ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1569 งานเลี้ยง

บทที่ 1569 งานเลี้ยง

ฉินเผิงรินน้ำชาให้ทั้งสองคน และยังคงหัวเราะร่าอยู่ ฉินสือโอวถูกเขาหัวเราะจนรู้สึกรำคาญ จึงจ้องไปที่เขาทีหนึ่งแล้วข่มขู่ว่า “ถ้ายังหัวเราะอีกจะจัดการนาย”

ฉินเผิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตั้งแต่เด็กพอเราทะเลาะกัน มีตอนไหนที่นายเอาชนะฉันได้เหรอไง?”

เมื่อฟังคำนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะอย่างดีใจขึ้นมา มือขวาเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว คว้าแขนของฉินเผิงไว้ จากนั้นก็เหวี่ยงไปข้างหลังทีหนึ่ง ทำเอาแขนของเขาบิดไปอยู่ข้างหลัง ฉินเผิงพยายามสะบัด เขาใช้มือซ้ายกดไหล่ของฉินเผิงไว้ เท่านี้แค่ขยับเขายังขยับไม่ได้เลย

พี่เสียวหม่ายืนมองดูอยู่ข้างๆ แล้วก็เบิกตาโตออกมา ความสามารถในการต่อสู้ของฉินเผิงเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ อย่างไรเสียก็ต้องทำงานกับพวกประแจ คีม หนีบ สว่านเจาะทุกวัน อย่างน้อยๆ แขนสองข้างก็ต้องมีแรงพอสมควรล่ะ

แต่สุดท้ายแค่ฉินสือโอวมือเดียวก็กดอยู่แล้ว แล้วไหนจะสีหน้าของเขาที่แดงก่ำนั่นอีก คือไม่สามารถหลุดจากการควบคุมนั้นได้เลย

เมื่อเป็นแบบนี้พี่เสียวหม่าก็คิดไปถึงเรื่องที่เขาไปหลอกและสรรพนามที่เรียกฉินสือโอวขึ้นมา ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก เขากำลังคิดถึงโอกาสที่จะชนะหากว่าเดี๋ยวดื่มเหล้าแล้วน้องชายคนนี้เกิดถือโอกาสตอนเมามาหาเรื่องตัวเอง คิดไปคิดมาก็พบแต่จุดจบที่น่าเศร้าทั้งนั้น นอกเสียจากว่าตัวเองจะพาสุนัขที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกยำเละแน่!

ฉินสือโอวก็แค่แกล้งฉินเผิงเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะลงมือจริงๆ เขากดฉินเผิงไว้แค่ไม่กี่วิเท่านั้นก็ปล่อยมือ แล้วก็พูดอย่างได้ใจว่า “เป็นอย่างไร รู้หรือยังว่าเมื่อก่อนฉันแค่ยอมให้นายเท่านั้นแหละ?”

ฉินเผิงถูข้อมือไปมาอย่างหัวเสีย พูดว่า “ให้ตายสิ เจ้านี่ทำไมแรงเยอะอย่างนี้เนี่ย? สงสัยฉันหิวแล้วล่ะ ทำให้เนื้อตัวไม่มีแรง!”

พูดจบ เขาก็ให้ฉินสือโอวกับเสียวหม่านั่งลงดื่มชา ส่วนเขาก็ถือกระต่ายกับนกยูงป่าไปจัดการทำเป็นกับแกล้มเหล้า

เสียวหม่าไม่กล้านั่งกับฉินสือโอวแค่สองคนหรอก เขารีบรับกระต่ายมาแล้วพูดว่า “พี่เบิร์ด อันนี้ฉันจัดการเอง พี่อยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนพี่โซ่วเถอะ พวกพี่ดื่มไปก่อน ฉันมาทำเอง กระต่ายตัวนี้เอาไปย่างที่สวนหลังบ้านพี่ก็ได้แล้ว”

ความสัมพันธ์ของฉินเผิงกับเขาดูท่าจะแน่นแฟ้นมาก จึงไม่ได้แสดงความเกรงใจอะไรมาก ยื่นกระต่ายให้เขาแล้วก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “ฉินโซ่ว นายนี่มีลาภปากจริงๆ กระต่ายย่างที่โก่วตั้นทำน่ะหอมมากเลยนะ เดี๋ยวนายจะได้รู้ ”

อู่ซ่อมรถมีสวนหลังบ้านที่ใหญ่มาก ในสวนได้ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีคราบน้ำมันหรือพวกอะไหล่ มีเก้าอี้ โต๊ะกับชุดแก้ววางตั้งไว้ น่าจะเป็นที่ที่ฉินเผิงเอาไว้ต้อนรับลูกค้าหรือไม่ก็ที่สำหรับให้พนักงานได้พักผ่อน

พื้นสวนหลังบ้านเป็นพื้นดิน พี่เสียวหม่าไปหาแผ่นก้อนหินมา แล้วก็ทำการก่อเป็นเตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเอากระต่ายไปเลาะหนังแล้วก็หมักเสร็จแล้วนั้น ก็ใช้ไม้ไผ่สองแท่งมาเสียบไว้ แล้วไปวางไว้ที่เตาเพื่อย่าง

ฉินเผิงได้เตรียมหมูติดมันไว้ชิ้นหนึ่ง พี่เสียวหม่านำหมูติดมันนี้มาหั่นแล้วก็วางไปบนตัวของกระต่าย เท่านี้พอไฟค่อยๆ ร้อนแล้ว น้ำมันพวกนี้ก็จะซึมเข้าไปในเนื้อของกระต่าย รอจนเนื้อหมูพวกนี้ละลายจนไม่มีน้ำมันออกมาแล้ว เขาก็จะเอาเนื้อยัดเข้าไปในท้องของกระต่าย

ฉินสือโอวเห็นการย่างกระต่ายแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงเข้าไปถามว่า “นี่มันวิธีย่างกระต่ายอะไรเหรอ?”

พี่เสียวหม่าหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “พ่อฉันสอนมาน่ะ เนื้อกระต่ายแห้งมาก โดยเฉพาะเนื้อกระต่ายในฤดูใบไม้ผลิ แห้งจนไม่สามารถกินได้ ตัวมันเองก็ไม่มีไขมัน ดังนั้นจึงต้องใช้เนื้อหมูมาอบ เพื่อให้น้ำมันหมูซึมเข้าไปในเนื้อ เท่านี้เนื้อกระต่ายก็จะไม่แห้งเกินไปแล้ว”

ภายใต้อุณหภูมิความร้อนที่สูงทำให้น้ำมันหมูส่งกลิ่นหอมอบอวลออกมา นั่นน่ะคือกลิ่นหอมของเนื้อที่แท้จริง สามารถเพิ่มความอยากอาหารให้คนได้ ไม่นานลูกสาวของฉินเผิงก็วิ่งเตาะแตะเข้ามา ในปากได้อมนิ้วมือที่อ้วนท้วมไว้แล้วมองลงมาที่กระต่ายย่าง

ฉินสือโอวคือสายกิน ดังนั้นจึงมีความรู้สึกดีกับสายกินด้วยกันเป็นพิเศษ ดั่งคำที่ว่าคนกลุ่มเดียวกันจะมาอยู่ด้วยกัน การได้เห็นวิธีการกินของพี่เสียวหม่าแบบนี้แล้ว เขาก็ให้อภัยเจ้าหมอนี่ที่หลอกเขาแล้วล่ะ แล้วก็ตัดสินใจที่จะจ้างเขาไปช่วยพ่อแม่เลี้ยงสุนัขด้วย

จุดที่สำคัญที่สุดก็คือพี่เสียวหม่าเป็นคนที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยด้วย เหมือนกับที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนี่มีบุคลิกซื่อบื้อ สามารถกำจัดความเคลือบแคลงใจของคนไปได้

อาจจะเป็นไปได้ ว่าเขาเองก็ใช้บุคลิกแบบนี้นี่แหละในการใกล้ชิดกับพวกสุนัข บางทีพวกสุนัขอาจจะรู้สึกว่าเจ้าสองขาคนนี้ซื่อบื้อมาก สามารถไว้ใจได้ แต่ทว่าฉินสือโอวกลับไม่คิดว่าพี่เสียวหม่าซื่อบื้อนะ เจ้าหมอนี่น่ะฉลาดจะตาย!

กระต่ายหนึ่งตัวใช้ผงเครื่องเทศห้าอย่างกับผงยี่หร่ามาทำเป็นเครื่องปรุงรส ส่วนอีกตัวก็ใช้พริกป่นและผงยี่หร่ามาเป็นเครื่องปรุงรส กระต่ายสองตัวสองรสชาติ กลิ่นหอมของหม่าล่าได้ลอยล่องออกมาจากในสวน

ลูกสาวของฉินเผิงนั่งอยู่ข้างๆ มองดูอย่างใจจดใจจ่อ พี่เสียวหม่าแกล้งหยอกเธอเล่นสารพัด เขาหยิบกระต่ายย่างออกมาเหวี่ยงไปตรงหน้าเธอเป็นพักๆ เด็กหญิงตัวน้อยจ้องตาเป็นมัน ยื่นมือออกไปคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งที่พอเกือบจะคว้าได้แล้วก็จะถูกพี่เสียวหม่าดึงกลับไป

ฉินเผิงจัดการล้างทำความสะอาดนกยูงป่า แล้วเอานกยูงป่าไปตุ๋นกับเห็ดหอมเพื่อทำเป็นซุป หั่นนกยูงป่าเป็นสองท่อนทำเป็นรสหม่าล่ากับผัดนกยูงป่า

นอกเหนือจากนี้ เขายังได้ทำกุยช่ายผัดไข่ ผักกวางตุ้งจีนคลุกน้ำมันพริกกับแตงกวาหนามผัดเนื้อหมูด้วย สุดท้ายยังเอาปลาคาร์ฟไปอบในหม้ออีก เท่านี้มื้อกลางวันอันโอชะก็เสร็จแล้ว

ทางนี้กระต่ายสองตัวได้ย่างเสร็จแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยยื่นมือมาอยากกินด้วย ร้องว่า “ป่าป๊า ขอหนูหนึ่งชิ้น ขอหนูหนึ่งชิ้น หลันหลันกิน ให้หลันหลันกิน”

ฉินเผิงใส่ใจกับการเลี้ยงดูอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นความเป็นกุลสตรีของวินนี่แล้ว ก็คิดอยากจะเลี้ยงลูกสาวให้เป็นเทพธิดาอย่างนั้นบ้าง ดังนั้นพอเด็กหญิงร้องงอแง เขาจึงปั้นหน้าแล้วพูดว่า “ปกติหม่าม๊าสอนหลันหลันว่าอย่างไรคะ? พวกคุณอายังไม่ได้กินเลย หลันหลันจะกินได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวรู้สึกชอบเด็กหญิงมาก เขาเข้าไปหยิบกระดูกมาชิ้นหนึ่งยัดเข้าไปในปาก จากนั้นก็เลือกขาหลังของกระต่ายให้เด็กหญิง พูดว่า “คุณอากินแล้ว หลันหลันก็กินด้วยสิ”

ฉินเผิงพูดอย่างไม่พอใจว่า “นายทำอย่างนี้ก็เท่ากับให้ท้ายเด็กสิ?”

ฉินสือโอวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ให้ท้ายกะผีสิ ลูกสาวต้องเลี้ยงอย่างเศรษฐี ลูกชายต้องเลี้ยงอย่างยาจก หลักการนี้ไม่เข้าใจเหรอ? นายจะต้องให้ท้ายเธอมากๆ ไม่อย่างนั้นนายจะเลี้ยงกุลสตรีมาให้ไปเสียท่าให้ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นคนไหนอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินเผิงคิดสักพัก พูดว่า “คำพูดนี้ของนายมีเหตุผล ให้ตายสิ แค่คิดว่าอีกยี่สิบปี ลูกสาวฉันอาจจะไปเสียท่าให้ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นสักคนฉันก็โกรธแล้ว”

พี่เสียวหม่าเข้ามาพูดว่า “พี่เบิร์ด ผมรออีกยี่สิบปีได้นะ ถึงตอนนั้นผมก็จะไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าเหม็น…”

“ฉันจะตีนายให้ตาย!” ฉินเผิงพูดอย่างโกรธเคือง “ตีให้ตายแล้วเอาไปให้สุนัขกิน!”

นำเอากับข้าวมาวางบนโต๊ะ ฉินเผิงได้เอาของกินเล่นที่พ่อของเขาดองไว้มาอีกสองจาน จานหนึ่งเป็นหัวไชเท้าดองเปรี้ยวเผ็ด อีกจานเป็นตีนไก่ดองพริกสด เมื่อเห็นพริกสดในนั้นแล้ว น้ำลายของฉินสือโอวก็ไหลออกมา นี่น่ะคือปฏิกิริยาต่อเนื่องที่พ่อของฉินเผิงให้เขาไว้ ตอนเด็กๆ เขาชอบการมากินของกินเล่นที่บ้านของพวกเขาเป็นที่สุดเลย

ทั้งสามคนนั่งลง ฉินเผิงรินเหล้าเสร็จแล้วก็บอกเริ่มกินได้ ฉินสือโอวให้เหยียนลี่ลี่มาร่วมโต๊ะด้วย แต่ฉินเผิงปัดมือบอกว่าไม่ต้องหรอก ฉินสือโอวจึงไม่พอใจขึ้นมาทันที พูดว่า “นี่เป็นธรรมเนียมที่ผิดพลาดของชนบทล่ะ แม่น่ะยิ่งใหญ่มากนะ จะไม่ให้มาร่วมโต๊ะด้วยได้อย่างไร? รีบมาเร็ว ไม่อย่างนั้นฉันจะพลิกโต๊ะแล้วไปละนะ!”

อาจเป็นเพราะพอมีเงินแล้วจะเส้นใหญ่เป็นพิเศษ คำพูดก็ค่อนข้างมีน้ำหนัก สรุปคือฉินสือโอวในตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ก็จะทำตัวเป็นคนออกคำสั่งทั้งนั้น วินนี่หัวเราะเขาหาว่าเขาเป็นกษัตริย์ป่าเถื่อน

ฉินเผิงจนปัญญา ให้เหยียนลี่ลี่พาลูกสาวมาร่วมโต๊ะด้วย พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงพยักหน้าอย่างพอใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท