนเรือนั้นได้พากันหยิบปืนออกมา เสียงปืนดังโป้งป้างขึ้นมา คนทั้งกลุ่มพากันเล็งปืนไปที่เรือสี่ลำนั้น

ในมืออารอนหัวโล้นได้ถือปืนลูกซองวินเชสเตอร์รุ่นคลาสสิกไว้ เขายืนขึ้นไกปืนอยู่บนหัวเรือด้วยเสียงดังกึกก้อง ระหว่างที่เสียง ‘เปรี้ยงๆ’ ดังอยู่นั้น ปากกระบอกปืนก็ส่องประกายไฟออกมา จนเมฆหมอกมลายหายไป!

พวกเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาส่วนใหญ่มักใช้ปืนชนิดนี้ ปืนลูกซองถือได้ว่าเป็นปืนที่เหมาะแก่การล่าสัตว์ที่ดีที่สุดในแคนาดา แทบทุกครัวเรือนจะต้องมีปืนชนิดนี้อยู่กระบอกหนึ่ง และมักจะเป็นรุ่นคลาสสิกด้วย ถึงแม้จะตกทอดมาเป็นร้อยปีแล้วก็ไม่มีปัญหา อายุการใช้งานของปืนพวกนี้ทนทานมาก

ฉินสือโอวเห็นฉากนี้แล้วก็อดด่าออกมาไม่ได้ ระยะการยิงของปืนน้ำสามารถไปไกลได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเลย เมื่อกี้หลังจากยิงปืนออกไปแล้ว เรือสี่ลำก็ทยอยพากันขับหนีไป ตอนนี้ได้อยู่ไปไกลกว่าสามสี่กิโลเมตรแล้ว

สามสี่กิโลเมตร แม้ว่าเป็นปืนไรเฟิลก็ยิงไม่ถึง พวกเจ้าของฟาร์มปลาใช้ปืนลูกซองแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ของพวกนี้ถ้าเกินกว่าหนึ่งร้อยเมตรก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว!

แน่นอนว่า เขาเข้าใจความคิดของพวกเจ้าของฟาร์มปลา แต่ไหนแต่ไรความขัดแย้งแบบนี้ก็ต้องพึ่งการแสดงอำนาจอยู่แล้ว แม้จะเอาปืนกลให้ทั้งสองฝ่ายจริงๆ พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าใช้หรอก

ในความขัดแย้งกันของฟาร์มปลา การชักปืนชักมีดนั้นเห็นได้บ่อยมาก แต่ว่าการทำจนคนบาดเจ็บนั้นกลับเห็นได้น้อยนัก ในการมาปราบปรามของพวกตำรวจม้าและตำรวจทะเลล้วนใช้แต่ปืนช็อตไฟฟ้าทั้งนั้น การใช้ปืนไรเฟิลแบบมาตรฐานนั้นพบเห็นได้น้อยมาก

ดังนั้นที่แคนาดา ในการก่อเรื่องของคนกลุ่มใหญ่ อย่างเช่นฟาร์มปลา ฟาร์มปศุสัตว์ ฟาร์มเกษตร ทั้งสองฝ่ายจะพกปืนไปด้วย มองไปราวกับว่าจะทำการสู้กันดุเดือดอย่างไรอย่างนั้น แต่ตอนท้ายจึงจะพบว่า กระสุนยิงออกไปไม่น้อย แต่คนกลับไม่เคยเป็นอะไรเลย

ในการขัดแย้งครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลังจากถูกโจมตีแล้ว เรือออกล่าก็เริ่มยิงโต้ตอบเหมือนกัน แต่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันหลายกี่โลเมตรเลย แค่มองเห็นกันได้ก็ไม่เลวแล้ว ปืนล่าสัตว์แบบนี้จะยิงถูกคนได้อย่างไร?

“จัดการเจ้าพวกสารเลวเลย! จัดการมัน!”

“ไล่พวกมันออกไป! สารเลว! สารเลว! สารเลว!”

“ชิท เล็งไปที่เรือลำหน้าสุดที่สมควรตายลำนั้น จัดหนักมันไปเลย! เตะก้นพวกมันเลย!”

เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาส่งเสียงดังกันอึกทึก แต่ในความเป็นจริงผลของการสู้กันยังสู้ปืนน้ำที่ฉินสือโอวยิงออกไปไม่ได้เลย แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาฆ่าคนจริงๆ ก็คงจะไม่ได้ใช่ไหม? ถึงจะเป็นอารอนก็คงไม่กล้าหรอก

เมื่อปืนน้ำไม่ได้ผล ปืนก็ไม่ได้ผล ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาตั้งแง่กันอีกครั้ง

กัปตันเรือหาปลาทั้งสี่ลำอยากขอคุยด้วย ฉินสือโอวไม่ยอมรับ แล้วเรียกเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาออกโจมตีพร้อมกัน แต่**การต่อสู้ของเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาไม่ได้รุนแรงแบบเขา จึงพากันมาขอร้องให้เขาคุยกับคนพวกนี้ ฟังว่าพวกเขาจะพูดอะไร หากว่าพวกเขายอมรามือตอนนี้ ก็ได้เหมือนกัน

ฉินสือโอวไม่อยากเป็นคนโหดร้าย ดังนั้นเขาจึงยอมปรานีให้ ต่อสายไปที่วิทยุไร้สายของเรือหาปลา

เมื่อทั้งสองฝ่ายอยู่ในสายแล้ว ฝั่งตรงข้ามก็ตะโกนมาว่า “พวกแกไอ้พวกสารเลว ให้ตายเถอะ…”

“ฟัคยู! พวกแกนี่ปากแข็งจริงๆ ดีมาก ฉันก็ชอบเล่นเกมกับพวกปากแข็งเหมือนกัน! รอการแก้แค้นจากเราเถอะ!” ฉินสือโอวฟังคำด่าของพวกเขาเสร็จแล้วก็โกรธขึ้นมา เขาพูดตัดบทพวกเขาไปไม่กี่ประโยค วางสายแล้วก็ปัดมือ เพื่อเป็นความหมายว่าให้กลุ่มลูกเรือโจมตีได้

จนปัญญา เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาทำได้แต่ต้องโจมตีตาม

ความเร็วของเรือกำปั่นทะเลสามารถเร็วได้เกือบห้าสิบนอต นี่ก็เท่ากับความเร็วของเรือกองทัพแล้ว ฟาร์มปลาทั่วไปสามารถเร็วได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เรือหาปลาพวกนี้จะอืดอาดเป็นพิเศษ เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรหน้าที่หลักของมันก็คือการขนส่งอยู่แล้ว

แบบนี้ทำให้เรือกำปั่นทะเลตามทันได้ในไม่ช้า ปืนน้ำที่ถูกปรับค่าแล้วสามารถควบคุมโดยไฟฟ้าได้ คนทุกคนล้วนซ่อนตัวอยู่ในเรือ จากนั้นบังคับให้ปืนน้ำโจมตีคนพวกนี้ก็พอ

ผู้คนบนเรือหาปลาก็เป็นพวกรุนแรงเหมือนกัน มีคนที่สุดจะทน แม้ว่าจะอยู่ใกล้แต่พวกเขาก็ยังยิงปืนใส่เรือกำปั่นทะเล ลูกกระสุนยิงโดนตัวเรือและเครื่องยนต์ต่างๆ จนส่งเสียงดังเพล้งพล้างออกมา ทำให้ผู้คนบนเรือยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่

ปืนน้ำสองกระบอกต่างเล็งไปที่เรือคนละลำ ภายใต้แรงกระแทกที่รุนแรงของปืนน้ำ ทำให้คนไม่สามารถยืนอยู่ด้านนอกของเรือสองลำนี้ได้ มีคนใจกล้าออกมานอกเรือ ก็ถูกห้วงน้ำยิงจนร่วงไปบนพื้น

พวกของเกิงจุนเจี๋ยไม่มีใบอนุญาตพกปืน พวกเขาไม่สามารถยิงปืนได้ ฉินสือโอวจึงเอาธนูกับปืนธนูของซีมอนสเตอร์ให้พวกเขา ปืนธนูแต่ละกระบอกถูกวางไว้หน้าห้องโดยสารเรือ เรือกำปั่นทะเลได้เข้าใกล้เรือพวกนี้เป็นระยะๆ ขอแค่อยู่ในระยะยิง พวกเขาก็จะขึ้นไกแล้วยิงธนูที่ทำมาจากไม้ออกไป

ธนูไม้ไม่แหลม แต่ว่าพวกมันมีรูปร่างใหญ่และหนัก สามารถสร้างความเสียหายได้ดีมาก นั่นก็คือสามารถสร้างแรงกระแทกได้มาก ขอแค่ทิ่มโดนของอะไรสักอย่างบนเรือหาปลา ก็จะทำให้ของชิ้นนั้นแหลกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ก็พลิกคว่ำได้

ทางฝั่งฉินสือโอวกำลังเล่นกันอย่างสนุกเลย แต่ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ฟิ้วๆ’ ดังขึ้นมา เบิร์ดที่อยู่ข้างๆ ได้กดตัวเขาลงไปกับพื้น ตามด้วยเสียงของแตก ‘เพล้ยง’ เศษกระจกจำนวนหนึ่งได้ตกลงมา

เมื่อได้เห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวตกใจไปชั่วขณะ ต้องรู้ก่อนว่ากระจกของห้องบังคับการเรือของเรือกำปั่นทะเลนั้นไม่ใช่กระจกทั่วไปแต่เป็นแบบหนาพิเศษ นึกไม่ถึงว่าขนาดกระจกแบบนี้ทางฝั่งตรงข้ามยังสามารถทำให้แตกได้!

เนื่องจากนี่คือเรือยนต์ความเร็วสูง ความเร็วในการขับเคลื่อนจึงเร็วเป็นพิเศษ หากเจอเข้ากับลมมรสุมในทะเลแล้ว ทั้งแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทกที่ได้รับจากคลื่นจะมากเป็นพิเศษ กระจกทั่วไปจะไม่สามารถรับแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ได้เพราะสามารถทำให้เกิดรอยร้าวหรือไม่ก็ถึงขั้นแตกได้ ดังนั้นจึงต้องใช้กระจกที่หนาแบบพิเศษ

กระจกหนาพิเศษแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นกระจกกันกระสุน แต่ก็สามารถกันกระสุนได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน ปืนไรเฟิลที่ใช้กันทั่วไปของพลเรือนส่วนมากจะเป็นอาวุธที่ผ่านการดัดแปลงแล้ว ในระยะหนึ่งร้อยเมตรขึ้นไป ลูกกระสุนที่ยิงโดนกระจกควรจะถูกกันไว้ได้ถึงจะถูก นี่ก็คือเหตุผลที่ฉินสือโอวไล่โจมตีเรือหาปลาได้อย่างสบายใจ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กระจกจะถูกทำให้แตกไปแบบนี้ได้

คำพูดของเบิร์ดตอบความสงสัยของฉินสือโอว เขาใช้มีดสั้นแกะลูกกระสุนที่ทะลุกระจกไปติดไว้ตรงแผ่นไม้ด้านหลังออกมา แล้วพูดว่า “นี่คือ หัวกระสุนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ครับ ฝั่งพวกเขามีปืนปากกระบอกใหญ่อยู่!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท