ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1542 สร้างอำนาจบารมี

บทที่ 1542 สร้างอำนาจบารมี

ปืนปากลำกล้องใหญ่ไม่อนุญาตให้ขายในตลาดพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นแคนาดาหรือว่าอเมริกา ล้วนมีกฎข้อนี้อยู่ทั้งนั้น แม้จะเป็นคนกว้างขวางอย่างฉินสือโอว ที่มีร้านขายอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งเป็นของตัวเอง ยังไม่สามารถหา อาวุธที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำกล้อง 50 ได้เลย

ผู้คนบนเรือหาปลาก็คงจะถูกฉินสือโอวไล่บี้จนหมดหนทางแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ยอมใช้อาวุธนี้สักที ก็เพราะกลัวว่าจะถูกตรวจนั่นแหละ ต้องรู้ว่าตำรวจทะเลอาจจะไม่สนใจเรื่องที่พวกเขายิงปืนระยะไกลได้ แต่เมื่อไรที่พบว่ามีการใช้อาวุธปากลำกล้องใหญ่แล้วล่ะก็ งั้นความขัดแย้งในครั้งนี้ก็ยกระดับแล้ว

ฉินสือโอวด่าออกไปอย่างโกรธแค้นทีหนึ่งว่า “แม่ง! ไอ้พวกบัดซบพวกนี้ ไปจัดการพวกมันให้ฉันซะ! ไปวิทยุบอกเรือลำอื่นๆ บอกพวกเจ้าของฟาร์มปลาทั้งหลายเลย ว่าถ้ามีใครกล้าพายเรือเล่นอยู่ข้างหลังแล้วล่ะก็ กลับไปน่าดูแน่!”

คำสั่งถูกสั่งการลงไป เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ หมดหนทางแล้ว เรือหาปลาลำแล้วลำเล่าเร่งความเร็วเพื่อตามให้ทัน เสียงปืนก็ยิ่งอยู่ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกเกือบจะชนกับเรืออัครมุขนายกโทบิน ปืนหลักได้ยิงห้วงน้ำที่รุนแรงออกไปไม่ยั้ง เครื่องยนต์ของเครื่องบินรบมิก 23S กำลังประกาศศักดาอยู่ แรงดันที่รุนแรงทำให้เกิดเป็นห้วงน้ำที่รุนแรง เมื่อเรือเข้าใกล้และยิงโดนเรือหาปลาแล้ว ก็ถึงขั้นทำให้ตัวเรือที่หนักหน่วงนั้นเอียงได้เลย

ปืนรองที่อยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่งก็ถูกใช้งานด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้มีน้ำทะเลจำนวนมากโจมตีไปที่เรือหาปลาภายในไม่กี่วินาที ตอนนี้ไม่มีใครสามารถยืนอยู่นอกเรือได้แล้ว เรือหาปลาได้ถูกโจมตีอย่างน่าอนาถ

ตอนนี้นีลเซ็นได้แบกบาซูก้ามาแล้วซ่อนตัวไว้หลังกราบเรือ เขาเล็งไปที่เรืออัครมุขนายกโทบิน หลังจากพาดบาซูก้าไว้แล้ว จรวดดับเพลิงเป็นแท่งๆ ที่มีควันติดอยู่ก็ถูกยิงไปที่เรือหาปลาลำนี้

น้ำแข็งแห้งกับฟองสบู่ได้ทำปฏิกิริยากัน ทำให้เกิดเป็นไอหมอกหนาปกคลุมไปทั่ว ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยสารเรือถูกควันบีบให้ออกมาข้างนอก และพอวิ่งออกมาก็โดนห้วงน้ำยิงโดนอีก

เมื่อเป็นแบบนี้ เรือหาปลาทั้งสี่ลำถือว่าได้จบเห่แล้วจริงๆ เรือปริ้นโอกีเยร์ที่โดนโจมตีน้อยที่สุดได้หนีอย่างสุดกำลังไปทางทะเลฝั่งตะวันออกเป็นลำแรก

อีกสามลำที่เหลือก็หนีตามๆ กันไปทีละลำ ขนาดมีพวกเดียวกันตกน้ำลงไปพวกเขาก็ไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าตกใจกลัวกันสุดขีดแล้ว

พอเป็นแบบนี้ทำให้ไฟโกรธที่สุมอยู่เต็มท้องของฉินสือโอวถูกระบายออกไปบ้าง หลังจากนั้นเรือไห่เฉวียนอีกสองลำก็ไล่ตามไปอีกยี่สิบกว่ากิโลเมตร ตามจนกว่าเรืออีกสี่ลำล้วนถูกโจมตีอย่างอนาถแล้ว จึงจะกลับมา

เรือหาปลาลำอื่นๆ ไล่ตามความเร็วนี้ไม่ทัน หลังจากเรือกำปั่นทะเลกลับมาแล้ว พวกเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาก็พาพวกลูกน้องมายืนโห่ร้องดีใจกันที่หน้าเรือ ราวกับกำลังต้อนรับการกลับมาของวีรบุรุษอย่างไรอย่างนั้น

ฉินสือโอวพาพรรคพวกกลับเข้าท่ากัน มีคนถามว่า “ผู้อำนวยการครับ แล้วเจ้าพวกที่ตกลงไปในน้ำจะทำอย่างไรดีครับ?”

ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “พวกเราต้องยึดในหลักมนุษยธรรมนิยม ไม่ใช่ว่ามีอนุสัญญาเจนีวาอะไรนั่นด้วยไม่ใช่เหรอ เห็นว่าไม่ให้ทรมานเชลยด้วยนี่ใช่ไหม? งั้นพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก ให้พวกมันแช่อยู่ในน้ำนั่นแหละ ถ้าตายไปก็ถือว่าพวกมันดวงซวยแล้วกัน!”

ทะเลแลบาดอร์ในเดือนเมษายน อุณหภูมิน้ำจะต่ำกว่าของนิวฟันด์แลนด์นิดหน่อย ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งอันตรายมาก สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลย

ดังนั้นฉินสือโอวจึงแสดงความเมตตา บนเรือมีเรือคายัคที่ไม่ทันเก็บกลับไปอยู่ทั้งหมดหกลำ เขาให้พวกเจ้าของฟาร์มปลาลากกลับไปห้าลำ เหลือหนึ่งลำให้คนที่ตกน้ำไป

กลับถึงฟาร์มปลา ตอนนี้ได้มีเรืออีกสองลำขับเข้ามา เพื่อนของเขาโดนัลด์และแอนดรูว์ ทัคเกอร์ก็ได้พาชาวประมงของตัวเองตามมาด้วย

การเดินทางไปกลับบวกกับการไล่ล่าบนท้องทะเล เวลาหลายชั่วโมงได้ผ่านไปอย่างไม่ทันตั้งตัว หลังกลับถึงฟาร์มปลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อารอนที่เป็นเจ้าถิ่นจึงไปจัดแจงเรื่องอาหารกลางวัน

ความคิดที่ฉินสือโอวคิดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดไปเลย การสู้กันแบบนี้สามารถสร้างความสามัคคีได้ดีที่สุด เจ้าของฟาร์มปลาที่ไปร่วมรบด้วยเริ่มสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดสมาคมการประมงนี้ก็ได้มีความเป็นมืออาชีพก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว

สำหรับคนที่มีวีรกรรมที่สุดยอดที่สุด บารมีของผู้อำนวยการอย่างฉินสือโอวก็ได้ก่อร่างขึ้นมาด้วย ก่อนหน้าที่งานประชุมในออตตาวา เขาได้สร้างบารมีให้กับคนภายใน ครั้งนี้เป็นการสร้างบารมีให้กับคนภายนอก เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาเข้าใจแล้ว ผู้อำนวยการคนนี้ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมกับพวกเขาเท่านั้น กับคนภายนอกเขายิ่งไม่ปรานีเลย

เมื่อเป็นแบบนี้ ทำให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาพากันยำเกรงเขา หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว พวกเขาก็พากันมาทักทายฉินสือโอว คำที่ใช้ก็ล้วนเป็นคำสุภาพทั้งนั้น

อาหารกลางวันเตรียมเสร็จแล้ว ฉินสือโอวไม่ได้กินอาหารเช้าแถมตอนสายๆ บนทะเลก็ใช้พลังไปเยอะอีก ตอนนี้จึงรู้สึกหิวจนหน้าอกจะติดกับแผ่นท้องหลังอยู่แล้ว

อาหารกลางวันเป็นอาหารง่ายๆ หลักๆ ก็มีปลาทอด เนื้อไก่ทอด เนื้อย่างและสลัดผลไม้นานาชนิด อาหารหลักเป็นพวกแฮมเบอร์เกอร์กับพายแอปเปิล คนกว่าหนึ่งร้อยสิบกว่าคนมารวมตัวกัน ทั้งดื่มเบียร์ทั้งกินเนื้อย่าง บรรยากาศถือว่าครึกครื้นใช้ได้

ระหว่างกินดื่มกันอยู่ คนทั้งกลุ่มก็เริ่มคุยโวกัน ฉินสือโอวที่เป็นพี่ใหญ่ที่ห้าวหาญที่สุด แน่นอนว่าต้องถูกยกยอเป็นธรรมดา

ถือโอกาสนี้ ฉินสือโอวตบอกแล้วพูดออกรับไปว่า “พวกพ้องทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนล้วนเข้าร่วมสมาคมการประมงแล้ว งั้นพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน สมาคมก็คือครอบครัวหนึ่ง! ต่อไปใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไร พวกเราก็ต้องช่วยเหลือกันและกัน! ใครถูกรังแก พวกเราก็ต้องร่วมออกหน้าให้เขา เข้าใจไหม?!”

เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาตะโกนออกไปสุดเสียงว่า “ผู้อำนวยการพูดได้ถูกต้อง!” “เอาตามนี้เลย” “ช่วยเหลือกันและกัน!” “ผ่านมาหลายปี ในที่สุดฉันก็เจอพวกสักที!”

ตอนบ่ายได้มีเรือมาเพิ่มอีก จำนวนคนในฟาร์มปลาตอนนี้ได้เฉียดสองร้อยคนแล้ว

ฉินสือโอวกำลังคุยอยู่กับอารอนและพวก ตอนนี้นี่เองมีชายวัยกลางคนร่างกายกำยำขนดกคนหนึ่งมาหาเขา ฉินสือโอวจำเขาได้ เจ้าของฟาร์มปลาคนนี้ชื่อเดวิส เป็นเจ้าของฟาร์มปลาคนหนึ่งในรัฐโนวาสโกเชีย และก็มีร้านขายปืนร้านหนึ่งเหมือนกับเขาด้วย

แต่ว่าเขาในตอนนี้ได้ยกระดับบารมีและสถานะขึ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องทักทายก่อน จึงมองไปที่เดวิสทีหนึ่งแล้วไม่ใส่ใจ

เดวิสยื่นมือมาจับมือกับเขา จากนั้นก็พูดว่า “คุณผู้อำนวยการครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมมาช้าไปหน่อย ได้ยินพวกพ้องพูดว่า พวกคุณได้รบกันไปรอบหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ? งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ!”

ฉินสือโอวบอกว่า “ไม่ นี่ไม่มีอะไรหรอกเพื่อน พวกนายก็อยู่ห่างไปค่อนข้างไกลจริงๆ นั่นแหละ มาถึงได้เร็วขนาดนี้ ผมว่าอารอนก็คงรู้สึกขอบคุณพวกคุณมากแล้วล่ะ”

เดวิสหัวเราะไปทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “งั้นก็ดีเลยครับ แต่ว่าช่วงนี้ผมได้ของเล่นมานิดหน่อย เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ผมว่าจะยกให้คุณ หวังว่าคุณจะชอบนะครับ”

อารอนกะพริบตาปริบๆ เจ้าถิ่นเป็นเขาไม่ใช่เหรอ? แสดงความเสียใจต้องแสดงกับตัวเองไม่ใช่เหรอ? พี่ชายนายไม่ปฏิบัติตามมารยาทนะ

เดวิสไม่มองอารอนแม้หางตา

ความจริงฉินสือโอวไม่อยากรับของขวัญที่ว่า ที่เดวิสบอกว่าเป็นการไถ่โทษเพื่อแสดงความเสียใจนั้นล้วนโกหกทั้งเพ แต่ทว่าหลังจากที่เขาหยิบของออกมาสองชิ้นแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่สามารถเอ่ยคำปฏิเสธได้

ของที่เดวิสเอาออกมาดูคล้ายกับเสื้อกั๊กสีดำ แต่ความจริงแล้วของสิ่งนี้มีระดับกว่านั้นมาก มันคือเสื้อกันกระสุนของสุนัขทหาร!

“นี่คือของที่ผมฝากให้น้องชายที่อเมริกาหามาให้ครับ เป็นเสื้อกันกระสุนของสุนัขที่กำลังจะนำเข้ามาใช้ครับ” เดวิสยื่นให้ฉินสือโอวหนึ่งตัว จากนั้นก็เริ่มแนะนำว่า “นี่ไม่เหมือนกับเสื้อกันกระสุนสุนัขที่ไม่สมบูรณ์แบบของเมื่อก่อนนะครับ เสื้อตัวนี้จะเน้นการป้องกันกระสุนที่ส่วนหัวและหน้าอกเป็นหลัก แถมมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่ปกป้องขาทั้งสี่ ส่วนร่างกายและส่วนหัวด้วย สามารถกันเศษกระสุน เศษโลหะและอาวุธแหลมคมที่จะทำร้ายสุนัขทหารได้ครับ”

ฉินสือโอวหยิบมาดูแล้วเป็นของที่ดีจริงๆ เสื้อกันกระสุนครบวงจรมาก นอกจากปาก หางและน่องแล้ว อวัยวะส่วนอื่นๆ ของสุนัขล้วนได้รับการป้องกันทั้งหมด

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท